ปรับตัวสู่การเปลี่ยนผ่าน

ปรับตัวสู่การเปลี่ยนผ่าน

 


             นับตั้งแต่วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมา โลกของเราได้ก้าวสู่ยุคใหม่ที่สิ่งต่างๆจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ใครที่สามารถยอมรับและปรับตัวได้ ผู้นั้นจะอยู่รอดอย่างปลอดภัย  แต่บุคคลใดที่พยายามจะฉุดรั้งหน่วงเหนี่ยวสิ่งที่ตัวเองเคยมีความสุขไว้ บุคคลนั้นจะกลายเป็นบุคคลที่ล้มเหลวเพราะการแพ้ภัยตัวเอง


             การปรับตัวเพื่อเข้าสู่ยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน  เราต้องละทิ้งความคิดและทัศนคติเดิมที่เราเคยกอดรัดและบูชานิยมยกย่องหลายอย่างด้วยกัน  มิฉะนั้นเราจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะก้าวพ้นการเปลี่ยนผ่านอย่างสง่างามได้


            เราต้องปรับตัว ปรับใจ ปรับการใช้ชีวิตกันใหม่ เพราะไม่ว่าเราจะพยายามฉุดรั้งสิ่งต่างๆไว้เพียงใด  เราจะไม่มีทางฉุดรั้งไว้ได้  เพราะกาลเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว


            ใครก็ตามที่ชีวิตการงานเริ่มไม่แน่นอนหรือมีแนวโน้มจะต้องตกงาน  การกลับถิ่นฐานบ้านเกิดหรือการผันตัวเองสู่ชีวิตบ้านนอก จะเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจในภายหลัง  อย่ามัวลังเลฝากอนาคตไว้กับระบบอุตสาหกรรมและระบบทุนนิยมที่กำลังจะล่มสลาย  เพราะบ้านนอกชนบทจะกันดารลำบากเพียงใด ก็ยังไม่ใช่ต้องหาน้ำกลางทะเลทรายแบบปาเลสไตน์และอิสราเอล


            ใครอยากอยู่อย่างมีความสุขในระหว่างปีสองปีนี้  จงอย่าพยายามสร้างหนี้หรือลงทุนอะไรจนเกินตัว  เป็นหนี้ใครก็พยายามใช้และไม่ต้องสร้างหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก  มีรถคันเก่าก็ใช้ไปก่อน  อย่าใจร้อนผ่อนรถคันใหม่ ยกเว้นผู้ที่มีทรัพย์สินเนืองนองที่ออกรถสักคันก็ยังเหลือเงินสิบล้านขึ้นไป  ส่วนผู้ที่กำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ ก็จงขี่ต่อไป อย่าไปเบียดเบียนตนด้วยการไปผ่อนรถยนต์ให้ชีวิตวุ่นวายสับสนในช่วงนี้เป็นอันขาด


              สามีภรรยาที่เคยใช้ชีวิตเอาเงินทองหรือความก้าวหน้าในการงานเป็นใหญ่ หากเป็นไปได้ จงหันมาให้เวลาแก่กันและกันให้มากขึ้น  อย่าเอาเรื่องอื่น เอาเรื่องทรัพย์สินเงินทอง หรือความก้าวหน้าให้อยู่เหนือกว่าความรักความอบอุ่นในครอบครัว บางคนก็ลองเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต จากเคยทำตัวเป็นอาเสี่ยมีลูกน้องมามากมาย ลองมาใช้ชีวิต “ยากจนอย่างเต็มใจ” ดูบ้าง  แบบไม่รู้สึกต้องอายใครในเมื่อเป็นความสุขของเรา


           ภรรยาทั้งหลาย ก็อย่าไปบังคับสามีให้แสวงหาเงินทองหรือหาความก้าวหน้าให้มากนัก จงห้ามหักความอยากได้ อยากมี อยากอวดชาวบ้านของตนแล้วเห็นใจสามีให้มากขึ้น ธรรมดาของสามีที่ดีและรักภรรยานั้น  ภรรยาสั่งให้ไปทำอะไร ก็มักจะเต็มอกเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ขอเพียงไม่ขัดเธอเป็นพอ  ดังนั้น ใครที่เคยสั่งคนรับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ (เจ้าบ่าว แปลว่า คนรับใช้ผู้ยิ่งใหญ่) ให้ออกไปทำงานตามคำสั่งของตนมาช้านาน ต่อไปนี้หากจะสั่งเขาให้กลับมาขายก๋วยเตี๋ยวอยู่กับบ้าน  ชีวิตของเราก็ไม่เห็นว่าจะต้องอับอายใคร


            ถึงเวลาแล้วที่เราทั้งหลายต้องปรับตัว ปรับใจ ปรับการใช้ชีวิตกันใหม่  เพราะยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป  เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว  ชาวบ้านทั่วไปจะถือว่าการทำไร่ทำนาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่  หากใครมองการณ์ไกลส่งลูกเรียนหนังสือ  จะถือว่ามีความคิดแปลกประหลาดไม่ค่อยมีใครยอมรับ


