ขอเพียงใจเป็นกุศล

ขอเพียงใจเป็นกุศล

 


                 ชีวิตในแต่ละวันไม่ต้องคาดหวังอะไรให้ยิ่งใหญ่เกินไปนักก็ได้   ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องปรารถนายศศักดิ์  ตำแหน่ง ความร่ำรวย อำนาจ เกียรติยศ ความยิ่งใหญ่ จนความวิตกกังวลท่วมทับหัวใจ  ขอเพียงให้หัวใจของเราดวงนี้เป็นกุศลก็พอ  การดำริไว้ในใจอย่างนี้  ย่อมเป็นภูมิคุ้มกันอย่างดีของชีวิต


                บางคนตกใจกับข่าวคราวของดาราบางคน  ที่เคยประกาศถอนหมั้นเพื่อออกบวชตลอดชีวิต  สุดท้ายชะตากรรมได้ลิขิตให้ลาสิกขากะทันหัน  ทั้งที่บวชยังไม่ได้ถึงสองปี  ความผิดหวังที่เคยยึดมั่นว่าท่านจะบวชไปจนตลอดชีวิต แต่กลับสึกออกมาอย่างโดยง่าย ก็เกิดความตรอมใจว่าเหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนั้น


                 ก็นี่แหละคือการทำในสิ่งที่ทำได้ยากของ “ชีวิตประพฤติพรหมจรรย์” ที่ได้รับการพิสูจน์ตลอดมาทุกยุคทุกสมัยว่าเป็นของยากจริงๆ  เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้พระเคารพกันที่พรรษา ใครบวชก่อนเพียงหนึ่งนาทีก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสมากกว่า  ไม่ได้เคารพกันที่การจบปริญญา หรือความเป็นเจ้าคุณหรือพระครู  เพราะการจะผ่านในแต่ละพรรษาได้  ท่านต้องทวนกระแสกิเลสตลอด  ใครผ่านได้หนึ่งพรรษาก็เหมือนคนที่ชนะศึกสงครามรอดตายมาได้ในแต่ละปี  ในทางธรรมการเคารพกันย่อมเป็นแบบนี้


                 การสึกของพระจึงเป็นเรื่องธรรมดา  แต่ที่ท่านยังอยู่กันได้นั่นสิ จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์  ดังนั้น  จึงไม่มีอะไรน่าตกใจ  เพราะฝนจะตก แดดจะออก คนจะคลอดลูก หรือพระจะสึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครห้ามได้


               “การบวชเป็นของยาก  การยินดีในการบวชยิ่งเป็นของยาก” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้  จะเห็นได้ว่าทั้งประเทศไทยมีผู้ชายตั้งหลายสิบล้าน  แต่ก็มีผู้ที่บวชอยู่ได้จริงๆที่ไม่ใช่บวชตามประเพณีแล้วก็สึกนั้นมีไม่เท่าไหร่  ถ้าหากการบวชเป็นของง่าย หรือเพียงแค่การประกาศว่าจะบวชตลอดชีวิตแล้วก็บวชได้  ป่านนี้ประเทศไทยคงจะมีพระเป็นล้านเหมือนคนที่เรียนจบปริญญา


              แต่นี่ก็เพราะหาบุรุษอาชาไนยที่บวชจริง สละจริงในการอุทิศชีวิตให้ศาสนานั้นแสนยาก  และที่ยังบวชกันอยู่ได้นั้นก็ยังต้องทนกันทุกพรรษา  ยกเว้นท่านที่มีภูมิจิตเป็นอริยะนั้นขอยกไว้  เพราะสำหรับผู้เป็นเช่นนั้นท่านยินดีพอใจในการบวชโดยไม่รู้สึกว่าต้องทน  แต่สำหรับผู้ที่ท่านยังเป็นปุถุชน  ที่ท่านสามารถอดทนจนกว่าจะพ้นแต่ละพรรษา ก็นับว่าสุดยอดควรแก่การกราบไหว้ได้แล้ว


              คนแต่ก่อนท่านจึงสอนว่า ถ้าเห็นพระสึกให้ทำใจและยอมรับว่า “ท่านหมดบุญในผ้าเหลือง” แต่ท่านไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ท่านมายินดีพอใจในชีวิตในระนาบที่ต่ำกว่าในฐานะฆราวาส ไม่ต้องเป็นที่กราบไหว้ของใคร  พระที่ท่านสึกก็เป็นที่เข้าใจกันดีโดยมองตากันก็รู้ทันทีว่า อันเรื่องของ “กามารมณ์”เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ประจำชีวิตมนุษย์และสัตว์ แต่ไม่ใช่จะพากันโกรธแค้นพระอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนคนสมัยนี้


