เติมความรักให้กับโลก
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เติมความรักให้กับโลก
เพราะโลกนี้ขาดความรัก ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันมาใช้ความรุนแรง การมุ่งหน้าเอาชนะด้วยทิฐิมานะของตนชนิดยอมแพ้ใครไม่ได้ ย่อมบ่งบอกความหมายแห่งหัวใจที่ขาดแคลนความรักอย่างรุนแรง
ผู้มีความรักอันแท้จริงให้แก่เพื่อนมนุษย์ จะมุ่งหวังให้คนอื่นมีความสุขและไม่ปรารถนาจะเบียดเบียนใคร หัวใจผู้นั้นจะมีความยืดหยุ่น แต่หัวใจที่ขาดแคลนความรักจะมีจิตใจแห่งการทำลายและไม่คำนึงถึงหัวอกคนอื่น เป็นคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ และไม่ต้องการเห็นใครมีความสุขยิ่งกว่าตัวเอง
เหตุที่ยุคสมัยของพวกเรานี้ มักจะมีแต่คนที่ขาดแคลนความรัก เพราะเราไปลดคุณค่าของความรักให้เหลือเพียงแค่ความต้องการทางเพศเท่านั้น ผู้ชายและผู้หญิงจึงมีหัวใจที่ต่างดูหมิ่นกันอยู่ลึกๆ มุ่งหวังกอบโกยซึ่งความสุขและผลประโยชน์จากกันและกัน เราส่วนใหญ่จึงขาดซึ่งพลังในการสร้างสรรค์และขาดแคลนความรักความเมตตา
เราจงพากันหันมา ตระหนักถึงซึ่งคุณค่าและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของกันและกันให้มากขึ้น อย่าเอาแต่ผลประโยชน์ของตน จนลืมเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะทุกคนนั้นต่างก็โหยหาความรักและโหยหาความสุขเช่นเดียวกับเรา
บุรุษไม่ควรมองสตรีด้วยความรู้สึกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงวัตถุแห่งกามหรือเครื่องสนองอารมณ์ทางเพศเท่านั้น จงมองเห็นความงดงามและคุณค่าในด้านอื่นที่สตรีแต่ละคนต่างมีไม่เหมือนกัน
หลังจากนั้นจิตใจของเราจะมีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น ไม่หมกมุ่นหรือตกเป็นทาสของกามารมณ์จนเกินไป และจักไม่ดูหมิ่นสตรีเพศเหมือนแต่ก่อนมา ความเป็นสุภาพบุรุษจะเกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเพราะสติที่เจริญขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมา เราบางคนอาจจะเคยดูหมิ่นและย่ำยีสตรีมามากเพียงใดก็ตาม
ความรักของเราจะค่อยๆงดงามและสูงส่งขึ้นตามลำดับ อันเป็นความรักที่ไม่เป็นพิษภัยต่อสตรีทั้งหลาย แต่จะกลายเป็นพลังแห่งความสร้างสรรค์ แม้ว่าตัวบุรุษนั้นจะอยู่ในเพศหรือภาวะใด อันเป็นความรักที่สตรีทั้งหลายพากันร่ำร้องและเรียกหาจากบุรุษทั้งโลกมาโดยตลอด
สตรีไม่ควรคิดมัดใจบุรุษด้วยอาศัยเรือนร่างและความสวยของตัวเอง เพราะเท่ากับเราลดคุณค่าของบุรุษที่เราคบหา ให้เหลือเพียงมนุษย์ผู้หื่นกระหายคนหนึ่งเท่านั้น และเราจะไม่มีวันได้รับความรักแท้และความจริงใจจากใคร