           สี่สิบปีต่อมาสังคมเปลี่ยนไปแล้วว่า หากบ้านไหนไม่ส่งลูกเรียนปริญญา จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีความสามารถ ไม่รักลูก พ่อแม่ต้องกลายเป็นทาสลูก เป็นจำเลยของสังคมไป  แต่ก่อนลูกที่ดีต้องช่วยพ่อแม่ดำนาหรือช่วยขายของหน้าร้าน แต่ตอนนี้ลูกที่ดีคือลูกที่ไม่ต้องทำอะไร ขอเพียงไปโรงเรียนทุกวันและก็อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พอแล้ว


            มาถึงตอนนี้ยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนไปอีกแบบ  ใครจะเชื่อหรือไม่ก็จะขอทำนายไว้แม้จะขัดอกขัดใจใครหลายคนก็ตาม  คือขอทำนายว่า ต่อจากนี้คนเรียนจบปริญญาจะไม่มีความหมายเหมือนเมื่อก่อน  เพราะใครๆก็เรียนได้โดยไม่ต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียร ไม่ต้องใช้มันสมอง ไม่ต้องใช้สติปัญญาเท่าใดนัก ดังนั้น พ่อแม่สมัยใหม่ในยุคต่อไปจงรู้จักมองการณ์ไกล  ในทำนองพ่อแม่ชาวนาชาวไร่พยายามส่งลูกเรียนสมัยก่อน  แต่เป็นการมองการณ์ไกลที่เป็นวิสัยทัศน์ซึ่งกลับตาลปัตร จึงจะเป็นพ่อแม่ที่ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์


             หากเด็กคนใดรักในการศึกษาเล่าเรียน  พ่อแม่จงส่งเรียนให้สูงตามใจของเขาให้เต็มที่แก่ความเพียรและสติปัญญาของเขา เขาจะมีความก้าวหน้าและพบกับความสำเร็จตามวาสนาและความถนัดของเขา


            แต่หากเด็กคนใดไม่ชอบเรียน พ่อแม่ก็ไม่ต้องไปบังคับฝืนใจเขาให้เรียนปริญญาเพียงแค่หวังหน้าตาของตัวเอง แต่จงให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบแล้วส่งเสริมให้กำลังใจเขา  แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จพร้อมทั้งมีคุณธรรมกตัญญูรู้คุณในภายหน้า  ดีกว่าหาเงินจ้างเขาไปทำตัวไร้สาระในสถานศึกษาแล้วก็จบออกมาอย่างชนิดทำอะไรไม่เป็น  นั่นจะเป็นการทำลายและทำร้ายเขาโดยเราจะเสียใจในภายหลัง  เพราะอีกยี่สิบปีข้างหน้าปริญญาที่เราว่าสูงส่งและมีค่ากันในเวลานี้ จะเริ่มไร้ความหมาย  บุคคลที่จะมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการของสังคมในยุคต่อไป คือบุคคลที่มีน้ำใจ พึ่งตนเองได้ รู้จักทำการงานด้วยมือของตน


              ในด้านพระศาสนาก็เช่นกัน  การไปวัดของคนยุคต่อไปนั้น จะไม่ใช่มุ่งไปใส่บาตรทำบุญบริจาคหาผ้าป่ากฐินแบบที่เราเห็นกันอยู่เป็นส่วนใหญ่ในเวลานี้  เพราะคนที่จะเข้าวัดในยุคต่อไปคือคนที่ไม่เคยสนใจวัดวาอารามไม่รู้จักธรรมเนียมทางศาสนามาก่อน เพราะวิถีชีวิตของพวกเขาถูกไล่ต้อนเข้าสู่โรงงานตั้งแต่วัยรุ่น เขาไม่รู้เรื่องการทำบุญ พิธีกรรม หรืออิติปิโสแต่อย่างใด


             หากพระไปบอกบุญหรือเรี่ยไร โดยคิดว่าเขาคงจะดีใจเหมือนยายมา ยายมีที่เราเห็นกันในตอนนี้  คนที่ไปวัดพวกนี้อาจด่าพระเข้าให้ก็ได้ เพราะเขาไม่รู้จักว่าบุญนั้นคืออะไร สมภารในยุคต่อไปต้องสร้างโรงทานไว้หน้าวัดให้เขากินข้าวเสียก่อน เขาจึงจะว่าวัดยังมีคุณประโยชน์สำหรับเขา  พวกเขาจะทำอะไรจะเอาวิชาเศรษฐศาสตร์นำหน้า มักจะมีคำถามว่าทำไปทำไม


            เมื่อเขาใจดีอารมณ์ดีพอพูดคุยกันได้ พระจึงค่อยสอนว่าศีลคืออะไร ต่อจากนั้นไปจึงสอนว่าอะไรคือบุญ ต่อจากนั้นจึงค่อยสอนให้รู้จักคุณค่าของการบริจาคและการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาต่อไป นั่นแหละคือภาระอันยิ่งใหญ่สำหรับท่านสมภารทั้งหลายในยุคต่อไปจะได้เผชิญ


