อย่าปล่อยความหลังให้ฝังใจ

อย่าปล่อยความหลังให้ฝังใจ

 


                ชีวิตของคนเราไม่มีใครสะอาดหมดจดและก็ไม่มีใครสกปรกอย่างเดียว  ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมมีรอยกระดำกระด่างประดับชีวิตของตนกันทั้งนั้น  แม้ว่าจะไม่มีใครต้องการมีรอยด่างก็ตาม


                 หากเปรียบชีวิตของแต่ละคนดุจผืนผ้า  ถ้าผ้าผืนนี้มีรอยด่างน้อย  ยังคงสีขาวไว้ได้มากเป็นส่วนใหญ่  เราก็เรียกชีวิตของคนๆนั้นว่าเป็นคนดี  หากผ้าผืนใดมีรอยด่างมากเกินไป  จนกระทั่งซักเท่าไหร่ก็ยังกลายเป็นสีเทาหรือมองไม่เห็นเป็นผ้าสีขาวเหมือนเมื่อก่อน   เราก็เรียกคนๆนั้นว่า คนไม่ดี หรือคนชั่ว


                แต่ชีวิตของคนเราไม่ใช่ผืนผ้า  เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์  มีจิตสำนึกว่าอะไรดีอะไรชั่วกันอยู่แล้ว  เพียงแต่บางคนบางชีวิตมี “ภูมิคุ้มกันในจิตใจ”ไม่พอ  ต้องตกเป็นทาสโลภ โกรธ หลง จึงไปกระทำผิดทำชั่ว เพราะต้านทานต่ออำนาจของแรงกิเลสไม่ไหว  เขาเหล่านั้นจึงกลายเป็นชั่ว คนเลวไปในสายตาของใครๆ   นี้คือชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ที่ว่ายวนอยู่ในวัฏฏสงสารอันยืดยาว


               ผืนผ้าสีขาวที่มีรอยด่าง กลายเป็นผ้าสีมอซอ หรือบางทีก็สกปรกจนกลายเป็นสีดำนั้น  เราไม่อาจทำให้ผ้าผืนนั้นกลับคืนเป็นสีขาวอีกได้   แต่ชีวิตของมนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น  เพราะแต่ละคนยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ


              คนที่ปกติประพฤติดีทั้งหลาย  หากขาดสติขาดความยับยั้งชั่งใจในวันใด  ก็อาจกลายเป็นคนทำผิดทำชั่วได้   ส่วนคนชั่ว  หากเกิดความสำนึกแล้วกลับใจ  ก็อาจกลายเป็นคนใหม่ที่ประกอบด้วยคุณธรรม


              ด้วยเหตุนี้คำสุภาษิตโบราณจึงมีบทหนึ่งว่า “ชีวิตของคนเรานั้น  ชั่วเจ็ดที  ดีเจ็ดหน”  เพื่อเตือนใจให้ทุกคนไม่ประมาทในชีวิต  ทุกคนจึงต้องมีหน้าที่บากบั่นสร้างสมคุณธรรมความดี  เพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรเป็นสิ่งแน่นอน  ดีแล้วอาจชั่วได้  ชั่วแล้วอาจดีได้


              คนที่เคยเป็นคนดีมีคุณธรรม  หากเกิดความประมาทขาดสติไม่ได้ระวังคุ้มครองจิตใจ  ก็อาจพลาดหรือล้มลงได้ในวันหนึ่งข้างหน้า  คนดีจึงต้องไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่นที่ทำผิดทำชั่ว  ด้วยความไม่ประมาทในชีวิตอยู่เสมอว่า  หากเราขาดบุญกุศลและขาดความระมัดระวัง  เราอาจพลาดพลั้งกลายเป็นเลวคนชั่วเหมือนเขาก็ได้   คนที่ทรงคุณความดี  จึงต้องมีสติและรักษาคุณความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม


              ส่วนคนชั่วคนเลว หากมีผู้เตือนสติและให้กำลังใจ  เขาอาจกลับตัวกลับใจ  ตั้งต้นทำความดีแล้วได้พบชีวิตใหม่   สามารถละทิ้งสิ่งเลวร้ายทั้งปวงไว้เบื้องหลัง  จนกระทั่งเกิดพลังแห่งความดีงามกลายเป็นที่พึ่งของใครๆได้ในวันหนึ่ง  อย่างนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่ทั่วไป  ท่านจึงว่าชีวิตของคนเรานี้ “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” เพื่อให้ทุกคนไม่ประมาทในชีวิตและหมั่นสร้างความดี   หมั่นเจริญสติ  หมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา   ไม่ประมาทในวัย  ไม่ประมาทในชีวิต