แม้จะมีบุรุษผู้มอบความรักและจริงใจให้ เราก็จะมองข้ามความดีงามในหัวใจของเขาไป แล้วไปได้พบกับผู้ชายคนใหม่ ที่ไม่มีความจริงใจให้แก่เราแทน โดยที่เราอาจไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แท้จริงแล้ว เรามิได้รักใคร เพียงแต่ต้องการความชื่นชมจากผู้ชายผู้มาหลงใหลในตัวเราเท่านั้น
และเมื่อถึงวันหนึ่งเมื่อเราต้องการรักแท้จากใครสักคน เราจะพบว่ามีแต่คนที่ไม่มีความจริงใจให้ หากไม่มีใครคอยให้สติคอยเตือนใจ เราจะกลายเป็นคนก้าวร้าวที่พยายามเอาชนะผู้ชายในเวลาต่อมา
จากจิตที่พยายามเรียกหาความรัก จะกลายเป็นคนที่หยาบกระด้างต่อความรัก เพราะผิดหวังต่อการกระทำของเหล่าผู้ชายทั้งโลก หัวใจของเราจะเต็มไปด้วยความเหงาและเศร้าโศก แล้วเอาการงานหรือการออกสังคมเป็นสิ่งชดเชย
หลังจากนั้นเรานี้อาจจะกลายเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีและกลายเป็นผู้ที่ไม่คิดก้มหัวให้ผู้ชายคนไหน โดยไม่มีใครหวังดีบอกให้เราเฉลียวใจ ว่าสาเหตุใหญ่มาจากความผิดหวังในตัวผู้ชาย
ความจริงแล้วสตรีทุกคนล้วนมีอาวุธประจำตนกันอยู่แล้ว คือความเมตตา ความอ่อนโยน นุ่มนวลและอ่อนหวาน ซึ่งเหล่านักพรตและวีรบุรุษทั้งปวงต่างพ่ายแพ้มาทุกยุคทุกสมัย ยิ่งหากเธอปล่อยอาวุธอันสูงสุดคือบีบน้ำตาคราใด ไม่เคยเลยที่จะมีบุรุษผู้กล้าแกร่งคนใด ที่จะไม่เต็มใจยอมพ่ายแพ้แก่เธอ
แต่มายุคสมัยนี้ สตรีทั้งหลายกลับละเลยอาวุธสำคัญที่ธรรมชาติและสวรรค์ประทานมา กลับไปใช้วิชาตรรกวิทยา วิชาทหาร วิชาการเมือง หรือวิชาบริหารธุรกิจ เพื่อหวังพิชิตบุรุษให้อยู่หมัดทั่วทั้งโลก โดยลืมไปว่าวิชาพวกนี้เหล่าบุรุษเขามีความถนัดกว่า เขาอาจจะยอมอ่อนข้อเหมือนยอมแพ้แต่ตอนแรก หลังจากนั้นวันหนึ่งจะกลายเป็นวันของเขา ซึ่งเราจะไม่มีวันเข้าใจไปจนวันตายว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขอให้สตรีทั้งหลายจงจำไว้ว่า “อาวุธของเราคือความรัก” เราไม่ควรหลงกลผู้ชายโดยเอาวิชาการต่อสู้มาใช้ให้สูญเสียพลังและศักยภาพที่แท้จริงของเรา เราจะตกเป็นเบี้ยล่างเขาและมีหัวใจเต็มไปด้วยความก้าวร้าวอยู่ร่ำไป แล้วความสงบสุขความร่มเย็นในหัวใจจะไม่มี
โลกนี้ขาดแคลนความรัก เพราะสตรีทั้งหลายเอาเรี่ยวแรง มันสมอง และหัวใจ ไปต่อสู้กับผู้ชาย จนหัวใจตายด้านจากความงดงามไปหมดแล้ว โลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยการต่อสู้ทั้งในระดับทางการเมือง ระดับสังคม เรื่อยลงมาจนกระทั่งการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันภายในครอบครัว ระหว่างคู่รักหรือคู่สามีภรรยา
