คุณธรรมมิใช่คำพูด

คุณธรรมมิใช่คำพูด

 


               หญิงและชายเมื่อรักกัน  เขาและเธอมิได้ต้องการคุณธรรมอะไร  ไม่มีฝ่ายใดพูดถึงคุณธรรมความดี  แต่เมื่อเขาเลิกราหมดรักกันลงวันใด  เขาและเธอจึงจะพร่ำและเรียกหาคุณธรรมจากกันและกัน


              คนที่เป็นพ่อและแม่  ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีคุณธรรมอะไร  แต่เลี้ยงลูกจนเติบโตมาได้ก็เพราะอาศัยความรักความเมตตา  แต่เมื่อเรากล่าวถึงบุคคลที่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่  อุตสาหะในการฟูมฟักบุตรธิดาด้วยความรักจนลูกเติบโตเป็นคนดีและตั้งตัวได้  เราจึงเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นพ่อแม่ที่มีคุณธรรม


              หนุ่มสาวที่แต่งงานกัน  ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีคุณธรรมอะไร  เพียงแต่อยากมีอีกฝ่ายเคียงข้างอยู่ใกล้ๆและร่วมแรงร่วมใจในการสร้างชีวิตและสร้างอนาคตด้วยกัน  จนกระทั่งถักทอสานฝันจนถึงวันแห่งความสำเร็จ  เมื่อเรากล่าวถึงผลแห่งการปฏิบัติตนของสองคนนั้น เราจึงพูดว่า เป็นสามีภรรยาที่มีคุณธรรม


             พระอาทิตย์ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีคุณธรรม  เพราะฉะนั้น จึงสามารถส่องแสงสว่างและให้ความอบอุ่นอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย  แต่ถ้าพระอาทิตย์เริ่มเรียกหาคุณธรรมในวันใด  วันนั้นพระอาทิตย์อาจหมดกำลังใจที่จะส่องแสงก็อาจเป็นได้


             พระจันทร์ไม่เคยคิดถึงคุณธรรมอะไร  และก็ไม่เคยใส่ใจว่าชาวโลกจะมีคุณธรรม  เพราะเหตุนั้น พระจันทร์จึงส่องแสงนวลใยเป็นเพื่อนมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณทั้งหลายได้  หากพระจันทร์เรียกร้องหรือพูดถึงคุณธรรมในวันใด  พระจันทร์อาจหมดแสงสีนวลใยและหมดรัศมีของพระจันทร์ก็ได้


            มนุษย์ผู้มีคุณธรรมที่แท้จริง  ไม่เคยสนใจคุณธรรม  และไม่เคยคิดว่าตัวเองมีคุณธรรม  แต่บุคคลผู้พร่ำแต่คำว่า “คุณธรรม”  อาจเป็นผู้ที่ยังอยู่แค่ปากประตูแห่งความหมายของคุณธรรม  แต่ก็แปลกอย่างยิ่งเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในโลก  มักจะเข้าใจว่าบุคคลประเภทหลังนี้คือผู้มีคุณธรรม


            ผู้มีคุณธรรมที่แท้จริง  มีรากฐานอันสำคัญคือ หัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อบุคคลอื่น  หัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ไม่เคยเรียกหาคุณธรรมจากใคร  มีแต่คนที่หัวใจไม่เหลือความรักอีกแล้ว  จึงจะเหลียวหาเรียกร้องเอาคุณธรรม


           สูงสุดคือมนุษย์มีดวงใจเปี่ยมด้วยความรัก  รองลงมาจากนั้น  จึงเป็นเรื่องคุณธรรม  หลังจากนั้นจึงเป็นศีลธรรม  ต่ำลงมาจากศีลธรรมจึงเป็นกฎหมายหรือการปกครอง  หากพ้นจากกฎหมาย  สังคมนั้นก็จะเข้าสู่กลียุค  มีสภาพไร้ขื่อไร้แป    กฎหมายคือกติกาอันต่ำที่สุดในการที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันในสังคม


              คนที่สังคมยกย่องว่ามีคุณธรรมอาจมีหัวใจที่ขาดความรักขาดน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ก็ได้  เพราะการสำคัญตนว่า “เป็นคนดีมีคุณธรรม” จะเป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้เขาสามารถเป็นเพื่อนกับมนุษย์ด้วยกันได้  จนกว่าเขาจะพัฒนาจิตใจจนกระทั่งมีความรักความเมตตาอย่างแท้จริงขึ้นมาในจิตใจ  จนเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรมอะไร  เพียงแต่มีความรักและความปรารถนาดีอย่างจริงใจ  เมื่อนั้นแหละสิ่งที่ดีงามและความอบอุ่นจะหลั่งไหลออกจากตัวเขา  และทำให้คนอื่นพูดออกมาได้เองว่าบุคคลนั้นเป็น “ผู้มีคุณธรรม”


             ความมีคุณธรรมไม่ได้เกิดจากการที่ผู้นั้นประเมินตนเองแล้วสำคัญตนว่าตัวเองมีคุณธรรม  แต่เกิดจากหัวใจที่ดีงามที่เต็มเปี่ยมด้วยความไร้เดียงสาที่หลั่งออกมาอย่างเป็นธรรมชาติสู่เพื่อนมนุษย์  แล้วคนอื่นพากันกล่าวขวัญถึง  อัตตาหรือความสำคัญตนมีน้อยเพียงใด คุณธรรมจะหลั่งไหลออกมาเพียงนั้น


             คุณธรรมจะงอกงามและเติบโตได้ ในท่ามกลางหัวใจที่ศรัทธา เคารพยำเกรงและเจียมตัวว่าตัวเองยังไม่มีคุณธรรมอะไร   และคุณธรรมภายในจะเกิดความชะงักงันไม่อาจงอกงามต่อไป เมื่อหัวใจดวงนั้นเกิดความสำคัญตนว่าเป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว  คนที่หลงตนว่าเป็นคนดี  ความดีจะเริ่มชะงักการเติบโต


              คนดีจะดีได้เรื่อยไป ตราบเท่าที่เขายังไม่สำคัญตนหรือรู้สึกตัวว่าตนเป็นคนดี  แต่จะเริ่มกลายเป็นคนดีที่เสียคนในทันที เมื่อสำคัญตนว่าเรานี้ช่างแสนดีแสนประเสริฐกว่าคนอื่น


             สังคมไทยทุกวันนี้  ที่สับสนวุ่นวาย นอกจากการไม่ค่อยมีคุณธรรมตามที่พูดกันอยู่ทั่วไป อีกส่วนหนึ่งก็เพราะมีสาเหตุมาจากผู้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นคนดีทั้งหลาย ไปสงวนลิขสิทธิ์ว่าตนเท่านั้นเป็นคนดี  หากเฉลียวใจว่าแท้จริงแล้ว คนอื่นเขาก็มีดีของเขาเหมือนกัน ไม่ใช่ดีแต่ฝ่ายเราฝ่ายเดียว  ความปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้  เมื่อเคารพและยอมรับคนอื่นว่าเราและเขาต่างก็มีสิทธิ์ที่จะดีจะชั่วได้พอๆกัน  จะทำให้มิตรไมตรีเกิดขึ้นได้และช่วยเยียวยาความบาดหมางทั้งปวง


            เพราะหากเราดีจริงแล้ว เราต้องอยู่บนสวรรค์  และถ้าเขาชั่วจริง พวกนั้นต้องอยู่ในนรก  แต่ที่ยังมาเดินบนถนนและกินข้าวอยู่เหมือนกัน  อยู่บนโลกใบนี้เหมือนกัน  ก็แสดงว่าต้องมีดีมีชั่วพอๆกันอยู่ไม่น้อย


            ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่พุทธทาสภิกขุ ท่านจึงมีคำพูดที่กระตุกกิเลส ที่หลายคนอาจฟังไม่ได้อยู่คำหนึ่งว่า “ชั่วหรือดี ก็อัปรีย์พอกัน” อันหมายความว่า ไม่ให้ยึดดียึดชั่วด้วยอุปาทาน จนกระทั่งต้องมาล้างผลาญกันจนลืมเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  คำพูดเช่นนั้นคือคำพูดให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นคำพูดของผู้ทรงปัญญาที่พูดให้ทุกคนเกิดแสงสว่างพบทางสงบ นั่นคือ “สุญญตาธรรม”


             หากเราทั้งหลายปรารถนาให้ “คุณธรรม”งอกงามในจิตใจ  จงเจริญสติไว้อย่าไปเผลอคิดว่า “ตัวเรานี้เป็นคนดีมีคุณธรรม”เป็นอันขาด  จงปล่อยให้ผู้คนทั้งหลายเป็นผู้ทรงคุณธรรมกันต่อไป  ยกเว้นแต่ตัวเรานี้จะขอเป็นผู้ไร้คุณธรรมอยู่คนเดียว


             เมื่อตัวเรานี้ยังเป็นผู้ต่ำต้อยในคุณธรรม  เราจึงยังต้องเจียมตัวทำความดีไม่ประมาท  มิฉะนั้นจะพลาดไปทำชั่วเมื่อไหร่ก็ได้   แต่ละวันจะขอเพียรทำดีเรื่อยไป  ตามประสาคนต่ำต้อยยากไร้ที่ไม่มีคุณธรรม


            เราจะมอบความรักให้กับคนทั้งโลก ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อความทุกข์ความโศกเศร้าของผู้คนทั้งหลาย  เป็นสามีก็จะขอถนอมน้ำใจภรรยาเรื่อยไป  เป็นภรรยาก็จะเอาอกเอาใจมอบความรักความภักดี โดยไม่สนใจว่าเขาจะรักตัวเรานี้เพียงใดก็ตาม


           เราเจียมตัวไม่หาญกล้าที่จะมีเป็นคนดีมีคุณธรรมเหมือนใครอื่น  แต่จะมีสติรู้สึกตัว มีความตื่นและเบิกบานอยู่เสมอ  ถึงเวลาก็หุงข้าว  กวาดบ้าน  ทำงาน  ทำหน้าที่ในแต่ละวันเรื่อยไป  ตามประสาหัวใจที่รู้ตัวดีว่ายังไร้คุณธรรมอยู่ไม่น้อย


          คุณธรรมไม่ใช่คำพูด  คนที่พยายามพูดถึงคุณธรรมอาจไม่มีคุณธรรมก็ได้ แต่เมื่อมีความรักความเมตตาในหัวใจ  ไม่เคยมีนักปราชญ์ท่านใดจะกล้ากล่าวว่าหัวใจเช่นนั้นไม่มีคุณธรรม


         จงมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  แล้วคุณธรรมทุกอย่างจะหลั่งไหลสู่หัวใจของเรา  เป็นหัวใจที่ใครจะบอกว่าเรามีคุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรมก็ได้  เพราะเราเข้าใจแล้วว่า คุณธรรมนั้นไม่อาจมีได้เพียงแค่คำพูด  แต่คุณธรรมย่อมงอกงามอย่างรวดเร็วใน “หัวใจที่ไร้เดียงสา”


         ผู้มีหัวใจที่ไร้เดียงสา  ไม่มีความสนใจในคำว่า “คุณธรรม” อีกแล้ว เพราะคำนี้ย่อมใช้กับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่รู้จักคุณธรรมที่แท้จริงเท่านั้น  ชีวิตของท่านย่อมอยู่แต่กับสติไปแต่ละวันเป็นหลัก


        ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรมแต่อย่างใด     ท่านจะมีแต่หัวใจที่รักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีใครมายกย่องท่านว่ามีคุณธรรมหรือไม่

 

          คุณธรรมเช่นนี้แหละคือคุณธรรมจริง  บุคคลเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมอบความรักและเกื้อกูลต่อเพื่อนมนุษย์ได้โดยไม่เบื่อหน่าย

 


                                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                                     ๑๘  มกราคม  ๒๕๕๗