เติมความรักให้กับโลก

เติมความรักให้กับโลก

 

               เพราะโลกนี้ขาดความรัก  ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันมาใช้ความรุนแรง  การมุ่งหน้าเอาชนะด้วยทิฐิมานะของตนชนิดยอมแพ้ใครไม่ได้  ย่อมบ่งบอกความหมายแห่งหัวใจที่ขาดแคลนความรักอย่างรุนแรง

 

               ผู้มีความรักอันแท้จริงให้แก่เพื่อนมนุษย์  จะมุ่งหวังให้คนอื่นมีความสุขและไม่ปรารถนาจะเบียดเบียนใคร  หัวใจผู้นั้นจะมีความยืดหยุ่น  แต่หัวใจที่ขาดแคลนความรักจะมีจิตใจแห่งการทำลายและไม่คำนึงถึงหัวอกคนอื่น เป็นคนเอาตัวเองเป็นใหญ่  และไม่ต้องการเห็นใครมีความสุขยิ่งกว่าตัวเอง

 

              เหตุที่ยุคสมัยของพวกเรานี้  มักจะมีแต่คนที่ขาดแคลนความรัก  เพราะเราไปลดคุณค่าของความรักให้เหลือเพียงแค่ความต้องการทางเพศเท่านั้น  ผู้ชายและผู้หญิงจึงมีหัวใจที่ต่างดูหมิ่นกันอยู่ลึกๆ มุ่งหวังกอบโกยซึ่งความสุขและผลประโยชน์จากกันและกัน  เราส่วนใหญ่จึงขาดซึ่งพลังในการสร้างสรรค์และขาดแคลนความรักความเมตตา

 

              เราจงพากันหันมา ตระหนักถึงซึ่งคุณค่าและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของกันและกันให้มากขึ้น  อย่าเอาแต่ผลประโยชน์ของตน จนลืมเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เพราะทุกคนนั้นต่างก็โหยหาความรักและโหยหาความสุขเช่นเดียวกับเรา

 

             บุรุษไม่ควรมองสตรีด้วยความรู้สึกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงวัตถุแห่งกามหรือเครื่องสนองอารมณ์ทางเพศเท่านั้น  จงมองเห็นความงดงามและคุณค่าในด้านอื่นที่สตรีแต่ละคนต่างมีไม่เหมือนกัน

 

            หลังจากนั้นจิตใจของเราจะมีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น  ไม่หมกมุ่นหรือตกเป็นทาสของกามารมณ์จนเกินไป และจักไม่ดูหมิ่นสตรีเพศเหมือนแต่ก่อนมา  ความเป็นสุภาพบุรุษจะเกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเพราะสติที่เจริญขึ้น   แม้ว่าที่ผ่านมา เราบางคนอาจจะเคยดูหมิ่นและย่ำยีสตรีมามากเพียงใดก็ตาม

 

              ความรักของเราจะค่อยๆงดงามและสูงส่งขึ้นตามลำดับ อันเป็นความรักที่ไม่เป็นพิษภัยต่อสตรีทั้งหลาย  แต่จะกลายเป็นพลังแห่งความสร้างสรรค์  แม้ว่าตัวบุรุษนั้นจะอยู่ในเพศหรือภาวะใด  อันเป็นความรักที่สตรีทั้งหลายพากันร่ำร้องและเรียกหาจากบุรุษทั้งโลกมาโดยตลอด

 

              สตรีไม่ควรคิดมัดใจบุรุษด้วยอาศัยเรือนร่างและความสวยของตัวเอง  เพราะเท่ากับเราลดคุณค่าของบุรุษที่เราคบหา ให้เหลือเพียงมนุษย์ผู้หื่นกระหายคนหนึ่งเท่านั้น  และเราจะไม่มีวันได้รับความรักแท้และความจริงใจจากใคร

 

             แม้จะมีบุรุษผู้มอบความรักและจริงใจให้ เราก็จะมองข้ามความดีงามในหัวใจของเขาไป  แล้วไปได้พบกับผู้ชายคนใหม่ ที่ไม่มีความจริงใจให้แก่เราแทน  โดยที่เราอาจไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แท้จริงแล้ว  เรามิได้รักใคร  เพียงแต่ต้องการความชื่นชมจากผู้ชายผู้มาหลงใหลในตัวเราเท่านั้น