ธรรมชาติของช้างนั้นย่อมมีสี่ขา หากมีแต่เท้าหน้าทั้งสี่ขาไม่มีขาใดยอมเป็นเท้าหลัง ช้างเชือกนั้นก็ต้องล้มไม่มีทางเดินได้ การที่ช้างก้าวเดินอย่างสง่างาม ก็เพราะมีเท้าหน้าบุกเดินไป แล้วก็มีเท้าหลังคอยระวังไว้และยันพื้นให้มั่นคง โดยไม่เคยมีการมานั่งเปรียบเทียบว่าเท้าไหนสำคัญกว่ากัน
แต่คนเราสมัยนี้นั้น ชอบเอาวิชางบดุลบัญชีมาใช้กับความรัก มีการมาคอยนั่งเปรียบเทียบว่า ช้างเท้าหน้าสูงส่งกว่า ช้างเท้าหลังช่างต่ำต้อย เลยไม่มีใครอยากเป็นช้างเท้าหลัง มีแต่คนจะแย่งกันเป็นช้างเท้าหน้า ผลก็เลยปรากฏว่า ช้างเชือกนั้นแทบจะเดินไม่ได้ หรือไม่ก็เดินอย่างซวนเซเต็มทน และก็รอวันแห่งการล้มลงของช้างเป็นที่หมาย อดได้เดินต่อไปทั้งขาหน้าและขาหลัง แล้วก็กระจัดพลัดพลายจากกันไปคนละทางเป็นธรรมดา แล้วต่างก็มาคร่ำครวญว่า ทำไมหนอผู้ชายหรือผู้หญิงในโลกนี้ ไม่เห็นจะมีใครดีกันซักคน
ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยยอมทำความเข้าใจในความหมายลึกซึ้งของสุภาษิตที่ว่า”ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง” ที่ท่านกล่าวไว้นั้น จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของท่าน ไม่ใช่ให้มาคอยเปรียบเทียบกัน ว่า "ใครสูงส่ง ใครต่ำกว่า"แต่อย่างใด
แต่เป็นการ “บอกรหัส” หรือบอกเคล็ดลับของการใช้ชีวิตให้ถูกต้องเท่านั้น เพื่อให้ทั้งหญิงและชายได้ทำหน้าที่ของตนในแต่ละฝ่ายให้สมบูรณ์ แล้วความผาสุกในครอบครัวตลอดทั้งความสงบสุขของสังคมจะบังเกิดขึ้น เพราะช้างเชือกนั้น ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง ต่างทำหน้าที่ด้วยความสมดุลและกลมกลืน
ในสัจธรรมความจริงของชีวิต ช้างเท้าหน้ากับช้างเท้าหลังล้วนมีความสำคัญเท่ากัน เพียงแต่มีหน้าที่และมีคุณสมบัติที่พิเศษแตกต่างกัน ตามความเหมาะสมของเพศและภาวะของตนต่างหาก
ขอให้เราทั้งหลายจงหันมาช่วยกัน “เติมเต็มความรักให้กับโลก” สตรีทั้งหลายอย่ามัวแต่เอาแต่ต่อสู้และแข่งขันกับผู้ชาย แต่จงเอาหัวใจของเราสัมผัสความรักและความอ่อนโยนให้มากขึ้น นี้มิใช่คำสอน “ยกโลกนี้ให้ผู้ชายเป็นใหญ่” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการบอกรหัสยนัยในการเอาชนะหัวใจพวกผู้ชายทั้งหลายให้พวกเขาลดความก้าวร้าว ความรุนแรงและเลิกต่อสู้กัน เพราะพลังของสตรีนั้นมีพลังยิ่งกว่าชายหลายเท่า
เอาความรักอันยิ่งใหญ่ของสตรี คือความเป็นแม่อันมีอยู่คู่สตรีทุกคนนี้ ช่วยกันออกโอบอุ้มโลก แทนที่จะต่อสู้และแข่งขันกับผู้ชายให้ร่างกายและหัวใจของเราต้องพลอยเสื่อมโทรมไปกับเขา จงปล่อยให้พวกเขาบ้ากันให้พอ หลังจากนั้นค่อยแยกพวกเขาออกไปหยอดน้ำข้าวต้มด้วยความรักความเมตตา แล้วก็กระซิบอีกหน่อยว่า “ทีหลังอย่าทะเลาะกันอีก”
