ชีวิตการสมรส

ชีวิตการสมรส

 


            หญิงและชาย ต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างฐานะ ต่างสิ่งแวดล้อม ต่างวงศ์ตระกูล กรรมลิขิตหรือชะตาชีวิตทำให้ทั้งสองได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  โดยอาศัยความต้องการตามสัญชาตญาณเป็นเครื่องชักนำที่สำคัญให้หญิงชายทั้งสองได้มาครองคู่


           หลายคนและหลายคู่ไม่เคยได้ตระหนักรู้ว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน เราเพียงแต่อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่ได้ “สมรสกัน” ตามความมุ่งหมายอันแท้จริงของชีวิตการครองคู่แต่อย่างใด เราอาจจัดพิธีแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย  แต่ภายในหัวใจของหญิงและชาย ยังไม่ได้ “สมรส”กันอย่างแท้จริงก็มี


            หากหญิงชายคู่ใดชีวิตของทั้งสองเข้าใจในความหมายและเข้าถึง “การสมรส”อย่างแท้จริงในวันใด  การแต่งงานของทั้งคู่จะกลายเป็นการปฏิบัติธรรมในภาคคฤหัสถ์ ตามวิถีแห่งบรรพกาลในทันที


            หากในชีวิตจริงของเราในปัจจุบัน  เรายังมีคู่ครองและยังยินดีพอใจในวิถีของโลกียวิสัย เรารู้ตัวว่าอินทรีย์ยังอ่อนเกินไป ที่จะข้ามขั้นไปดำเนินจิตในรูปแบบของบรรพชิตที่เน้นสมาธิเป็นหลัก  เรายังต้องการความรักความอบอุ่นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวตามลำพังแบบผู้ที่เป็นบรรพชิตได้  ขอให้เรามาใส่ใจต่อความหมายของ “การสมรส” ตามวิถีแห่งบรรพกาล แล้วการปฏิบัติธรรมในภาคคฤหัสถ์ จะทำให้ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันก่อนตายในชาตินี้


             การแต่งงานหรือการสมรสนั้น  หากไม่ใช่เพียงแค่การเรียกร้องเอาความสุขจากกันหรือเพียงแค่ทำไปตามสัญชาตญาณความต้องการทางเพศ  ถ้าทั้งสองดำเนินชีวิตร่วมกันด้วยความมีสติทั้งสองฝ่าย  ความเห็นแก่ตัวหรือการเอาตัวเองเป็นใหญ่จะค่อยๆลดลงไป  จะมีความถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  มีเมตตาต่อกัน หลังจากนั้นทั้งคู่จะเกิดความรู้สึกที่ดีงามต่อกัน มีความเคารพนับถือกันอยู่ภายในใจลึกๆ  หากทำได้เช่นนั้น เขาทั้งสองจะไม่ใช่เพียงการมีชีวิตเป็นสามีภรรยาตามธรรมดา  แต่จะกลายเป็น “ชีวิตสมรส”ที่มีคุณค่า พร้อมทั้งเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว


              “การสมรส” ชื่อก็บ่งบอกความหมายอยู่แล้วในตัว เพราะคำนี้แปลได้ว่า “การมีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นผู้มีรสเสมอกัน” ไม่ใช่คนหนึ่งเคยชอบรสเค็ม ก็จะทานอาหารรสเค็มตามใจของตัวเองตามเดิม  แต่ต้องปรับตัวปรับใจ ปรับรสชาติที่เคยเป็นมาแต่เดิมให้เข้ากันได้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งฝ่ายหลังนี้อาจชอบรสจืดหรือรสหวานก็ได้  หากต่างคนต่างเอาแต่ใจ โดยอ้างว่าต้องการอิสระและฉันก็เคยเป็นของฉันอย่างนี้  แม้แต่งงานหรืออยู่ด้วยกันเป็นสิบปี  ชีวิตการแต่งงานของหญิงชายคู่นี้  ท่านว่ายังไม่ก้าวหน้าถึงขั้น “การสมรส”อย่างแท้จริงแม้แต่น้อย


               การสมรสคือ วิถีการครองชีวิตที่ต้องอาศัยเพศตรงกันข้ามมาเป็นเพื่อนชีวิต ในการเดินทางไปสู่จุดหมาย  ต่างจากวิถีของเพศบรรพชิตที่ท่านต้องเดินทางไปคนเดียว เพราะพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมที่ปราศจากธุลีคือกิเลส เป็นหนทางสำหรับผู้มีใจเด็ดเดี่ยวที่ต้องเดินไปคนเดียวจึงจะถึง จะเอาใครไปด้วยหาได้ไม่  ส่วนผู้ที่รู้ตัวว่าไม่กล้าเดินทางคนเดียว เพราะขลาดกลัวไม่กล้าเผชิญต่อความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  ก็เลยต้องหาเพื่อนเดินทางเพื่อความมั่นใจ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของพระโสดาบัน  ซึ่งเส้นทางสายนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องออกบวชเป็นบรรพชิตแต่อย่างใด


