ดุจเกลือรักษาความเค็ม

ดุจเกลือรักษาความเค็ม

 


                เมื่อชีวิตได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ดีงามและปลอดภัยอยู่แล้ว  จงเดินต่อไปด้วยความไม่หวั่นต่อกระแสบีบคั้นและมรสุมทั้งปวง  ในยุคนี้คนที่จะประคองตนให้เดินอยู่บนหนทางแห่งความดีช่างมีน้อย  ขอให้เราได้เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสและสามารถทำในสิ่งที่ยากสิ่งนี้ได้  แม้จะไม่มีใครเห็นความสำคัญหรือไม่อยู่ในสายตาของใคร  แต่เราก็จะดำรงศรัทธาด้วยความมั่นใจในพระธรรมของพระพุทธองค์เสมอ


                 เมื่อเรามีโอกาสมีวาสนา ได้พบเส้นทางอันประเสริฐที่ผู้ทรงปัญญาบอกทางชี้ให้เดิน  ได้มีโอกาสบำเพ็ญทาน  รักษาศีล  และมีศรัทธาในการภาวนา  เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็มีค่าอยู่ในตัวเองอย่างพร้อมสมบูรณ์ยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายภายนอกตัว


                เมื่อเราคือคนหนึ่งที่เห็นคุณค่าในการประพฤติดีและมีศีล  เราจงมีสติในการประคองตนอยู่ในศีลธรรมดุจจามรีรักษาขนหาง  ไม่ควรไขว้เขวไปกับถ้อยคำโน้มน้าวชักจูงลงสู่ที่ต่ำของคนพาล  ที่ไม่ต้องการเห็นใครทำความดีหรือมีศีลธรรม


               หากเราเป็นคนหนึ่งที่มีบุญวาสนา  ได้สามารถประคองตนผ่านภัยอันตรายในสังคมนานา  แม้จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมที่ฟอนเฟะสักเพียงใด  แต่ก็ยังเป็นผู้หนึ่งที่ครองความบริสุทธิ์ของตนเองไว้ได้ ในขณะที่ใครๆหัวใจแตกสลายและมีชีวิตที่ยับเยินไปกับกระแสสังคม  แต่เรานี้ได้เป็นเรือลำน้อยเพียงไม่กี่ลำ ที่ฝ่ากระแสคลื่นอันน่ากลัวรอดพ้นอันตรายผ่านมาได้  ขอให้เราจงภาคภูมิใจที่รักนวลสงวนตัวมาได้ด้วยความมีสติอันมั่นคง


               ในท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของสังคม  ที่เขานิยมทดลองเพศศึกษา เป็นสังคมที่สตรีส่วนใหญ่ไม่อยากรักนวลสงวนตัวอีกแล้ว  ไม่เห็นคุณค่าของการรักษาเพชรอันล้ำค่าประจำชีวิตลูกผู้หญิงคือการรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนกว่าจะพบชายใดที่คู่ควร  จึงค่อยมอบกายและใจให้ตามธรรมชาติ  อันจะเป็นความองอาจและมีอำนาจในตัวสตรีไปจนวันตาย  แม้ใครจะพากันบอกว่าเป็นคนโง่ แต่เราก็จะพยายามพากเพียรรักษาสิ่งอันมีค่าของสตรีไว้  ดุจพระที่ท่านรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์เพื่อบรรลุนิพพาน

 
              เราจะเชื่อคำสอนของผู้ใหญ่ที่บอกรหัสนัยว่า สิ่งนี้จะเกิดอำนาจให้สามีเกรงใจและเป็นหญิงที่มีบุญวาสนาที่สามีจะมอบความเป็นใหญ่ภายในบ้าน  และจะมีบารมีในการปกครองข้าทาสบริวาร และทั้งญาติของสามีและญาติของตัวเองจะเกรงใจ  เพราะสิ่งนี้คือการประคองตัวประคองใจที่ต้องใช้สติอย่างมาก