 

                และเมื่อถึงวันหนึ่งเมื่อเราต้องการรักแท้จากใครสักคน  เราจะพบว่ามีแต่คนที่ไม่มีความจริงใจให้  หากไม่มีใครคอยให้สติคอยเตือนใจ  เราจะกลายเป็นคนก้าวร้าวที่พยายามเอาชนะผู้ชายในเวลาต่อมา

 

                จากจิตที่พยายามเรียกหาความรัก  จะกลายเป็นคนที่หยาบกระด้างต่อความรัก เพราะผิดหวังต่อการกระทำของเหล่าผู้ชายทั้งโลก  หัวใจของเราจะเต็มไปด้วยความเหงาและเศร้าโศก แล้วเอาการงานหรือการออกสังคมเป็นสิ่งชดเชย

 

                หลังจากนั้นเรานี้อาจจะกลายเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีและกลายเป็นผู้ที่ไม่คิดก้มหัวให้ผู้ชายคนไหน  โดยไม่มีใครหวังดีบอกให้เราเฉลียวใจ  ว่าสาเหตุใหญ่มาจากความผิดหวังในตัวผู้ชาย

 

               ความจริงแล้วสตรีทุกคนล้วนมีอาวุธประจำตนกันอยู่แล้ว  คือความเมตตา ความอ่อนโยน นุ่มนวลและอ่อนหวาน  ซึ่งเหล่านักพรตและวีรบุรุษทั้งปวงต่างพ่ายแพ้มาทุกยุคทุกสมัย  ยิ่งหากเธอปล่อยอาวุธอันสูงสุดคือบีบน้ำตาคราใด  ไม่เคยเลยที่จะมีบุรุษผู้กล้าแกร่งคนใด ที่จะไม่เต็มใจยอมพ่ายแพ้แก่เธอ

 

               แต่มายุคสมัยนี้  สตรีทั้งหลายกลับละเลยอาวุธสำคัญที่ธรรมชาติและสวรรค์ประทานมา  กลับไปใช้วิชาตรรกวิทยา  วิชาทหาร วิชาการเมือง หรือวิชาบริหารธุรกิจ เพื่อหวังพิชิตบุรุษให้อยู่หมัดทั่วทั้งโลก  โดยลืมไปว่าวิชาพวกนี้เหล่าบุรุษเขามีความถนัดกว่า  เขาอาจจะยอมอ่อนข้อเหมือนยอมแพ้แต่ตอนแรก หลังจากนั้นวันหนึ่งจะกลายเป็นวันของเขา  ซึ่งเราจะไม่มีวันเข้าใจไปจนวันตายว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

 

              ขอให้สตรีทั้งหลายจงจำไว้ว่า “อาวุธของเราคือความรัก” เราไม่ควรหลงกลผู้ชายโดยเอาวิชาการต่อสู้มาใช้ให้สูญเสียพลังและศักยภาพที่แท้จริงของเรา   เราจะตกเป็นเบี้ยล่างเขาและมีหัวใจเต็มไปด้วยความก้าวร้าวอยู่ร่ำไป  แล้วความสงบสุขความร่มเย็นในหัวใจจะไม่มี

 

              โลกนี้ขาดแคลนความรัก เพราะสตรีทั้งหลายเอาเรี่ยวแรง มันสมอง และหัวใจ ไปต่อสู้กับผู้ชาย จนหัวใจตายด้านจากความงดงามไปหมดแล้ว  โลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยความรุนแรง  เต็มไปด้วยการต่อสู้ทั้งในระดับทางการเมือง  ระดับสังคม  เรื่อยลงมาจนกระทั่งการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันภายในครอบครัว  ระหว่างคู่รักหรือคู่สามีภรรยา

 

