ใบไม้ที่เขียวจี

ใบไม้ที่เขียวขจี


                 จากยอดอ่อน  กลายเป็นใบสีเขียวอ่อน  กลายเป็นสีเขียวเต็มที่  ต่อมาก็เริ่มมีสีเหลือง สีน้ำตาลแล้วร่วงลงสู่ผืนดิน  ใบแล้วใบเล่า  ต้นแล้วต้นเล่า  นี้คือวัฏฏจักรของต้นไม้และใบไม้ทุกต้นและทุกใบ


                 ชีวิตของคนก็เช่นกัน  จากเด็กอ่อนนอนแบเบาะ  เติบโตเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาว  เข้าสู่วัยมีครอบครัว วัยกลางคน  หลังจากนั้นก็เข้าสู่วัยชราแก่เฒ่า  แล้วสุดท้ายก็ร่วงหล่นตายไปคนแล้วคนเล่า  เหลือเพียงตำนานไว้เล่าขานถึงความดี ความชั่วสำหรับคนรุ่นหลัง  ต่อจากนั้นทุกสิ่งก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา  ไม่มีใครกล่าวถึงอีกต่อไป  นี้คือกลไกและวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ทุกคน


                  โอกาสที่คนเราจะสร้างสรรค์คุณงามความดี   จะมีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต  เช่นเดียวกับการเขียวขจีและเปี่ยมพลังของใบไม้ที่มีอยู่เพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น   หากใครปล่อยให้โอกาสล่วงเลยไป  ความสดใสเขียวขจีของชีวิตย่อมไม่ย้อนกลับคืนได้อีก  เปรียบได้กับความเขียวสดของใบไม้ที่มีอยู่อย่างเต็มที่เพียงช่วงเดียว


                 จงรีบเร่งทำความดี  บำเพ็ญบุญกุศลให้เต็มที่  เมื่อโอกาสของชีวิตได้มาถึงแล้ว  อย่าได้คิดว่าทำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้เอาไว้ก่อน  อันเป็นความประมาทในชีวิตของปุถุชนโดยทั่วไปประการหนึ่ง  เพราะธรรมชาติไม่ได้มอบโอกาสให้ทุกครั้งไป  เปรียบเหมือนความสดเขียวของใบไม้ย่อมมีอยู่เพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น


                 สัจธรรมหรือธรรมชาติได้สอนเราอยู่ตลอดเวลาว่า  ไม่ว่าเราจะเห็นคุณค่าของชีวิตรีบขวนขวายบำเพ็ญความดี  หรือว่าเราจะลุ่มหลงมัวเมาในทางโลกประมาทในชีวิตก็ตาม  แต่เราทุกคนล้วนต้องกลายเป็นใบไม้ที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นเหมือนกันทั้งสิ้น  ไม่ว่าดีหรือชั่วทุกคนล้วนก้าวลงสู่ปากมฤตยูทุกคน


                ดังนั้น  ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  เราจึงควรสร้างความดีไว้เป็นความชื่นใจให้แก่ตัวเองเป็นหลัก  เป็นร่มไม้ที่มีใบหนาทึบเป็นร่มเงาให้มนุษย์และนกกาได้อาศัย จะได้สมกับเป็นใบไม้ที่เกิดมาอย่างเขียวขจี  ที่ได้ทำคุณประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก


                ชีวิตของผู้ที่ทำความดี  ย่อมมีแต่ความสดชื่นและเต็มไปด้วยพลังเสมอ  ใบไม้อาจเขียวขจีประดับโลกและมีร่มเงาเพียงชั่วระยะหนึ่ง  แต่ชีวิตของผู้ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมคุณงามความดี  จะมีแต่ความเขียวขจีอยู่ประจำชีวิต สดชื่นเสมอไม่มีวันโรยรา