                 แท้จริงแล้ว “การรักนวลสงวนตัว” มิใช่ของคร่ำครึหรือโบราณแต่อย่างใด  แต่คือการปฏิบัติสติปัฏฐานของสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก่อนที่จะไปรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่คือความเป็นแม่บ้านในอนาคต  ดุจเดียวกับที่มีธรรมเนียมให้ชายไทยพออายุ ๒๐ ปีต้องบวชเรียนเสียก่อนอย่างน้อยหนึ่งพรรษาเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่แล้วค่อยมีครอบครัว   นี้คือคือหลักสูตรการปฏิบัติกรรมฐานของหนุ่มสาวยุคโบราณ


                พระหนุ่มๆในวัยเพียงแค่นั้น  ที่ต้องประคองสติในการเผชิญกับสัญชาตญาณทางเพศในวัยเจริญพันธุ์  โดยมีพระอาจารย์ผู้มีจิตอันมั่นคงแล้วในศาสนาคอยให้สติและประคับประคอง  ได้รับการพัฒนาจากคนดิบกลายเป็นคนสุก  เป็นผลไม้ที่บ่มแล้วจึงสุกและบริโภคตามขั้นตอน ไม่ใจเร็วด่วนได้  จึงมีภูมิคุ้มกันในจิตใจ เพราะการได้ฝึกจิตใจจนเป็นบัณทิตเสียก่อน  แล้วสึกออกมาเป็น “ทิด” เพื่อมาเป็นผู้นำครอบครัว    ถือว่าได้ผ่านหลักสูตรสำคัญของชีวิตที่นำมาใช้ในการดำรงตนไปจนวันตาย


               ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงครองเรือนด้วยความร่มเย็นและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลาน  บางท่านที่ครองตนอยู่ในศีลในธรรมอย่างมั่นคง  หมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา  ท่านก็กลายเป็นพระอริยบุคคลอยู่ในบ้านโดยลูกหลานไม่รู้ก็มี   รู้แต่ว่าเป็นปู่ย่าตายายที่ใจดีและเป็นคนใจบุญมั่นคงในศาสนา


              สตรีที่ยังสาวบริสุทธิ์  ได้ปฏิบัติสติปัฏฐานด้วยการรักนวลสงวนตัว  สติย่อมดีกว่าคนทั่วไปและจิตใจไม่บอบช้ำก่อนที่จะทำหน้าของแม่บ้านเมื่อครองเรือน  ส่วนผู้ชายก็ปฏิบัติสติปัฏฐานด้วยการไม่ไปล่วงเกินสตรีที่ยังมิใช่ภรรยาของตน  ซึ่งหากสติไม่มั่นคงจริงแล้วย่อมยากที่ชายหนุ่มจะทำได้เช่นนั้น


             การเป็นสุภาพบุรุษ  แท้จริงแล้วก็คือการมีสติในการเกี่ยวข้องกับสตรีของบุรุษผู้นั้นนั่นเอง ส่วนการการเป็นกุลสตรีหรือสุภาพสตรี  ก็คือการปฏิบัติตนด้วยความมีสติของสตรี ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึกจนกว่าจะมีคู่ครอง  ความละอายของสตรีและความรู้จักยับยั้งชั่งใจ คืออานุภาพในตัวเองของสตรีผู้นั้น ที่ทำให้บุรุษผู้เป็นสามีหรือผู้ชายทั่วไปไม่กล้าดูหมิ่นล่วงเกินแม้วัยจะล่วงไปเพียงใด


           สิ่งเหล่านี้ เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐานหรือการเจริญสติที่กลายเป็นวัฒนธรรม  เป็นการดำเนินชีวิตอย่างงดงามของบรรพบุรุษของเรา  ไม่ใช่การงมงายหรือคร่ำครึเหมือนที่หลายคนเข้าใจ  แต่คือ “วัฒนธรรมสติปัฏฐาน” ที่ทุกคนทั้งชายและหญิงพากันปฏิบัติจนกลายเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ประเทศไทยจึงได้รับขนานนามว่า “สยามเมืองยิ้ม” ที่ได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลก เพราะมีแต่คนใจดี ยิ้มง่าย และใจบุญ


          ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปกฎหมาย  ปฏิรูปเศรษฐกิจ เราปฏิรูปกันบ่อยมากแต่ก็ไปไม่ถึงไหน เพราะเราไม่เคย “ปฏิรูปหัวใจ” ด้วยการเอา “วัฒนธรรมสติปัฏฐาน"ที่ถูกสาดทิ้งไปกลับคืนมา  ตราบใดที่ใจของผู้คนยังไม่มีการฝึกสติ  สิ่งทั้งหลายแม้จะพัฒนาสักเพียงใดก็จะนำไปสู่จุดเสื่อม  จงหันมาพัฒนาจิตใจให้มีสติมากขึ้น  ทั้งปัญญาชนคนชั้นสูงหรือคนห่างไกลจากเมืองหลวงหรือชนบท  ชีวิตที่กำลังถึงทางตันก็จะโล่งและพบแสงสว่าง


                เหตุที่ผู้คนเคารพและให้เกียรติต่อคนชั้นสูงหรือ “ผู้ดี” เพราะผู้ดีที่แท้จริงแต่ก่อนนั้นจะได้รับการฝึกกิริยามารยาท การเดิน การนั่ง การกิน การอยู่ การแต่งกาย ไปทุกอย่าง การฝึกอย่างนั้นก็คือการฝึกสติปัฏฐานหรือการเจริญสติโดยที่นำไปใช้ในรั้วในวัง  คนชั้นสูงหรือผู้ดีทั้งหลายจึงมีกิริยามารยาทและมีสติสำรวมระวังกว่าคนธรรมดา  แต่เมื่อใดหากในสังคมนั้นขาดการเจริญสติ ความเป็นผู้ดีก็ลดลงไป  ความเสื่อมก็มาเยือน   เนื่องจากรากฐานของคุณธรรมที่สำคัญคือการเจริญสติในชีวิตประจำวันที่ขาดหายไปนั่นเอง


               สังคมของเราปัจจุบันนี้  ไม่ค่อยหลงเหลือความเป็นผู้ดีให้เราเห็นกันเท่าไรนัก  เพราะตลอดมาตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เราก็มุ่งหน้าความเจริญทางวัตถุและความอยู่ดีกินดีเพียงอย่างเดียว  แต่เราเอาความเจริญทางจิตใจแล้วเอาศาสนาไว้ข้างหลัง สุภาพบุรุษ สุภาพสตรีจึงมีอยู่น้อย


              หากใครไปวัดรักษาศีล คนจะปรามาสหาว่าอกหักหรือผิดหวังในชีวิต หรือไม่ก็หาว่าเชย ผลก็เลยมีแต่คนดูหมิ่นเหยียดหยามกันไม่หลงเหลือความเป็นผู้ดี  นี้ก็เพราะไปวัดคุณค่าของคนที่ปริญญา ความร่ำรวย  อำนาจ  เกียรติ หรือความเป็นใหญ่  แทนที่จะวัดกันที่คุณงามความดีของจิตใจ  ผลสุดท้ายเลยต้องทะเลาะเบาะแว้งชอกช้ำใจกันทั้งประเทศ  นี้แหละคืออาเพศของการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา  จงหันหน้ามาเจริญสติปัฏฐานแบบคนโบราณให้มากขึ้นกันตั้งแต่บัดนี้เถิด


                ในยามนี้  หากบุคคลใดสามารถรักษาความดีและรักษาความเป็นผู้ดีไว้ได้  เมื่อความวุ่นวายสับสนที่เห็นกันอยู่นี้ผ่านพ้นไป  บุคคลนั้นจะได้เป็นใหญ่และมีอิทธิพลในบ้านเมืองและสังคม


               ดังนั้น  ในยามสังคมพบกับความวิกฤติ  สำหรับท่านทั้งหลายที่รักษาความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสุภาพสตรีไว้ได้ จงรักษาคุณความดีของตนไว้ให้เป็นดุจเกลือที่รักษาความเค็ม


              ขอท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวต่อการล่วงเกินทั้งหลายดุจช้างศึกที่กำลังเข้าสู่สงคราม  ปล่อยให้เขาพากันล่วงเกินท่าน  แต่ท่านอย่าล่วงเกินเขา  แล้วจงให้อภัย จงดำรงสติให้มั่นคงต่อทุกปรากฏการณ์ที่ผ่านเข้ามา  นั่นแหละคือชีวิตอันงามสง่าที่จะปรากฏแก่สายตาของทุกคนตราบจนวันตาย

 


                                                                                              คุรุอตีศะ
                                                                                        ๑๗  มกราคม  ๒๕๕๗