            นั่นแสดงว่ายังเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจ “ชีวิตความเป็นพระ” และก็ไม่เข้าใจว่าอำนาจความยิ่งใหญ่ของกามกิเลสที่ท่วมทับหัวใจสัตว์โลกว่ามีอานุภาพเพียงใด  แม้แต่พระโพธิสัตว์ผู้มีบารมีใหญ่  บางพระชาติพระองค์ก็ยังเคยพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน ก่อนจะมาถึงพระชาติสุดท้ายที่ทรงตรัสรู้  คนเหล่านี้น่าจะจับมาบวชสัก ๓ พรรษา  รับรองว่าจะไม่กล้าด่าพระและดูหมิ่นเหยียดหยามกันทั้งประเทศต่อพระที่ท่านพบกับชะตากรรมต่างๆเหล่านั้นเลย


            คนทุกวันนี้ที่เหยียบย่ำเหยียดหยามพระกันโดยง่าย  ก็เพราะส่วนใหญ่ได้แต่เรียนหนังสือแต่ไม่มีใครบวชทรงพระวินัยได้ครบหนึ่งพรรษา  บวชก็บวชไปอย่างนั้น  เช้าเอน เพลนอน บ่ายๆพักผ่อน กลางคืนจำวัด หากบวชแล้วไม่ได้ทรงพระวินัย ไม่ได้ปฏิบัติ  เมื่อสึกออกไปแล้วจะไม่อยากไปวัด และจะกลายเป็นคนดูหมิ่นพระดูหมิ่นศาสนา  เพราะเอาตัวเองเป็นมาตรฐานว่า คนอื่นที่บวชก็คงเหมือนตัวเอง


             ส่วนผู้ที่ท่านมีศรัทธาบวชจริงในศาสนา  เมื่อบวชแล้วหมั่นศึกษาพระธรรม  ทรงธรรมทรงวินัย แม้จะสึกหาลาเพศออกไป  บุคลนั้นจะยังคงเลื่อมใสต่อศาสนาและพระสงฆ์อยู่เสมอ  เพราะยอมรับกับตัวเองว่า “การบวชเป็นของยาก  การยินดีในการบวชไปนานๆ ยิ่งเป็นของยากมากกว่า” ดังนั้นจึงอบรมสั่งสอนลูกหลานและภรรยา  ให้กราบไหว้วันทาพระสงฆ์องค์เณรสร้างสมบุญให้แก่ตัว


             นี้คืออานิสงส์ของผู้ที่บวชจริง บวชแล้วก็ทรงธรรมทรงวินัย บวชเพื่อสืบทอดอายุพระศาสนา แม้จะสึกออกมาเพราะมีบุญบวชได้เพียงแค่นั้น  แต่ท่านก็จะอุปถัมภ์ค้ำชูศาสนาได้จนตลอดชีวิต  ไม่ต้องกล่าวไปถึงท่านที่เป็นอริยบุคคลหรือท่านที่บวชได้ไปตลอดแต่อย่างใด  และบางท่านก็สึกเพราะเหตุผลอื่นก็มี


            ชีวิตของคนเรา  ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะบรรพชิตหรือฆราวาส  ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือหัวใจ  ความสุขความทุกข์ ความสมหวังผิดหวัง ความดีใจเสียใจ  ย่อมต้องมีเสมอกันเสมอไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส  ชีวิตของคนเรา มีขึ้นแล้วก็มีลง มีเฟื่องฟู มีอับเฉา  เราทั้งหลายจึงไม่ควรมีความประมาทหวังจะเอาแต่ความสนุกสนานเฮฮาเพียงอย่างเดียว  วิถีชีวิตของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน


            เพราะฉะนั้น  ในแต่ละวัน เราจึงควรประคองใจให้อยู่ในคลองของกุศลไว้เสมอ  อย่าปล่อยใจให้ไหลไปกับกระแสกิเลส อะไรดูแล้วได้ฟังแล้วไม่สบายใจ ทำให้ใจขุ่นมัว ก็เลิกดูเลิกฟัง เพียงเท่านั้นใจของเราก็เกิดกุศลแล้ว  ใจของเรานี้แหละคือเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าเรื่องใดในโลก    หมั่นรักษาใจไว้เสมอ

 


                                                                             คุรุอตีศะ
                                                                    ๑๙  มกราคม  ๒๕๕๗