               ตามวิถีแห่งบรรพกาล  การปฏิบัติธรรมในภาคคฤหัสถ์นั้น  การสมรสท่านถือเป็นเรื่องใหญ่  มิใช่หญิงชายคู่ใดจะไปมีความสัมพันธ์กับใครก็ทำได้ตามใจ ตามกิเลสตัณหาอย่างนั้นยังไม่ใช่การสมรส   แต่จะเป็นการทำลายพลังส่วนดีงามของตัวเองให้ตกต่ำลงไปทั้งหญิงและชาย  หากทั้งคู่ทำไม่ถูกต้อง พลังด้านลบจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของคนทั้งสอง  แต่ถ้าทำด้วยความถูกต้องและมีสติ  พลังชีวิตในด้านบวกจะเกิดแก่คนทั้งคู่  หลังจากนั้นพลังสร้างสรรค์และสิ่งดีงามจะตามมา  นี้คือความหมายของคำว่า “การสมรส” ที่แท้จริงตามวิถีแห่งบรรพกาล


               สำหรับผู้ที่มองเห็นคุณค่าและความหมายของการสมรสตามที่กล่าวมานี้ หากตนเองมีคู่ครองอยู่ในชีวิตปัจจุบัน และตนเองก็รู้ตัวว่าไม่สามารถออกบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ แต่ต้องการให้ชีวิตของเรานี้เข้าถึงความหมายของ “ชีวิตสมรส” และเกิดการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณให้สูงขึ้น   จงปรึกษาตกลงกันกับเพื่อนชีวิตของเราด้วยความเข้าใจ  ว่าตั้งแต่นี้ไปเราทั้งสองจะเป็นเพื่อนเดินทางของกันและกัน  เราทั้งสองจะช่วยกันประคับประคองเพื่อก้าวเดินไปสู่ชีวิตที่งดงามและสูงส่งขึ้น


                  หลังจากที่พากันเล่นน้ำสาดโคลนใส่กัน เล่นบ้านน้อยด้วยกันมานาน  เรามาทำชีวิตของเราให้เกิดคุณค่า แล้วจูงมือกันเดินขึ้นไปบนภูเขาเล่นน้ำตกที่สะอาดกันดีกว่า  น้ำตกที่สะอาดที่ว่า ก็คือการชักชวนกันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา  นั่นแหละคือต้นสายธารของชีวิตที่จะพัฒนาชีวิตสมรสให้งดงามและกลายเป็นการปฏิบัติธรรมต่อไป


                จากเพียงแค่การอยู่ด้วยกันเพราะสัญชาตญาณของธรรมชาติ และการทำมาหาเลี้ยงชีพหาเงินทองมาเลี้ยงดูกันเท่านั้น การแต่งงานที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยหวาดหวั่นมานาน  จะกลายเป็นชีวิตสมรสที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและมีความหมาย  การสมรสของผู้ดำเนินชีวิตด้วยสติและปัญญาเช่นนี้  คือการสมรสที่กลายเป็นการภาวนาในภาคของคฤหัสถ์


                 สำหรับหนุ่มสาวที่กำลังคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ จงมีความยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยให้ชีวิตของเราเริ่มต้นชีวิตด้วยพลังด้านลบ  แม้บางคู่อาจไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยพิธีแต่งงานและไม่สามารถเดินตามประเพณีอันดีงามเพราะเหตุปัจจัยที่ต่างกันของแต่ละคน  จงพาบุรุษหรือสตรีที่เราตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มใช้ชีวิตด้วยกัน  ด้วยการคุกเข่าพากันอธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเราทั้งสองนี้มีความรักต่อกันด้วยใจอันบริสุทธิ์  มิใช่เพียงแค่หวังหรือแสวงหาความสุขจากกันและกันด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาเท่านั้น


               การเริ่มต้นชีวิตคู่ในการอยู่ด้วยกันด้วยความองอาจและประกอบด้วยสติเช่นนี้  ชีวิตของทั้งคู่จะไม่มีการตกต่ำและเทวดาที่รักษาคนทั้งสองก็จะคุ้มครองรักษาต่อไป  นี้คือตัวอย่างของผู้เริ่มต้นชีวิตสมรสตั้งแต่บรรพกาล ที่แม้บางท่านไม่สามารถดำเนินไปตามประเพณีดีที่งาม แต่ชีวิตของท่านก็มีความเจริญ แต่ถ้าเลือกได้และมีความพร้อมในการจะทำตามประเพณีที่ดีงาม ท่านย่อมต้องเลือกรักษาประเพณีอย่างแน่นอน   เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่คนทั้งหลายต่อไป


               การสมรสที่แท้จริง ย่อมเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างปรับ “รส”ของตัวเองให้พอดี ให้เข้ากันได้ หรือเสมอกับอีกฝ่ายหนึ่ง   หากมองอย่างลึกซึ้ง การสมรสก็คือการที่ชายหญิงตั้งใจสละความสำคัญตนหรือสละอัตตาของตัวเอง เพื่อเข้าสู่ความสมดุลของชีวิต โดยผ่านคู่ชีวิตของตนนั่นเอง