               ธรรมชาติของช้างนั้นย่อมมีสี่ขา  หากมีแต่เท้าหน้าทั้งสี่ขาไม่มีขาใดยอมเป็นเท้าหลัง  ช้างเชือกนั้นก็ต้องล้มไม่มีทางเดินได้  การที่ช้างก้าวเดินอย่างสง่างาม  ก็เพราะมีเท้าหน้าบุกเดินไป  แล้วก็มีเท้าหลังคอยระวังไว้และยันพื้นให้มั่นคง  โดยไม่เคยมีการมานั่งเปรียบเทียบว่าเท้าไหนสำคัญกว่ากัน

 

                  แต่คนเราสมัยนี้นั้น ชอบเอาวิชางบดุลบัญชีมาใช้กับความรัก  มีการมาคอยนั่งเปรียบเทียบว่า ช้างเท้าหน้าสูงส่งกว่า  ช้างเท้าหลังช่างต่ำต้อย เลยไม่มีใครอยากเป็นช้างเท้าหลัง  มีแต่คนจะแย่งกันเป็นช้างเท้าหน้า  ผลก็เลยปรากฏว่า ช้างเชือกนั้นแทบจะเดินไม่ได้ หรือไม่ก็เดินอย่างซวนเซเต็มทน  และก็รอวันแห่งการล้มลงของช้างเป็นที่หมาย อดได้เดินต่อไปทั้งขาหน้าและขาหลัง  แล้วก็กระจัดพลัดพลายจากกันไปคนละทางเป็นธรรมดา  แล้วต่างก็มาคร่ำครวญว่า ทำไมหนอผู้ชายหรือผู้หญิงในโลกนี้ ไม่เห็นจะมีใครดีกันซักคน

 

                ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยยอมทำความเข้าใจในความหมายลึกซึ้งของสุภาษิตที่ว่า”ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง” ที่ท่านกล่าวไว้นั้น  จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของท่าน  ไม่ใช่ให้มาคอยเปรียบเทียบกัน ว่า "ใครสูงส่ง ใครต่ำกว่า"แต่อย่างใด

 

               แต่เป็นการ “บอกรหัส” หรือบอกเคล็ดลับของการใช้ชีวิตให้ถูกต้องเท่านั้น  เพื่อให้ทั้งหญิงและชายได้ทำหน้าที่ของตนในแต่ละฝ่ายให้สมบูรณ์  แล้วความผาสุกในครอบครัวตลอดทั้งความสงบสุขของสังคมจะบังเกิดขึ้น  เพราะช้างเชือกนั้น  ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง ต่างทำหน้าที่ด้วยความสมดุลและกลมกลืน

 

               ในสัจธรรมความจริงของชีวิต  ช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังล้วนมีความสำคัญเท่ากัน  เพียงแต่มีหน้าที่และมีคุณสมบัติที่พิเศษแตกต่างกัน  ตามความเหมาะสมของเพศและภาวะของตนต่างหาก

 

                ขอให้เราทั้งหลายจงหันมาช่วยกัน “เติมเต็มความรักให้กับโลก” สตรีทั้งหลายอย่ามัวแต่เอาแต่ต่อสู้และแข่งขันกับผู้ชาย  แต่จงเอาหัวใจของเราสัมผัสความรักและความอ่อนโยนให้มากขึ้น  นี้มิใช่คำสอน “ยกโลกนี้ให้ผู้ชายเป็นใหญ่” อย่างที่หลายคนเข้าใจ  แต่เป็นการบอกรหัสยนัยในการเอาชนะหัวใจพวกผู้ชายทั้งหลายให้พวกเขาลดความก้าวร้าว ความรุนแรงและเลิกต่อสู้กัน เพราะพลังของสตรีนั้นมีพลังยิ่งกว่าชายหลายเท่า

 

                เอาความรักอันยิ่งใหญ่ของสตรี คือความเป็นแม่อันมีอยู่คู่สตรีทุกคนนี้ ช่วยกันออกโอบอุ้มโลก  แทนที่จะต่อสู้และแข่งขันกับผู้ชายให้ร่างกายและหัวใจของเราต้องพลอยเสื่อมโทรมไปกับเขา  จงปล่อยให้พวกเขาบ้ากันให้พอ  หลังจากนั้นค่อยแยกพวกเขาออกไปหยอดน้ำข้าวต้มด้วยความรักความเมตตา  แล้วก็กระซิบอีกหน่อยว่า “ทีหลังอย่าทะเลาะกันอีก”

