ชะตาของบ้านเมือง

ชะตาของบ้านเมือง

 

               หลังจากพูดแต่ธรรมะมานานถึง ๗ เดือน  พอเปลี่ยนศักราชใหม่  ก็อยากกล่าวถึงความเป็นไปของบ้านเมืองและสังคมในแง่อื่นบ้าง  เพราะเราไม่อาจหลีกหนีความจริงว่าชาติบ้านเมืองขณะนี้เต็มไปด้วยปัญหาที่รุมเร้าอย่างหนักหน่วงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เต็มไปด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย  หากผู้ใดตั้งสติได้แล้วใช้ความแยบคายด้วยจิตใจที่มั่นคงในพระรัตนตรัย  ผู้นั้นจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตราย  แล้วร่วมกันเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ คือ “ยุคชาววิไล” ตามคำทำนายอันมีมาแต่โบราณ

 

              หากพูดในแง่ดวงดาวตามโหราศาสตร์  บ้านเมืองของเรานับจากนี้  ชะตาของบ้านเมืองอยู่ในขั้นวิกฤติจะไม่มีทางสงบสุขอย่างแท้จริงได้ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๙  หากเทียบดวงชะตาของบ้านเมืองตอนนี้ พูดได้เลยว่าเป็นดวงชะตาแบบการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐  และแบบปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อครั้ง พ.ศ. ๒๔๗๕ เลยทีเดียว  พวกเรากำลังมีกรรมวิบากร่วมกันกับผู้คนทั้งหลายที่เกิดมาในยุคนี้  เราจึงไม่ควรประมาทในชีวิตและดูหมิ่นศาสนาแบบที่เคยทำมาได้อีกแล้ว

 

             นับจากนี้การต่อสู้ทางความคิดและกำลังระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายประชาธิปไตยจะรุนแรงยิ่งขึ้น  ผู้ที่เคยมีเวรต่อกันจะห้ำหั่นกันทุกวิถีทางโดยไม่ใครเป็นคนกลางหรือทัดทานได้เหมือนเมื่อก่อน  ประเทศไทยจะต้องถูกปกครองด้วยความเด็ดขาดอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้  ทหารจะเป็นใหญ่และมีบทบาทในการรักษาความอยู่รอดของบ้านเมือง  ผู้คนจะทุกข์ยากอดอยาก จะมีภัยพิบัติและเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นบ่อยมาก

 

            คนที่ไม่เคยฝึกสติ ฝึกวิปัสสนา หรือไม่ได้เจริญกรรมฐานมาก่อนจะป่วยเป็นโรคทางจิตเวชกันมากเพราะทนไม่ไหวต่อแรงบีบคั้นทางจิตใจและความทุกข์นานา“แม้ผู้ไม่เคยเห็นคุณค่าของศาสนา ก็จะพร่ำร้องเรียกหาพระหรือนักบุญ”   ตามคำทำนายของนอสตราดามุส

 

              จนกระทั่งพ้น พ.ศ. ๒๕๖๐ ประเทศไทยจะกลายเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค และความมีภราดรภาพ เป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นเอาเป็นแบบอย่างในทางปกครอง แต่อาจจะถูกเรียกชื่อรูปแบบทางการปกครองเป็นแบบใหม่ ที่อาจไม่ใช้ชื่อว่า “ประชาธิปไตย”อีกก็ได้

 

              ในตอนแรกฝ่ายอนุรักษ์นิยมเหมือนจะชนะ  แต่หลังจากนั้นชัยชนะจะเป็นของฝ่ายประชาธิปไตยอันเป็นความต้องการของประชาชนคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ที่ไม่มีอำนาจใดมาต้านทานได้อีก  แต่เนื่องจากเป็นกรรมร่วมกันของคนในชาติที่ประทุษร้ายต่อพระอริยเจ้าและผู้บริสุทธิ์มาหลายครั้งหลายหน  จึงต้องให้มีเหตุให้มีความเข้าใจผิดและจ้องทำลายล้างกันจนล่มจมลงทั้งสองฝ่าย  คนที่อยู่เบื้องหลังแห่งความชั่วร้ายและทำนาบนหลังคนเสวยสุขมาช้านาน จะถูกเปิดโปงความจริงเพราะวิบากกรรมจัดสรรให้เป็นไปเช่นนั้น