วิสัยของผู้ชายเขาชอบการต่อสู้ สมัยเรียนหนังสือเคยมีครูซื้อนวม ๒ คู่ไว้ประจำโรงเรียน พวกผู้ชายคนไหนชอบทะเลาะกัน ครูก็จะจับไปสวมนวมแล้วปล่อยให้ชกกันให้เต็มที่ ส่วนครูคอยเป็นกรรมการ สุดท้ายชกกันไม่นานก็เหนื่อยหอบกันทั้งคู่ ครูก็เลยให้เลิกชก หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นเพื่อนที่รักกันและไม่ทะเละกันอีก แล้วนักเรียนทั้งชั้นก็ไม่มีใครกล้าทะเลาะกันอีกเลย
นี้คือสปิริตและวิสัยของลูกผู้ชายทั่วไป โกรธกันแค่ไหน เมื่อต่างให้อภัยเลิกแล้วต่อกัน ใจของเขาก็จบกันจริงๆ ส่วนวิสัยของผู้หญิงจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าให้ไปชกกัน ผู้หญิงจะกลายเป็นคนจองเวรกันและเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทชนิดที่ใครคาดไม่ถึง
นี้คือวิสัยที่ต่างกันของชายกับหญิง ที่ท่านบอกรหัส “ความเป็นช้างเท้าหน้า ช้างเท้าหลัง” ไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้นำไปใช้ในชีวิตจริง ที่เราต้องตีความคำกล่าวของท่านให้ถูกต้อง อย่าเอาแต่พากันตีความกฎหมายอย่างเดียว
ภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล ท่านมีความเชี่ยวชาญในเรื่องทางจิตใจและการใช้ชีวิตให้มีความสุข ส่วนพวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่ จะเอาแต่เชี่ยวชาญในกฏหมาย ธุรกิจ หรือการเมือง แต่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของตัวเองและความรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ดังจะเห็นได้จาก พวกเรามักมีความเครียดเป็นโรคประจำชีวิตให้เห็นกันอยู่ทั่วไป เรื่องชีวิตและจิตใจยังจัดว่าเป็นของใหม่สำหรับพวกเรา
จงช่วยกันเติมความรักให้กับโลก ด้วยการที่ผู้ชายทำหน้าที่ช้างเท้าหน้าอย่างเข้มแข็ง และไม่ดูหมิ่นผู้หญิง จงให้เกียรติและยกย่องในฐานะที่เธอเสียสละและอดทน ความอดทนของผู้หญิงจะมีมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้น ผู้ชายที่มีความสำเร็จและมีชีวิตที่ก้าวหน้า จึงต้องอาศัยสตรีเป็นหลักในการเป็นหางเสือหรือเป็นเบรก ในการคอยค้ำยันไว้ไม่ให้พลั้งพลาดแบบช้างเท้าหลังกันทุกคน
ด้วยเหตุนี้ ชายและหญิงจึงอาศัยกันและกัน และต่างเคารพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็เพราะมองเห็นความสำคัญของกันและกันด้วยสายตาเช่นนี้ หัวใจเช่นนี้ย่อมไร้ซึ่งการเปรียบเทียบใดๆ
สุภาพบุรุษผู้มีความสำเร็จในชีวิต จึงมักยกย่องสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของตนเสมอมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าหัวใจของเขาได้รับการพัฒนา อันเกิดจากความรักอันล้ำค่าที่สตรีผู้นั้นมอบให้แก่เขา
