ชีวิตใหม่

ชีวิตใหม่

 


             ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา  เรารู้ตัวว่ามีบางอย่างที่เราผิดพลาด  บางอย่างเราได้ละเลยโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ควรทำ  และบางสิ่งบางอย่างนั้น  เราคิดอยากจะทำ  แต่เราก็ไม่ได้ทำตามที่เคยคิดไว้  จนบัดนี้วันเวลาได้ผ่านพ้นล่วงเลยเราไปโดยไม่มีสิ่งใดย้อนคืนได้อีก


            วันเวลาและสายน้ำไม่เคยรอใคร  เมื่อผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเป็นธรรมดา  อยู่ที่ว่าเราแต่ละคนจะใช้เวลาที่มาถึงในแต่ละขณะนั้นกระทำสิ่งใด  หากได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้  ก็จะยังคงเหลือความภาคภูมิใจเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ แม้วันเวลาจะผ่านไปแล้วก็ตาม


            เวลาของทุกคนได้รับมาเท่ากัน  แต่สิ่งสำคัญคือเราจะใช้เวลาเหล่านั้นทำสิ่งใดต่างหาก  เราอาจทำเรื่องที่ไร้สาระที่ไม่เกิดคุณประโยชน์หรือมีชีวิตอยู่ไปวันๆก็ได้  หรือจะเอาวันเวลาทั้งหลายไปบำเพ็ญบุญกุศลคุณความดีให้สมกับที่เกิดมาชาตินี้ ที่ได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์อีกชาติหนึ่งแล้วได้พบพระพุทธศาสนา


             หลายคนอาจไม่ทราบว่า ในแต่ละชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์  บางชาติเราไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็มี  และตลอดชาตินั้นเราไม่มีโอกาสได้พังธรรม ไม่มีโอกาสได้พบพระอริยเจ้า  จิตใจจะลุ่มหลงเต็มไปด้วยโมหะวิ่งตามกระแสกิเลสตามประสาชาวโลกตลอดทั้งชาติ  เพราะไม่เคยได้ยินคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพากเพียรพร่ำสอนพวกเราว่า “สังขารการปรุงแต่งทั้งปวง ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน  สรรพสิ่งในโลกนี้  ไม่มีสิ่งใดที่ควรเข้าไปยึดมั่น”


            ตลอดชาตินั้นเราจะได้ยินแต่คำสอนเพื่อให้กลัวนรกและอยากให้ไปเกิดในสวรรค์  แล้วตลอดทั้งชาตินั้นไม่มีใครพาเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีใครสอนเราให้รู้จักตัวสติ มีแต่บอกหนทางสวรรค์  แต่หนทางไปสู่พระนิพพานนั้น  ไม่มีใครบอกเราได้เลย


           ลัทธิศาสนาทั้งหลายบรรดามีในโลกนี้  จะสอนผู้คนให้กลัวนรก แล้วสอนให้ทำความดีเพื่อไปสวรรค์แทบทั้งสิ้น  มีแต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ที่สอนให้ผู้มีสติปัญญาและมีบุญบารมี ไม่ให้หมกจมหลงในสวรรค์เพียงแค่นั้น  แต่สอนให้เห็นคุณค่าของพระนิพพานอันสงัดจากกิเลสและเครื่องร้อยรัดทั้งปวง


          ทุกคำสอนล้วนเป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่น  แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผู้ที่มีสติปัญญาให้ตระหนักรู้ถึงความจริงว่า แท้จริงแล้ว ใจดวงนี้ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด  สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่ขึ้นกับคำเรียกร้องหรือความต้องการของใคร  นี้คือความเป็นอนัตตา ที่ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้


           ตราบใดที่ดวงใจดวงนี้  ยังประกอบด้วยตัณหาอุปาทาน  ยังมีความอยาก ความดิ้นรน ความทะเยอทะยาน และยังมีความยึดมั่นถือมั่น  พระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาสอนให้ละจากบาปอกุศล   แล้วให้ตั้งใจกระทำบำเพ็ญบุญและสร้างบารมีไว้ก่อน  เพื่อจะได้เป็นเสบียงเมื่อไปสู่ภพหน้า  จะได้ไม่ทุกข์ยากลำบากเมื่อยังต้องเดินทางไกลอันแสนทุรกันดาร คือวัฏฏสงสารนี้

 
          การทำบุญไว้แล้วได้ไปสวรรค์ ก็เหมือนการที่คนเดินทางไกลแล้วมีเสบียงติดตัว ได้อาศัยศาลาพักร้อนริมทาง ได้ดื่มน้ำ ทานอาหารและพักผ่อนร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทาง  หลังจากนั้นจะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อไป


           เมื่อสดชื่นมีกำลังแข็งแรงดีแล้ว ผู้นั้นก็จะมีกำลังใจออกเดินทางต่อ จนกว่าจะถึงจุดหมายคือการเข้าสู่พระนิพพาน  หรือการบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล


            การสอนเรื่องสวรรค์ให้แก่คนทั้งหลาย  ก็เพื่อประโยชน์ให้เวไนยสัตว์ไม่ประมาทในชีวิต จะได้หมั่นสร้างสมบุญกุศล  หมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาไว้ในช่วงยังมีชีวิต  เป็นการตระเตรียมเสบียงเพื่อเดินทางไกลเท่านั้น  ไม่ได้สอนเพื่อให้หมกจมหลงใหลในสวรรค์แต่อย่างใด


         เมื่อเราได้ทราบความลึกซึ้งและแยบคายในคำสอนเช่นนี้  เราจะเห็นคุณของพระพุทธศาสนา  และจะซาบซึ้งในคำว่า “การได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา” มากยิ่งขึ้น จะไม่ประมาทในชีวิตเหมือนแต่ก่อน


          ผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต  จะมีลักษณะมองเห็นการบำเพ็ญทาน  ศีล  ภาวนา ว่าเป็นเรื่องสำคัญประจำชีวิต  แม้จะขยันขันแข็งทำมาหาเลี้ยงชีพสักเพียงใด หากมีโอกาสเมื่อไหร่ก็จะหันหน้าเข้าสู่การบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ เพราะมองเห็นว่าเป็นการสั่งสมเสบียงอันสำคัญ เป็นการงานอันสำคัญของชีวิต


         สำหรับบางคนมีสติและปัญญามองเห็นความลึกซึ้งของชีวิตสูงยิ่งขึ้น  จนมองเห็นความไม่มีสาระที่ผู้คนทั้งหลายพากันไขว่คว้าแสวงหา  แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นด้วยความยึดมั่นถือมั่น  ใจของผู้นั้นย่อมมุ่งตรงต่อความสงบภายในเป็นสำคัญ  หนทางที่เคยดูแสนไกล  จะเริ่มสั้นเข้า เพราะรู้เส้นทางแห่งอริยมรรค  รู้ชัดแล้วว่า แท้จริงแล้วชีวิตนี้ต้องการอะไร


         ใจของบุคคลนั้นจะเริ่มกลายเป็นคนใหม่ เป็นดวงใจที่อยู่ใกล้ชิดต่อพระรัตนตรัย  เป็นชีวิตที่เหมือนเกิดใหม่ที่ไม่เหมือนคนเดิมอีก  การเกิดเช่นนี้เป็นการเกิดภายใน ที่เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตัวสำหรับบุคคลนั้น  ท่านเรียกสิ่งนี้ว่า “เกิดใหม่ในแดนธรรม”


          ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา  เราอาจเคยผิดพลาดในบางสิ่งหรือหลายสิ่ง  บางครั้งก็ประมาทไม่ได้กระทำในสิ่งที่ควรทำทั้งที่สิ่งนั้นได้มาถึง  แต่นั่นก็คืออดีตที่ล่วงเลยไปแล้ว  เราจึงควรปล่อยวาง ปล่อยให้ทุกสิ่งผ่านไป  โดยไม่ต้องเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์อีก


         ดุจเดียวกับสายน้ำ  ที่ไหลผ่านหน้าเราไป  สายแล้วสายเล่า  ไม่เคยมีลำน้ำสายเก่าอยู่ตรงหน้าเราแม้แต่น้อย  มีแต่โมหะและอวิชชาของเราที่คอยหลอกเราว่ายังคงเป็นสายน้ำสายเดิม


        อดีตทั้งหลายก็ผ่านไปแล้ว  ดุจสายธารและวารีที่ไหลผ่านไป  เราจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยความมีสติและมีปัญญา  ให้เป็นหัวใจดวงใหม่ที่ไม่จมอยู่กับอดีตและความหลังอีกแล้ว


         เป็นหัวใจดวงใหม่ที่พร้อมจะก้าวเดินไปอย่างอาจหาญและร่าเริง  โดยขอเอาลมหายใจและชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้  สร้างสมกระทำบำเพ็ญคุณงามความดีให้ยิ่งกว่าแต่ก่อน   เพราะเราทราบชัดถึงความจริงแล้วว่า อนาคตวันข้างหน้า  ย่อมขึ้นกับวันนี้ที่เราลิขิตขึ้นในแต่ละขณะนี้นั่นเอง


           ให้หัวใจดวงนี้ เป็นใจดวงใหม่  ที่สามารถให้อภัยต่อความผิดพลาดบกพร่องของคนอื่น  ให้ใจดวงนี้เป็นใจไม่ถือสาต่อความผิดพลาดล่วงเกินของใคร  ให้เราได้เป็นคนใหม่  มีชีวิตใหม่  ที่ได้เดินรอยพระอริยเจ้าตราบจนชีวิตจะหาไม่


            เราจะไม่เรียกร้องสิ่งใดจากใคร และไม่ร้องขออะไรเพิ่มเติมจากโลกใบนี้  นอกจากความสงบและความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง


            ทุกรุ่งอรุณของวันใหม่  ขอให้ใจดวงนี้เต็มไปด้วยความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง และได้อยู่กับสติ รู้ ตื่น เบิกบานเสมอ  นี้คือชีวิตใหม่ของเรา

 

                                                                                 คุรุอตีศะ
                                                                         ๓๑  ธันวาคม  ๒๕๕๖