 

                   บุคคลที่จะขึ้นเป็นใหญ่ในยุคต่อไป จะเป็นคนที่ใครต่อใครมองไม่เห็นอยู่ในสายตามาแต่แรก  แต่ด้วยความเด็ดขาดกล้าหาญจนทำให้บ้านเมืองสงบราบคาบ ผู้คนจึงยอมรับและได้รับการยกย่องจนลืมอดีตทั้งหลาย  กลายเป็นหลักชัยให้กับบ้านเมือง  สังคมจะเปลี่ยนโฉมหน้า  จากยุคถิ่นกาขาวเป็นยุคแห่งฝูงหงส์ที่ทรงคุณธรรมอย่างแท้จริง

 

                 วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมและทัศนคติทั้งหลายที่เคยนิยมนับถือจะเปลี่ยนไป  มหาอำนาจของโลกจะเปลี่ยนใหม่  จากที่เคยเป็นสหรัฐอเมริกาและยุโรป กลายเป็นจีนและอินเดียแทน

 

                 ศาสนาหรือคำสอนที่เน้นการสอนนรกสวรรค์จะได้รับความสนใจลดน้อยลงไป  ผู้คนส่วนใหญ่จะสนใจแสวงหาความจริงด้วยตนเองไม่หวังพึ่งอำนาจภายนอก จากที่เคยให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ในภายนอกอันเป็นรูปธรรม  ผู้คนจะหันมาสนใจวิทยาศาสตร์ในภายในอันเป็นนามธรรมคือ “จิต”

 

                ศาสนาแห่งความเชื่อจะเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ  ศาสนาที่เป็นที่พึ่งสำหรับผู้คนในยุคใหม่คือ “ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง” อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าตามคำทำนายด้วยทิพยจักษุของนอสตราดามุสเมื่อสี่รอยปีมาแล้ว  เป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์ค้นพบศักยภาพของตัวเอง ได้พบอิสรภาพในดวงใจ

 

              ผู้คนในยุคใหม่อันเป็นยุคชาววิไล จะไม่สนใจอิทธิปาฏิหาริย์  เพราะเจริญทางวัตถุจนมองเห็นเรื่องการไปดาวอังคารเป็นเรื่องธรรมดา  แต่จะหันมาสนใจและเห็นคุณค่าพระศาสนาเพราะคำสอนในศาสนาช่วยดับความทุกข์ร้อนในใจของเขาได้จริงมากกว่าสิ่งอื่น  และประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางแห่งการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ออกไปสู่มหาชนเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก

 

              ประเทศไทยอาจมีการเปลี่ยนชื่อเรียกประเทศใหม่คล้ายพม่าและต้องมีการย้ายเมืองหลวง  แต่ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปแบบใด  ประเทศไทยก็จะไม่สูญสิ้นวงศ์ของกษัตริย์เหมือนบางประเทศเพราะบารมีของพระโพธิสัตว์ช่วยค้ำจุน

 

                คำที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ขอให้ทุกคนอ่านด้วยความมีสติและอย่าเพิ่งเชื่อ  แต่ที่นำมาพูดไว้ก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจของบางท่านผู้ที่มีบุญบารมีที่ลงมาเกิดเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองและช่วยศาสนา  ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะของบรรพชิตหรืออยู่ในฐานะฆราวาส  จะได้เกิดสติมองเห็นความจริงและมองเหตุการณ์ของบ้านเมืองด้วยสายตาอันยาวไกลไปข้างหน้า  อย่าได้มองอะไรหรือคิดอะไรที่คับแคบและคิดสั้นๆด้วยโลภ โกรธ หลงนำหน้ามากเกินไป อันจะทำให้จิตของตนเต็มไปด้วยอกุศลและถูกบ่มเพาะให้เต็มไปด้วยความเกลียดชังจนขาดความยับยั้งและขาดสติ   ในช่วงเหตุการณ์และสถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปเหล่านี้