                  เกิดมาแล้ว  เราจะไม่ปล่อยให้เวลาสูญเสียไปเปล่า  เราจะไม่เป็นเพียงใบไม้ที่เกิดมาแล้วก็แห้งกรอบร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไร้ค่า  เพราะเรารู้แล้วว่า “โอกาสแห่งความเขียวขจี” ของชีวิตในการบำเพ็ญคุณความดี จะมีได้อย่างเต็มที่นั้นย่อมมีโอกาสอยู่เพียงช่วงเดียว


                  เราจะไม่ประมาทปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเหมือนใครๆ  แต่จะหาความสุขใจจากการทำความดีไปทุกวัน โดยไม่เลือกว่าจะเป็นเพียงการเก็บเศษขยะหรือการสร้างมหาวิหาร  แต่ชีวิตของเราจะมีแต่ความเขียวขจีอยู่ทุกวัน  เพราะการสร้างความดีและการทำบุญกุศลนั้นไม่มีจำกัดกาลเวลา


                  ต้นไม้ในหน้าแล้งต้องร่วงหล่นเป็นส่วนมาก  มีเพียงส่วนน้อยนักที่จะยังคงความสดชื่นและความเขียวขจีไว้ได้ตลอดทุกฤดู


                   เช่นเดียวกับคนทั่วไปส่วนใหญ่ย่อมทำความดีได้ โดยอาศัยตามกระแสเหมือนต้นไม้ที่เขียวสดได้เพียงแต่ในฤดูฝน   น้อยนักที่จะมีบุคคลทำความดีได้ตลอดแม้ว่าจะผ่านมรสุมชีวิตสักกี่ระลอกก็ตาม


                  ต้นไม้ทุกต้นโดยทั่วไป  ย่อมสามารถคงความสดชื่นและสีเขียวไว้ได้เฉพาะในฤดูฝน  แต่จะมีสักกี่ต้น  ที่ยืนหยัดและคงทน  จนสามารถคงความสดชื่นและความเขียวขจีไปจนตลอดฤดูแล้งอันโหดร้ายได้


                  นี้คือความต่างกันของพันธุ์แห่งต้นไม้  ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้เหมือนกัน  แต่ก็จะใช่ว่าจะเขียวขจีคงทนจนตลอดแล้งได้ทุกต้น  ความยืนยงและคงทนของต้นไม้  จึงไม่ใช่วัดตอนฤดูฝน  แต่ย่อมวัดได้เด็ดขาด ในยามเผชิญฤดูแล้งต่างหาก


                 จงเป็นต้นไม้ที่ยืนยงและคงทนทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง  เป็นต้นไม้ที่ยังคงรักษาความเขียวขจีไว้ได้เสมอไม่ว่าในยามมีฝนพรำหรือในยามไร้เงาฝน  เพราะต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่ถูกคัดสรรมาจากเมล็ดพันธุ์ชั้นดี  ที่สามารถคงความเขียวขจีไม่เลือกว่าจะเป็นฤดูกาลใด


                 ยามหน้าฝนก็เริงร่าเล่นน้ำฝนมีความสุขอยู่กับความชื่นฉ่ำอย่างเต็มที่  ยามหน้าหนาวก็เป็นเพื่อนที่อบอุ่นกับน้ำค้างและความหนาว  และเมื่อถึงคราวหน้าร้อน ความแห้งแล้งก้าวเข้ามา  ก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจว่า จะเคล้าสายลมร้อนในฤดูแล้ง พร้อมทั้งเล่นฝุ่นธุลีและเขม่าควันไฟไปด้วยกัน


                ฤดูกาลในภายนอก ต้นไม้ใบไม้ข้างนอกอาจมีเขียวบ้าง ร่วงหล่นบ้าง  แต่ต้นไม้ใบไม้ที่อยู่ภายใน  ยังคงยืนเด่นเป็นสง่า  และคงความสดชื่นและเขียวขจีเสมอ   ไม่ขึ้นกับกาลเวลา   เริงร่าและเขียวสดในทุกฤดูกาล


                                                                                       คุรุอตีศะ
                                                                               ๕  มกราคม  ๒๕๕๗