                 ในวันนี้อยากกล่าวถึงธรรมะในชีวิตจริงของผู้คนในสังคมทั่วไป  ที่ไม่ใช่ธรรมะลึกซึ้งอะไร  แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ใครๆไมค่อยกล้าพูดถึง  แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อคิดสำหรับบางคนที่กำลังเผชิญปัญหาในทำนองนี้อยู่  อาจพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หรือเห็นแสงริบหรี่ของหิ่งห้อยยามค่ำคืนก็ยังดี


                สตรีบางคนมีความทุกข์ที่ฝังใจที่ไม่สามารถบอกใครได้  เราไม่ควรปล่อยให้ความหลังเหล่านั้นมาฝังใจ  จนเกิดปมด้อยและขาดกำลังใจในการสร้างความดี  ชีวิตคนเรามีล้มได้ก็ลุกได้  อย่าปล่อยให้ตัวเองสูญเสียกำลังใจและได้แต่ตอกย้ำความผิดของตัวเอง  จงทิ้งความหลังแล้วตั้งต้นใหม่  แล้วทุกสิ่งในชีวิตจะดีขึ้น


                บางคนเคยผิดพลาดในชีวิต  ต้องมามีชะตาลิขิตให้ทำลายชีวิตที่อยู่ในท้อง  จิตใจต้องเต็มไปด้วยความอดสูใจและความหม่นหมอง  จะบอกใครก็ไม่ได้  บางคนอยากไปหาพระเพื่อเล่าระบายความในใจ  แต่พระสมัยนี้ก็ดูไม่ค่อยจะน่าไว้ใจเหมือนสมัยหลวงปู่หลวงตา


              จะไปกราบไปขอที่พึ่งทางใจกับพระสงฆ์ที่ทรงคุณธรรมที่เขาเล่าลือว่าเป็นพระอริยสงฆ์  ก็กลัวว่าท่านจะมีเจโตปริยญาณทำทายทายทักให้ความลับของเราแตกจนเกิดความอับอายได้  ผลสุดท้ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  จึงได้แต่เก็บความไม่สบายใจไว้กับตนคนอยู่คนเดียว


               ความจริงแล้วสำหรับผู้ที่ท่านทรงคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลเพียงชั้นต้น  ท่านก็มีเมตตาธรรมที่เห็นอกเห็นใจและไม่ซ้ำเติมบุคคลที่สำนึกผิดอยู่แล้ว   และพระอริยเจ้าที่แท้จริงนั้น  ย่อมมิใช่วิสัยของท่านที่จะเที่ยวใช้ญาณสอดส่องมองหาความผิดความบกพร่องของคนอื่น  ท่านมีแต่จะมีสติประคองใจทั้งกลางวันและกลางคืน  อยู่กับความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน มากกว่าจะไปสนใจเรื่องของใคร


                วิสัยของพระอริยเจ้าเท่าที่เคยอยู่กับท่านมาบางท่านบางองค์นั้น  ท่านไม่ปรารถนาจะทำนายทายทักและใส่ใจเรื่องส่วนตัวของใคร  เว้นเสียแต่ท่านจะขัดไม่ได้จึงต้องใช้ญาณในการทำนายทายทักตามที่เขาขอร้องเท่านั้น  เพราะวิสัยของพระอริยเจ้าท่านมีสติรู้ตัวอยู่เสมอกว่าปุถุชนคนธรรมดา  จิตท่านไม่ค่อยส่งออกนอกอยากรู้เรื่องของคนอื่นแบบชาวบ้านทั่วไป  ที่ชอบรู้เรื่องของคนอื่นแล้วเอามานินทากัน


               ใครก็ตามที่มีปัญหาส่วนตัวที่ไม่อาจบอกใครได้เช่นนั้น   ควรหมั่นบริจาคทานให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในโรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์เป็นการชดเชยความผิดพลาด  แล้วหมั่นหาโอกาสทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณของเด็กนั้นบ่อยๆ  และควรหาโอกาสออกบวชถือศีลแปดเจริญกรรมฐานในวัดที่สงบเงียบเพื่อเยียวยาจิตใจให้ได้ ๗ วัน  และให้เข้าหาครูบาอาจารย์ที่ทรงภูมิธรรมที่เรามีความเลื่อมใสศรัทธาแล้วเล่าให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านแผ่กระแสธรรมช่วยคลี่คลายวิบากกรรมและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณ  พลังแห่งรัศมีธรรมและเมตตาธรรมของท่านจะช่วยเคราะห์กรรม  หากทำได้เช่นนี้ความหลังฝังใจที่เคยมีอย่างหนักหน่วงตลอดมาจะหายไป และได้รับชีวิตใหม่ที่สดใสยิ่งกว่าเดิม