 

                วิสัยของผู้ชายเขาชอบการต่อสู้  สมัยเรียนหนังสือเคยมีครูซื้อนวม ๒ คู่ไว้ประจำโรงเรียน  พวกผู้ชายคนไหนชอบทะเลาะกัน ครูก็จะจับไปสวมนวมแล้วปล่อยให้ชกกันให้เต็มที่ ส่วนครูคอยเป็นกรรมการ  สุดท้ายชกกันไม่นานก็เหนื่อยหอบกันทั้งคู่  ครูก็เลยให้เลิกชก หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นเพื่อนที่รักกันและไม่ทะเละกันอีก  แล้วนักเรียนทั้งชั้นก็ไม่มีใครกล้าทะเลาะกันอีกเลย

 

               นี้คือสปิริตและวิสัยของลูกผู้ชายทั่วไป  โกรธกันแค่ไหน  เมื่อต่างให้อภัยเลิกแล้วต่อกัน ใจของเขาก็จบกันจริงๆ  ส่วนวิสัยของผู้หญิงจะไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะถ้าให้ไปชกกัน ผู้หญิงจะกลายเป็นคนจองเวรกันและเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทชนิดที่ใครคาดไม่ถึง

 

               นี้คือวิสัยที่ต่างกันของชายกับหญิง  ที่ท่านบอกรหัส “ความเป็นช้างเท้าหน้า ช้างเท้าหลัง” ไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้นำไปใช้ในชีวิตจริง ที่เราต้องตีความคำกล่าวของท่านให้ถูกต้อง  อย่าเอาแต่พากันตีความกฎหมายอย่างเดียว

 

               ภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล ท่านมีความเชี่ยวชาญในเรื่องทางจิตใจและการใช้ชีวิตให้มีความสุข  ส่วนพวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่  จะเอาแต่เชี่ยวชาญในกฏหมาย ธุรกิจ หรือการเมือง  แต่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของตัวเองและความรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง  ดังจะเห็นได้จาก พวกเรามักมีความเครียดเป็นโรคประจำชีวิตให้เห็นกันอยู่ทั่วไป  เรื่องชีวิตและจิตใจยังจัดว่าเป็นของใหม่สำหรับพวกเรา

 

              จงช่วยกันเติมความรักให้กับโลก ด้วยการที่ผู้ชายทำหน้าที่ช้างเท้าหน้าอย่างเข้มแข็ง และไม่ดูหมิ่นผู้หญิง  จงให้เกียรติและยกย่องในฐานะที่เธอเสียสละและอดทน  ความอดทนของผู้หญิงจะมีมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้น ผู้ชายที่มีความสำเร็จและมีชีวิตที่ก้าวหน้า จึงต้องอาศัยสตรีเป็นหลักในการเป็นหางเสือหรือเป็นเบรก ในการคอยค้ำยันไว้ไม่ให้พลั้งพลาดแบบช้างเท้าหลังกันทุกคน

 

              ด้วยเหตุนี้ ชายและหญิงจึงอาศัยกันและกัน  และต่างเคารพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน  ก็เพราะมองเห็นความสำคัญของกันและกันด้วยสายตาเช่นนี้  หัวใจเช่นนี้ย่อมไร้ซึ่งการเปรียบเทียบใดๆ

 

              สุภาพบุรุษผู้มีความสำเร็จในชีวิต  จึงมักยกย่องสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของตนเสมอมา  ทั้งนี้ก็เพราะว่าหัวใจของเขาได้รับการพัฒนา  อันเกิดจากความรักอันล้ำค่าที่สตรีผู้นั้นมอบให้แก่เขา

 