               คู่แต่งงานคู่ใดสามารถจับหลักหรือแก่นแท้ของ “ชีวิตสมรส”ได้เช่นนี้  คนทั้งสองจะหลอมรวมกลายเป็นคนใหม่ ชีวิตใหม่ ที่ไม่ใช่คนเดิมเหมือนตอนสมัยอยู่คนเดียวอีกแล้ว


              ขอส่งความปรารถนาดีมาสู่ผู้ที่ใช้ชีวิตคู่ทั้งหลาย ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ชีวิตคู่มาแล้วโดยมีระยะเวลามากน้อยเพียงใด  ขอจงใส่ใจในการพัฒนาให้ชีวิตคู่ของเรานั้น เข้าสู่วิถีแห่งการสมรสอย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้


             จงตระหนักว่านี้คือเส้นทางแห่งการที่เราต้องปรับชีวิตให้เข้าสู่ความสมดุล โดยการอาศัยคนที่นอนอยู่ข้างๆเรานี้เป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เราควรจะให้ความสำคัญและให้ความนับถืออย่างจริงใจ ให้สมกับที่ชะตากรรมได้ลิขิตให้มานอนอยู่ข้างๆกัน


              ส่วนผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่  หนูๆลูกที่รักทั้งหลายจงเห็นความสำคัญของ “ชีวิตสมรส”ไว้แต่ต้น  จงตระหนักรู้ รู้จักยับยั้งชั่งใจและหนักแน่นอดทน  ให้ตั้งสติไว้ตั้งแต่เริ่มต้น  อย่าปล่อยแต่ตามอารมณ์หรือคิดทดลองหวังความสนุกแต่อย่างเดียว


              หากใครมีสติยังไม่พลาดพลั้งสิ่งใดในเวลานี้  จงเลือกเอาวิธีบ่มผลไม้ให้ได้ที่เสียก่อน ย่อมประเสริฐที่สุด เพราะนั่นคือชีวิตที่เริ่มต้นด้วยความมาตรฐาน และมีความหอมหวานเป็นเบื้องหน้า เป็นชีวิตที่จะเป็นพลังในด้านบวกตามมา  กลายเป็นพลังที่สร้างสรรค์ต่อไป


              ส่วนผู้ใดที่พลาดไปแล้ว  ก็จงตั้งต้นสำรวมระวังเริ่มต้นชีวิตใหม่  เมื่อล้มแล้วจงลุกขึ้นแล้วก้าวเดินต่อไป  ชีวิตใหม่ของผู้ที่เข้มแข็งยังรออยู่เสมอ   ขอเธอทั้งหลายจงมีกำลังใจ
        

             ชีวิตสมรส หากปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและดำเนินไปด้วยวิถีแห่งการเจริญสติภาวนา  ชีวิตสมรสนั้นย่อมไม่ใช่การสมรสธรรมดา  แต่จะเป็นการสมรสที่ก้าวเข้าสู่การภาวนา  ที่ทั้งสองจะกลายเป็นเพื่อนชีวิตกัน  หลังจากนั้นความต้องการทางเพศที่เคยเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญมากระหว่างคนทั้งสอง  จะกลายเป็นของเด็กเล่นหรือกลายเป็นเพียงตุ๊กตา  นี้คือการสมรสที่จะทำให้หญิงและชายพากันยกระดับจิตวิญญาณของกันและกัน จากความรักความต้องการในฐานะเป็นสามีภรรยาแบบปุถุชนทั่วไปดังแต่ก่อน  ก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระอริยบุคคลในเพศฆราวาสต่อไป


               การสมรสตามวิถีแห่งภูมิความรู้ของบรรพกาล จึงเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่  การที่ท่านเคร่งครัดในประเพณีอันดีงาม  ไม่ให้หนุ่มสาวรีบไปมีความสัมพันธ์กันก่อนที่จะตั้งสติให้มั่นคงโดยผ่านพิธีแต่งงานเสียก่อนนั้น   แท้จริงแล้วก็เพื่อให้การเริ่มต้นชีวิตสมรสของหนุ่มสาวได้เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยการมีสติปัฏฐานตั้งแต่แรก หลังจากนั้นก็พัฒนาสติด้วยทาน ศีล ภาวนามาตามลำดับ   เพื่อในบั้นปลายจะได้กลายเป็นพระโสดาบันบุคคลแม้อยู่ท่ามกลางการครองเรือน


                 การแต่งงานหรือชีวิตสมรสตามหลักภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล  จึงไม่ใช่เพื่อการสร้างหลักฐานหรือแสวงหาทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่เข้าใจ


                แต่การแต่งงานหรือชีวิตสมรส คือการปฏิบัติธรรมในภาคของคฤหัสถ์ที่แยบคายอยู่ในตัวเองตลอดชีวิตของการแต่งงาน  ชีวิตสมรสของท่านจึงอยู่กันจนวันตาย และในบั้นปลายชีวิต บางคนบางท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลแม้อยู่ท่ามกลางลูกหลานนั่นเอง

 


  
                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                    ๕  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๗