ส่วนสตรีก็เกิดความซาบซึ้งและเทิดทูนบูชาผู้เป็นบุรุษ ที่บากบั่นในการทำหน้าที่อย่างกล้าหาญในฐานะช้างเท้าหน้า ที่นำพาเราฝ่าอุปสรรคทั้งหลายบุกเดินไป จากชีวิตของทั้งสองที่ไม่มีอะไร จนนำเรานี้ไปสู่เกียรติยศ มีชื่อเสียงและปรากฏแก่คนทั้งหลายในเวลาต่อมา ความรู้สึกที่งดงามนี้ย่อมเกิดขึ้นโดยไม่มีใครบังคับ แต่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากหัวใจที่ดีงาม นี้คือความรักอันยิ่งใหญ่ของสตรี ที่ยิ่งใหญ่เหนือหัวใจของบุรุษทั้งโลกตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ความรักอันงดงาม เสียสละ และสูงส่งเช่นนี้นั้น จะมีแต่สตรีเท่านั้นที่ทำได้ นี้คือความยิ่งใหญ่ของสตรี ผู้มีเพศแห่งแม่ของชาวโลก
จงช่วยกันเติมความรักให้กับโลก ด้วยการที่ผู้หญิงทำหน้าที่ช้างเท้าหลังอย่างภาคภูมิใจ และให้ความเคารพต่อความเป็นบุรุษเพศของเขาไว้เสมอ ตราบใดที่เขายังเข้มแข็งและก้าวไปข้างหน้าอย่างองอาจ เราจงก้าวตามไปเงียบๆ ให้เขาก้าวเดินอย่างเต็มที่ แต่หากวันใดเท้าหน้าก้าวพลาดหรือมีอันตราย เท้าหลังของเราก็พร้อมจะทำหน้าที่เบรกด้วยความมีสติ ด้วยความเข้มแข็งเสมอ
วันใดเท้าหน้าพลาดตกหลุม ตกลงในบ่อ เท้าหลังก็พร้อมจะยันพื้นดินบนปากบ่อไว้อย่างเข้มแข็ง ไม่ให้ช้างทั้งตัวพลัดตกลงไปด้วยกัน นี้คือพลังอันอัศจรรย์ที่สวรรค์ประทานไว้ให้แก่สตรีทุกคน
อย่าปล่อยให้หัวใจของเราจมปลักอยู่กับความรักแค่ตามสัญชาตญาณ หัวใจของเราสามารถมีพัฒนาการไปสู่ความรักที่งดงามและสูงส่งกว่าสิ่งนั้นได้ แล้วชีวิตของเราจะเกิดการพัฒนาแล้วก้าวสู่ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีอุปสรรคหรือปัญหาใด ที่จะมาบั่นทอนหัวใจและทำลายกำลังใจของเราได้อีก
ความรักเช่นนี้แหละคือความรักที่ท่านกล่าวไว้ว่า “เมื่อรักจงทุ่มเท” เพราะเป็นความรักที่เหนือกว่าความต้องการทางเพศหรือเพียงแค่พันธนาการที่รัดรึงกันไว้ด้วยอำนาจเสน่หา เป็นความรักความเมตตา ที่มีได้ทั้งในคู่สามีภรรยา และมีได้ทั่วไปแม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในภาวะใดๆ
อาณาจักรแห่งความรักเช่นนี้ เมื่อมีอยู่ในหัวใจของบุคคลใด ชีวิตบุคคลนั้นจะไม่ว้าเหว่ ไม่ว่าจะมีคู่หรืออยู่เป็นโสดก็ตาม จิตใจจะก้าวพ้นจากความรักที่ต่ำกว่า ไปสู่จิตวิญญาณที่สูงกว่า
ความรักเช่นนี้ย่อมนำชีวิตไปสู่สิ่งที่สูงขึ้น กลายเป็นความรักที่เต็มเปี่ยมด้วยการภาวนา เป็นความรักแห่งพุทธะ ที่รู้ ตื่น และเบิกบาน
ความรักเช่นนี้เองที่ทั้งหญิงและชายต่างแสวงหากันทั่วทั้งชีวิต
คุรุอตีศะ
๑๓ มกราคม ๒๕๕๗