               สตรีที่เคยตัดรอนชีวิตที่อยู่ในครรภ์  ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่สมัครใจก็ตาม  จะมีปมด้อยในชีวิตติดตัวอยู่ตลอด  แม้จะมีครอบครัวแต่งงานอย่างสมบูรณ์ในเวลาต่อมา  เนื่องจากว่าธรรมชาติของใจสตรี มีความเป็นแม่และความอ่อนโยนความเมตตาเป็นพื้นนิสัย  แต่การทำกรรมเช่นนั้นได้ทำลายคุณสมบัติแห่งใจที่ดีงามส่วนนี้ไป  ด้วยเหตุนี้จึงมีความฝังใจและมีแต่ความไม่สบายใจรู้สึกว่าตัวเองคือคนบาปอยู่ตลอด  หากได้บำเพ็ญทาน  รักษาศีลให้ได้ครบ ๗ วัน ได้เจริญกรรมฐาน จิตใจจะดีขึ้นทันตาเห็น  ใจจะเป็นบุญและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น  เพราะจิตใจได้รับการฟื้นฟูและเยียวยาด้วยอำนาจของบุญ


              คนเรานั้นชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ตามที่พูดอยู่เสมอ  เพียงแต่เมื่อผิดแล้วพลาดแล้วจงสำนึกผิด แล้วเริ่มต้นใหม่  วันเวลาที่ผ่านไปจะช่วยเยียวยารักษาจิตใจในตัวมันเอง  แต่อย่าได้ประมาทในการทำบุญทำกุศล  อย่าเอาแต่ทำมาหาเลี้ยงชีพหาเงินหาทองเพียงอย่างเดียว  ชีวิตของมนุษย์นั้น ท่านไม่ได้ให้เกิดมาเพื่อหาเงิน   แต่ท่านให้เกิดมาเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล  เกิดมาเพื่อบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา

 

                 คนเราแต่ละคนล้วนต่างมีความหลังที่ฝังใจกันทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือเป็นชาย  เราจงพากันตั้งต้นทำความดีใหม่  อย่ามัวทอดอาลัยให้หัวใจหมกจมกับอดีตกันอยู่เลย  รุ่งอรุณของวันใหม่ยังมีอยู่เสมอ   ฉันใด  รุ่งอรุณและแสงทองแห่งชีวิตใหม่ของแต่ละคน  ก็ย่อมมีอยู่เสมอเช่นกัน


                คนเราสมัยนี้จิตใจต่างได้รับความบอบช้ำกันมาก  ทั้งชายและหญิงต่างต้องดิ้นรนและเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนกว่าผู้คนยุคก่อนทั่วทั้งโลก   การพูดธรรมะบางทีใช้ความเป็นพระพูดก็ไม่เหมาะสม  เพราะมีข้อจำกัดทางวัฒนธรรมประเพณีที่ยังต้องรักษาไว้


              เพราะเหตุนี้เอง จึงได้เป็น “คุรุอตีศะ” เพื่อปลอบใจแก่คนทั่วไปได้ทุกคน  ขอเพียงให้หัวใจทั้งหญิงและชายได้หลุดพ้นจากความคับแค้นใจไปแต่ละวันนั่นก็สุขใจและเพียงพอแล้ว


             ขอให้กระแสแห่งธรรมนี้ได้ช่วยปลอบประโลมแก่คนทั้งโลก ในฐานะเป็นเพื่อนร่วมโลกและเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ที่เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน  ที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นไม่ว่าความเป็นพระหรือเป็นโยม ไม่มีคำว่าเชื้อชาติหรือศาสนา


            นี้คือความปรารถนาดีที่มีแก่ทุกคนเสมอกัน  ขอความผาสุกความร่มเย็นจงบังเกิดแก่ทุกคนทุกชีวิต

 

                                                                                                 คุรุอตีศะ
                                                                                          ๑๖  มกราคม  ๒๕๕๗