 

               สิ่งที่เราทุกคนควรทำในเวลานี้ จงรักษาใจของตนให้ดีและหมั่นสร้างบารมีและทำกุศลไว้เสมอ  ชีวิตของเราจะได้ไม่พลาดพลั้งและจมหายไปกับกระแสของโลกธรรมและมรสุมของชีวิตที่ถาโถมเข้ามา

 

             จงหันหน้าเข้าวัดปฏิบัติธรรม  จงแสวงหาความจริงของศาสนา  จงกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์   ตลอดแห่งยุคของถิ่นกาขาวที่ผ่านมา  เรายังไม่ได้เชิดชูพระศาสนากันอย่างจริงใจ  เพียงอาศัยศาสนาเพื่อประโยชน์ของตัวเองมากกว่าจะยกย่องและเชิดชู   พระอริยเจ้าและครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านพากเพียรสืบทอดและดำรงพระศาสนากว่าจะพ้นยุคสมัยที่ผ่านมา  ด้วยความลำบากและยากเย็น

 

             นับแต่นี้เราจงพากันเป็นผู้นับถือศาสนา ที่ไม่ใช่เพียงทำตามกันมา หรือเพียงแค่ทำตามวัฒนธรรมประเพณี  แต่ต้อง “หยั่งลงสู่ศรัทธาและปัญญา” จนกระทั่งชีวิตและจิตใจมี “พระรัตนตรัยเป็นหลักชัยเป็นที่พึ่ง”อย่างแท้จริง เพลงวันเด็กที่ร้องกันว่า “...หนึ่ง นับถือศาสนา..” จึงจะสมกับที่พากันร้องตลอดมาสี่สิบปี

 

             หลังจากปีพุทธศักราช  ๒๕๖๕ ไปแล้ว  ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ จากยุคที่ ๙  อันเป็นของยุคถิ่นกาขาว  สู่ยุคที่ ๑๐ อันเป็น “ยุคชาววิไล”อย่างสมบูรณ์  สภาพสังคม กฎหมาย เศรษฐกิจและการเมือง  จะเปลี่ยนโฉมหน้าจากที่เราเห็นกันอยู่นี้เป็นอย่างมาก

 

              จงรักษาจิตรักษาใจให้อยู่กับพระรัตนตรัยไว้เสมอ  อย่าประมาทในชีวิตแล้วปล่อยให้การเมือง กฎหมาย  เศรษฐกิจ และเรื่องทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกมาเป็นใหญ่  จนกระทั่งมีอิทธิพลมีอำนาจเหนือจิตใจ  อย่าปล่อยให้หัวใจนี้ไร้ศาสนาไร้ที่พึ่งทางจิตใจเป็นอันขาด

 

               ใครที่ไม่เคยสนใจให้ทานที่บริจาคด้วยใจอันบริสุทธิ์ที่เป็นกุศล  จงหมั่นให้ทานและมีจิตใจเกื้อกูลต่อศาสนาและส่วนรวมเสียแต่วันนี้  ใครไม่เคยมองเห็นคุณค่าการรักษาศีลว่าเป็นความดี  จงรู้จักบำเพ็ญศีลบารมีก่อนที่จะสายเกินไป

 

                ใครที่เคยเอาแต่แสวงหาความร่ำรวยและอำนาจ  จงหันมาเจริญสติสมาธิภาวนา  แล้วช่วยกันยกย่องเชิดชูประกาศคุณความดีของพระพุทธศาสนา  ความบีบคั้นความหม่นหมองอันมากมายที่เคยมีมา ความสุขในศาสนาจะช่วยซับน้ำตาของทุกคน

 

                ชะตาของบ้านเมืองกำลังคอดกิ่ว  เราทุกคนจงช่วยกันหมั่นบำเพ็ญบุญกุศลและดำรงสติไว้เสมอ  นับจากนี้ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นไปในทิศทางใด  เราทุกคนก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยความสวัสดี  เพราะการมีสติและมีพระธรรมสถิตอยู่กลางดวงใจ

 

 

                                                                       คุรุอตีศะ

                                                               ๑๒  มกราคม  ๒๕๕๗