ยกย่องเชิดชูพระศาสนา
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ยกย่องเชิดชูพระศาสนา
หากมีคำถามขึ้นมาว่า เหตุใดสังคมไทยจึงมีความรุนแรง? ตอบอย่างไม่ต้องคิดทันทีว่า เพราะคนไทยส่วนใหญ่ เป็นผู้มีหัวใจขาดแคลนความรัก ถามต่อไปว่า ก็ไหนบอกว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ เคยได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้มมาช้านาน แล้วเหตุใดจึงแตกแยกวุ่นวายถึงปานนี้ ตอบได้อีกทันทีว่า เพราะเมืองไทยไม่ได้เป็นเมืองพุทธมาช้านานอย่างน้อยก็ ๗๐ ปี
ก็คนไทยนับถือศาสนาพุทธเกินกว่าร้อยละ ๙๕ มิใช่หรือ จะไม่เรียกว่าเมืองพุทธได้อย่างไร ตอบว่า แค่เป็นพุทธตามวัฒนธรรม ตามประเพณี รู้จักแต่ทำบุญ ใส่บาตร รู้จักแต่ "กุสะลา ธัมมา" แต่ไม่ได้รู้จัก "พุทธะอันแท้จริง"ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ที่เป็นศาสนาแห่งความรู้ ตื่น และเบิกบานตามที่ควรจะเป็น
พระพุทธศาสนาถูกนำมารับใช้การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสถาบันต่างๆมาช้านาน ไม่ได้มีโอกาสผลิบานเป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณของผู้คนอย่างแท้จริงตลอดยุคสมัยของ "ถิ่นกาขาว"ที่ผ่านมา
หากประเทศไทยจะได้ชื่อว่า "เป็นเมืองพุทธ"อย่างแท้จริงแล้วไซร้ จะต้องสามารถบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ไว้ได้อย่างสง่าผ่าเผยว่า "ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" แต่นี่แสดงว่ายังไม่ใช่ จึงยังทำไม่ได้เหมือนลาว เขมร และพม่า เพราะเหตุนี้จึงกล้าที่จะกล่าวว่า "แท้จริงแล้ว ประเทศไทยยังมิใช่เมืองพุทธ" เพราะเหตุนี้
เมื่อเมืองไทยในยุคสมัยของถิ่นกาขาวที่ผ่านมา ยังไม่ได้ยกย่องพระพุทธศาสนาให้สมกับผู้ทรงสถาปนาบรมราชจักรีวงศ์คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงมีพระราชปณิธานไว้ว่า
"ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี"
เพราะเหตุนั้น ประเทศนี้แม้จะมีรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับ แม้ฉบับที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดคือ รัฐธรรมนูญ ฉบับปี พุทธศักราช ๒๕๔๐ ก็ต้องฉีกอยู่ร่ำไป ตราบใดที่ผู้เป็นใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของพระบวรพุทธศาสนา แล้วกล้าหาญด้วยคุณธรรมอย่างแท้จริง จนกระทั่งสามารถบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศว่า "ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" เมื่อนั้นประเทศไทยจะพบกับความรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่และความสงบสุขจะกลับคืนมา
พระพุทธศาสนาที่เป็นเนื้อแท้ซึ่งพระองค์ทรงตรัสรู้ ไม่ได้อยู่เพียงแค่ทำบุญ ใส่บาตร ทอดกฐินผ้าป่า ปิดทองฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมา แต่คือมรรคาแห่งการรู้แจ้งในความจริงของชีวิตที่มนุษย์ทุกคนควรได้รู้จักให้สมกับที่เกิดมา
คุณค่าที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา คือการที่ใจดวงนี้ได้สัมผัสต่ออิสรภาพภายใน ได้พบกับความสดชื่นผ่องใสด้วยความรู้ ตื่น เบิกบาน
ถึงคราวแล้วที่เราต้องรับกรรมร่วมกันกับคนในชาติ ต้องถึงคราวที่วิบากกรรมของประเทศเข้ามาถึง ถึงคราวที่บาปกรรมแห่งการทำลายล้างพระสงฆ์ผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อมหาชนมาหลายองค์ เราก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่จะต้องเกิดขึ้นและเป็นไป
แม้องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ก็ยังทรงให้จารึกพระราชปณิธานไว้ว่า
"อันตัวพ่อชื่อว่าพระยาตาก ทนทุกข์ยากกู้ชาติพระศาสนา ถวายแผ่นดินไว้เป็นพุทธบูชา แด่พระศาสดาสมณะพระพุทธโคดม ให้อยู่ยงคงถ้วนห้าพันปี สมณะพราหมณ์ชีปฏิบัติให้พอสม ปฏิบัติวิปัสสนาพ่อชื่นชม ถวายบังคมรอยบาทพระศาสดา.."
