คุณค่าของตัวเอง

คุณค่าของตัวเอง

 


               เหตุใดจึงเอาหัวใจของเราไปขึ้นอยู่กับคนอื่น  คุณค่าของตัวเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าจากใครๆ  หากเราเอาชีวิตของเราไปคอยให้คนอื่นประเมินค่า  เราจะต้องพบกับน้ำตาและพบแต่ความเสียใจเรื่อยไป


              คุณค่าในตัวเองของมนุษย์ทุกคนนั้นมีอยู่แล้ว  แต่เพราะเราไม่เคยมองเห็น เราจึงต้องเที่ยวหาใครต่อใครมารับรองว่าเรามีค่า แท้จริงแล้วนับตั้งแต่เกิดมา เราต่างก็มีคุณค่าในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมกันแล้วทุกคน


              หลายคนตั้งเงื่อนไขกับตัวเองไว้ว่า เขาต้องบอกรักแก่เราเสียก่อน  เราจึงจะมีค่าสำหรับเขา แล้วเราจึงจะมอบใจให้กับเขา  แต่วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า เขาก็ไม่เคยบอกคำว่ารักกับเราซักที  อย่างนี้แสดงว่าเราคงไม่มีค่าสำหรับเขาแล้ว

 
              เพราะการไปมัวตั้งแง่ตั้งเงื่อนไขผูกมัดตัวเอง โดยคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องด้วยเช่นนี้ หลายคนจึงกลายเป็นผู้สร้างกำแพงให้ตัวเอง อยู่ในโลกแคบๆเพียงเพื่อคำๆเดียว


              แต่การที่เขาดูแลให้เกียรติพ่อแม่ญาติพี่น้องของเรา และการคอยเอาใจห่วงใยอย่างสม่ำเสมอซึ่งบางทีตัวเราเองแท้ๆก็ยังทำไม่ได้  สิ่งเหล่านี้เรากลับมองข้ามไป  แทนที่ต้นรักจะงอกงามเติบใหญ่ สุดท้ายต้นรักก็แคระแกร็นและเหี่ยวเฉา เพราะคนที่ควรจะรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยคือตัวเรา กลับมารอคอยเงื่อนไขจนสูญเสียเวลาไปเปล่า ทั้งต้นรักและคนปลูกจึงมีแต่ความเหี่ยวเฉาพอๆกัน


              คุณค่าของเราไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับคำบอกรักของเขาแม้แต่น้อย  มีแต่คนที่พูดจาพล่อยๆ เที่ยวบอกรักไปเรื่อยๆ ไม่เฉพาะกับเราเท่านั้น จึงจะมัวสนใจคำโรแมนติคเช่นนั้นได้ โลกแห่งความรักของผู้คนจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะสุภาพบุรุษลูกผู้ชายมักไม่บอกรักสตรีง่ายๆเพราะความให้เกียรติและมอบความจริงใจให้แก่สตรีที่ตนรัก  ส่วนผู้ชายที่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่มีความจริงใจ กลับบอกรักกับผู้หญิงได้เรื่อยไป โดยลืมนับไปว่าบอกไปแล้วกี่สิบคน


               โลกมนุษย์ใบนี้จึงเต็มไปด้วยความสับสน  ไม่เหมือนภูมิของเทวดาหรือชาวลับแลบังบด ที่เขามีศีลและพูดกันด้วยความซื่อตรงจากหัวใจที่แท้จริงได้  แต่โลกของผู้คนซึ่งหนาด้วยกิเลสโดยทั่วไป สตรีสาวสวยทั้งหลายที่ทะนงตนไม่ง้อผู้ชาย ก็มักไปหลงรักพ่อหม้ายหรือคนที่มีเจ้าของอยู่ก่อนแล้ว เพราะมัวแต่หลงสำคัญตนและหลงคารมของคนเจ้าชู้ที่ไม่มีความจริงใจมาเยินยอ

  
               สาวสวยส่วนใหญ่จึงมักไม่ชอบสุภาพบุรุษลูกผู้ชายเพราะไม่ทันใจ  แต่มักจะให้ความสนใจแก่คนที่มาเอาอกเอาใจเพราะความหลงตัวเองของเธอ คนสวยส่วนใหญ่ที่ไม่มีสติปัญญาแยบคาย จึงมักได้แต่งงานกับผู้ชายที่ทำให้ต้องพบกับความผิดหวังในภายหลัง  ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ตนเองเคยลบหลู่ดูหมิ่นคนที่เขาให้เกียรติให้คุณค่าอย่างจริงใจ  กรรมเพราะการดูถูกผู้ชายที่เขาเป็นสุภาพบุรุษและรักจริง นี้คือสิ่งที่สตรีจำนวนมากยังขาดความเข้าใจ


               หลักที่แท้จริงก็คือว่า ผู้ชายที่คิดจะหลอกลวงหรือไม่จริงใจ  เขาจะมีความเพียรความกล้าหาญในการทำอะไรตามใจเราเป็นพิเศษตั้งแต่แรก เขาจะทำให้เราหลงรักได้โดยง่าย พอเขาสมความมุ่งหมายเขาก็กล้าหาญในการจากเราไปด้วยเช่นกัน  ส่วนผู้ชายที่รักจริงนั้น  เขาจะขาดความกล้าหาญและช่างเจียมตนจนน่ารำคาญ  เหตุที่เขาดูช่างเหมือนคนอ่อนแอขาดความกล้าหาญในตอนต้น  ก็เพราะหัวใจของเขาอ่อนปวกเปียกพ่ายแพ้ต่อสตรีที่เขารักนั่นเอง


               ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง กว่าเขาจะรวบรวมความกล้าขึ้นมาใหม่สำเร็จ จนกระทั่งสารภาพหัวใจของเขาออกมาได้  หากผู้หญิงคนใดใจร้อนรอไม่ไหว ก็มักจะพลาดจากผู้ชายที่ดีอย่างแท้จริงในช่วงนี้  และที่น่าอัศจรรย์ก็คือว่า ผู้ชายประเภทนี้ จะขี้ขลาดตาขาวกับสตรีเฉพาะตอนที่เขายังไม่มั่นใจในตัวเองหรือตอนที่สตรียังไม่รับรักเขาเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เขาได้สตรีที่เขารักมาร่วมชีวิตหรือได้แต่งงาน เขาจะเป็นชายที่องอาจกล้าหาญ เป็นผู้นำอย่างเต็มตัวเลยทีเดียว


               ไม่ใช่เฉพาะในฝ่ายผู้หญิงเท่านั้น  ในโลกมนุษย์อันสับสนวุ่นวายนี้  แม้ในส่วนของผู้ชายก็เช่นกัน   ผู้ชายรูปหล่อหรือที่ดีๆหลายคนนั้น  ที่เลือกคู่ชีวิตผิด ก็เพราะไปเลือกสตรีที่เอาอกเอาใจเก่งในตอนที่ยังเป็นเพียงการคบหากัน  แต่ไม่เข้าใจความจริงของชีวิตประการหนึ่งว่า สำหรับกุลสตรีที่แท้จริงนั้น  ก่อนที่เธอจะรับรักชายคนใด คือก่อนที่เธอจะมีความรักหรือก่อนจะแต่งงาน เธอเหล่านี้จะถือตัว ไว้ตัว ถือเกียรติ ถือศักดิ์ศรีไว้อย่างคงมั่น บางคนอาจเผลอเปล่งคำปฏิญาณด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับใช้ใคร”  บุรุษใหญ่น้อยผู้ขาดสติปัญญาในสมัยนี้ส่วนใหญ่ ก็เลยพากันตกใจเพราะกลัวว่าได้เธอไปแล้วคงจะต้องหุงข้าวให้เธอกิน


               สำหรับบุรุษผู้องอาจฉลาดและมีสติปัญญา  เขาจะไม่หลงกลและไม่คิดเช่นนั้น  แต่เขาจะคิดพร้อมกับกระหยิ่มในใจว่า “สตรีที่เปล่งปฏิญาณแบบนี้แหละที่เราต้องการ” แล้วเขาก็อัญเชิญเธอไปเป็นแม่บ้านโดยไม่ใส่ใจต่อคำปฏิญาณของเธอ


                กุลสตรีเหล่านี้เมื่อได้ไปเป็นแม่บ้านหรือแต่งงานไปแล้ว  ธรรมชาติของความเป็นสตรีผู้มีบุญจะเปล่งประกายออกมา  เพราะธรรมชาติของคนมีบุญย่อมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อเธอรู้ฐานะของเธอดีว่า “บัดนี้บุรุษผู้มีตาดีมองเห็นว่า เธอคือเพชรที่เขานำมาประดับเป็นมิ่งขวัญในการสร้างชีวิตและมิ่งขวัญในบ้านเรือน”  เธอย่อมทำหน้าที่ได้ทุกอย่างตั้งแต่เก็บขยะจนกระทั่งการใช้มันสมองในการช่วยบริหารการงานก็ได้ และผลสุดท้าย คำเปล่งปฏิญาณในตอนเป็นสาวว่าไม่ได้เกิดมาเอาอกเอาใจใคร  เธอก็จะกลายเป็นสตรีที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และการเอาอกเอาใจ ที่ไม่มีใครในโลกได้ล่วงรู้นอกจากชายผู้เป็นสามีคู่ชีวิตของเธอ


                  จงตระหนักในคุณค่าของตัวเอง  อย่ารอให้สามีของเรา ภรรยาของเรา คนรักของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเรา  มาเป็นผู้กำหนดหรือให้คุณค่าแก่เราเสียก่อน  จงทำใจเสียใหม่ว่า ใครจะมองเห็นคุณค่าของเราหรือไม่ แต่เราจะขอทำหน้าที่ ทำความดีของเราเรื่อยไป  เพราะได้ทราบชัดถึงความลี้ลับของชีวิตแล้วว่า เราทุกคนต่างมีคุณค่าตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลกแล้ว


                 คุณค่าในตัวเองมีอยู่ทุกขณะ แม้ในขณะที่ถือทัพพีคดข้าวให้ใครกิน คุณค่าในตัวเองมีอยู่เสมอเมื่อเรายกแก้วน้ำให้ใครดื่ม  คุณค่าในตัวเองมีอยู่เสมอเมื่อเราได้ยิ้มและให้กำลังใจแก่ทุกคนที่เราได้พบเจอในแต่ละวัน   และในที่สุดเราก็ค้นพบว่า คุณค่าของตนเองมีอยู่เสมอทุกลมหายใจ   ขอบคุณทุกชีวิตและทุกสิ่ง ที่ทำให้เราได้มองเห็นคุณค่าของตัวเองในวันนี้

 

                                                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                                                     ๒๖  มกราคม  ๒๕๕๗