              ส่วนสตรีก็เกิดความซาบซึ้งและเทิดทูนบูชาผู้เป็นบุรุษ ที่บากบั่นในการทำหน้าที่อย่างกล้าหาญในฐานะช้างเท้าหน้า ที่นำพาเราฝ่าอุปสรรคทั้งหลายบุกเดินไป จากชีวิตของทั้งสองที่ไม่มีอะไร จนนำเรานี้ไปสู่เกียรติยศ มีชื่อเสียงและปรากฏแก่คนทั้งหลายในเวลาต่อมา  ความรู้สึกที่งดงามนี้ย่อมเกิดขึ้นโดยไม่มีใครบังคับ แต่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากหัวใจที่ดีงาม  นี้คือความรักอันยิ่งใหญ่ของสตรี  ที่ยิ่งใหญ่เหนือหัวใจของบุรุษทั้งโลกตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

 

                ความรักอันงดงาม เสียสละ และสูงส่งเช่นนี้นั้น  จะมีแต่สตรีเท่านั้นที่ทำได้  นี้คือความยิ่งใหญ่ของสตรี ผู้มีเพศแห่งแม่ของชาวโลก

 

                จงช่วยกันเติมความรักให้กับโลก  ด้วยการที่ผู้หญิงทำหน้าที่ช้างเท้าหลังอย่างภาคภูมิใจ  และให้ความเคารพต่อความเป็นบุรุษเพศของเขาไว้เสมอ   ตราบใดที่เขายังเข้มแข็งและก้าวไปข้างหน้าอย่างองอาจ  เราจงก้าวตามไปเงียบๆ ให้เขาก้าวเดินอย่างเต็มที่   แต่หากวันใดเท้าหน้าก้าวพลาดหรือมีอันตราย  เท้าหลังของเราก็พร้อมจะทำหน้าที่เบรกด้วยความมีสติ  ด้วยความเข้มแข็งเสมอ 

 

               วันใดเท้าหน้าพลาดตกหลุม ตกลงในบ่อ  เท้าหลังก็พร้อมจะยันพื้นดินบนปากบ่อไว้อย่างเข้มแข็ง  ไม่ให้ช้างทั้งตัวพลัดตกลงไปด้วยกัน นี้คือพลังอันอัศจรรย์ที่สวรรค์ประทานไว้ให้แก่สตรีทุกคน

 

                อย่าปล่อยให้หัวใจของเราจมปลักอยู่กับความรักแค่ตามสัญชาตญาณ  หัวใจของเราสามารถมีพัฒนาการไปสู่ความรักที่งดงามและสูงส่งกว่าสิ่งนั้นได้  แล้วชีวิตของเราจะเกิดการพัฒนาแล้วก้าวสู่ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีอุปสรรคหรือปัญหาใด  ที่จะมาบั่นทอนหัวใจและทำลายกำลังใจของเราได้อีก

 

              ความรักเช่นนี้แหละคือความรักที่ท่านกล่าวไว้ว่า “เมื่อรักจงทุ่มเท” เพราะเป็นความรักที่เหนือกว่าความต้องการทางเพศหรือเพียงแค่พันธนาการที่รัดรึงกันไว้ด้วยอำนาจเสน่หา  เป็นความรักความเมตตา ที่มีได้ทั้งในคู่สามีภรรยา  และมีได้ทั่วไปแม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในภาวะใดๆ

 

              อาณาจักรแห่งความรักเช่นนี้  เมื่อมีอยู่ในหัวใจของบุคคลใด  ชีวิตบุคคลนั้นจะไม่ว้าเหว่ ไม่ว่าจะมีคู่หรืออยู่เป็นโสดก็ตาม  จิตใจจะก้าวพ้นจากความรักที่ต่ำกว่า  ไปสู่จิตวิญญาณที่สูงกว่า

 

             ความรักเช่นนี้ย่อมนำชีวิตไปสู่สิ่งที่สูงขึ้น  กลายเป็นความรักที่เต็มเปี่ยมด้วยการภาวนา  เป็นความรักแห่งพุทธะ ที่รู้  ตื่น  และเบิกบาน

 

             ความรักเช่นนี้เองที่ทั้งหญิงและชายต่างแสวงหากันทั่วทั้งชีวิต

 

                                                                        คุรุอตีศะ

                                                                ๑๓  มกราคม  ๒๕๕๗