แต่เราทั้งหลายในยุคนี้ น้อยนักที่จะมองเห็นความดีของพระพุทธศาสนา มีแต่เอาการรักษาอำนาจของตัวเองเป็นใหญ่ มีแต่แสวงหาความร่ำรวยแข่งกันอยู่ทั่วไป มักมองเห็นผลประโยชน์และอำนาจของตนนั้นเหนือสิ่งอื่นใด
ดังนั้น จึงได้เวลาอันสมควรแล้ว ที่จะต้องร้องหาพ่อแก้วแม่แก้วกันถ้วนหน้า สมณะชีพราหมณ์พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เลือดไทยไหลรินและนองด้วยน้ำตาจนเกินไป
นึกย้อนไปในสมัยยังเป็นพระธุดงค์พยายามจะหนีโลก ได้ฟังคำพยากรณ์ของครูบาอาจารย์ในป่า ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีพระออกมาเดินขบวน ซึ่งตอนนั้นแทบจะจินตนาการไม่ออกว่า พระท่านจะออกมาเดินขบวนเหมือนโยมได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ได้เห็นจริงๆหลังจากออกจากป่ามาได้สิบปี
เมื่อสิบแปดปีก่อน มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งก่อนไปอยู่ต่างประเทศ ท่านได้พูดกับบรรดาลูกศิษย์ส่วนหนึ่งว่า ต่อไปอีกภายในยี่สิบปี ประเทศจะเกิดความวิบัติครั้งยิ่งใหญ่ที่อับอายคนทั้งโลก จะต้องพบกับความวิปโยค น้ำตาของคนไทยต้องหลั่งไหลเป็นสายเลือด แล้วปมปริศนาต่างๆจะคลี่คลาย แล้วประเทศไทยจะก้าวสู่ยุคใหม่ ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางจิตใจอย่างแท้จริง
หากเป็นไปได้ ขอภาวนาอย่าให้คำทำนายทั้งหลายอย่าได้กลายเป็นความจริง แต่เมื่อย้อนคำนึงถึงกฎพระไตรลักษณ์แห่งสรรพสิ่ง ที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป เราทั้งหลายจงอยู่กับกรรมฐานประคองจิตใจไว้ ดำรงสติและสัมปชัญญะเพื่อความพร้อมในการต้อนรับทุกปรากฏการณ์
เพราะไม่ยอมยกย่องพระพุทธศาสนา เพราะหัวใจขาดความรักมาช้านาน เพราะไปเอาอำนาจ ความร่ำรวย ความเป็นใหญ่เหนือกว่าคุณธรรมและศาสนา จึงวิวัฒนาการมาสู่ความวุ่นวายในวันนี้
ขอให้เราทั้งหลายจงหันมาช่วยกันเชิดชูพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น จงหันมาให้คุณค่าต่อความสงบสุขของใจตัวเองเป็นพื้นฐาน
ใจที่ขาดความสงบสุขเพราะไม่รู้จักตัวสติที่แท้จริง ย่อมเป็นใจที่ขาดความรัก เป็นใจที่เป็นปมด้อยขาดความมั่นใจในตนเอง แม้จะแต่งงานถึงยี่สิบปีใจดวงนี้ก็ยังชื่อว่าขาดความรัก แม้ว่าภรรยาสามีจะเอาอกเอาใจสักเพียงใด เพราะใจดวงนี้เป็นดวงใจที่ไม่เคยเรียนรู้ความสุขจากการได้เสียสละ มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นแสวงหา เพื่อให้ได้มาสู่ตัวเองหรือครอบครัวตัวเองเพียงอย่างเดียว
หัวใจเช่นนี้คือหัวใจที่ขาดความรัก แม้แต่งงานมายี่สิบปี อยู่ท่ามกลางความสะดวกสบาย ท่ามกลางความร่ำรวย เกียรติยศ ฐานะหรือตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ แต่ลึกๆอยู่ภายในใจ ก็ยังขาดความรักเสมอ
ใจที่แสวงหาเข้ามาสู่ตัวเอง จะเป็นใจที่ขาดแคลนความรักไปจนตาย มีแต่หัวใจที่รู้จักให้ รู้จักเสียสละ รู้จักที่จะมอบสิ่งที่ดีงามให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น หัวใจจึงจะเต็มเปี่ยมด้วยความรักได้
ผู้ที่แสวงหาความรักจากคนอื่น หวังจะให้คนอื่นมาเติมเต็มให้แก่หัวใจตัวเอง จะพบแต่ความพร่องของหัวใจไม่มีวันรู้จักความเต็ม
มีแต่หัวใจที่พร้อมจะให้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้อะไร หัวใจเช่นนั้นจึงจะพบกับความเต็มเปี่ยม แม้ว่าตลอดมาจะไม่เคยเรียกร้องหาความเต็มเปี่ยมเลยแม้แต่น้อย
หากปรารถนาให้หัวใจดวงนี้ไม่ต้องมีความขาดแคลนอีกต่อไป จงตระหนักว่า "ความรัก คือการให้" ไม่ใช่การเรียกร้องเอาจากใคร นั่นแหละคือรหัสนัยของผู้ที่จะได้รับพรอันยิ่งใหญ่ของชีวิตคือความรัก ที่รู้จักความเต็มเปี่ยมของหัวใจตลอดกาล
คุรุอตีศะ
๓๐ มกราคม ๒๕๕๗