           คนที่จะบวชเป็นพระต่อไปในยุคหน้า จะไม่ใช่คนยากจนที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนต้องอาศัยการบวชเพื่อเรียนหนังสืออีกแล้ว  แต่จะคือพวกที่กำลังอยู่ตามคลับตามบาร์ตามเหลาตามสโมสรที่กำลังอยู่ท่ามกลางอิสตรีและอบายมุขทั้งหลายในตอนนี้  เมื่อแสวงหาคำตอบชีวิตแบบกามสุขัลลิกานุโยคจนเต็มปรี่แล้วก็ยังพบแต่ความหดหู่ในหัวใจ จึงแสวงหาเส้นทางใหม่อันตรงข้ามคือการหลีกเว้นตนให้ออกจากกาม  จนชีวิตรู้จักความสะอาด สว่างสงบ ในที่สุด


           พวกที่ดูหมิ่นพระดูหมิ่นศาสนาอยู่ตอนนี้ หลายคนจะได้บวชพระเป็นกำลังของพระศาสนาต่อไป  ตอนนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผูรู้อนาคตท่านจึงต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้พวกเขาเสพสุขให้ถึงใจไปก่อน


              ส่วนพวกผู้หญิงที่จะเป็นแม่ชีในยุคหน้า จะไม่ใช่พวกอกหัก คนไม่มีทางไปและหรือคนที่สังคมทอดทิ้งแบบที่คนมักดูหมิ่นกัน แต่จะคือพวกที่กำลังนุ่งสั้น  โชว์หุ่น หลงแฟชั่นและกำลังหลงระเริงในสังคมอยู่ตอนนี้  พอถึงเวลาหนึ่งจะมีสิ่งบีบคั้นให้พวกเธอสะเทือนใจ แล้วจะเริ่มคิดถึงสาระของชีวิตด้วยสติปัญญาของตน  หลังจากนั้นคนเหล่านี้จะแสวงหาความอิสระ ความหลุดพ้นเพื่อรู้แจ้งสัจธรรม  นักบวชในพระพุทธศาสนาในยุคต่อไปจะเป็นคนประเภทนี้ส่วนมาก


              ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป  เราทั้งหลายจงตั้งหลักกันใหม่  อย่ามัวจมกับกระแสสังคมและค่านิยมแบบเดิม  หากเป็นเช่นนั้น ชีวิตของเราจะถึงทางตันตามที่เขาว่า


              ต่อไปนี้เราต้องเลิกแข่งขันกัน  เลิกทำตัวเป็นนักธุรกิจ เลิกทำตัวเป็นนักการเมือง เลิกทะเยอทะยาน อันทำให้จิตใจของมนุษย์ตกต่ำ และเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและความวิตกกังวลกระวนกระวาย  เพราะระบบชีวิตแบบบริโภคนิยมหรือทุนนิยมทั้งหลาย เป็นระบบชีวิตที่เอาวัตถุเป็นใหญ่ แต่ลืมคุณค่าของหัวใจและความรักความเมตตาที่มนุษย์ควรจะมีให้แก่กัน


              จงเลิกแข่งขันกัน  แล้วมาร่วมมือกัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน  ห่วงใยมีน้ำใจให้กันดีกว่า  ร่ำรวยไปแค่ไหน สุดท้ายก็ได้แค่เงินใส่ปากหนึ่งบาทและโลงหนึ่งใบ  เป็นคนมีตำแหน่ง ยศศักดิ์ มีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด  สุดท้ายก็เหลือเพียงเถ้าและกระดูกกองเดียวกันทุกรายเมื่อความตายมาถึง  จงมาพัฒนาจิตใจของเราให้มีที่พึ่ง อย่าวิ่งตามคนอื่นในการเป็นบ้าหอบฟางกันอีกเลย


             ปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่  อย่าได้เอาเงินทองหรืออำนาจความยิ่งใหญ่ มาอยู่เหนือหัวใจของความเป็นมนุษย์  จงเคารพกันที่คุณธรรม ไม่ใช่เพราะยศศักดิ์ เงินทอง เกียรติยศอันเป็นของนอกกาย  สิ่งเหล่านี้นำติดตัวไปไม่ได้เมื่อไปสู่ภพหน้านอกจากบุญกุศล


            ขอให้ทุกคนจงมีกำลังใจ ในการที่จะเผชิญต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นแก่โลก ประเทศชาติบ้านเมือง สังคม  และครอบครัวของเรา  พึงมีสติรู้ตัวอยู่เสมอในชีวิตแต่ละวัน


            จำไว้เป็นหลักอันมั่นคงข้อหนึ่งว่า ไม่ว่าชีวิตจะพบกับเหตุการณ์ที่ดีหรือร้ายเพียงใด  เราจะดำรงสติไว้และไม่ยอมทิ้งธรรมเป็นอันขาด  สิ่งทั้งหลายอื่นใดหากจะต้องสูญเสียไป  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะไม่ยอมสูญเสียไม่ว่ากรณีใด สิ่งนั้นก็คือคุณธรรมประจำใจของเรา

 
                                                                  
                                                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                                                    ๒๕  มกราคม  ๒๕๕๗