เหนื่อยยากแต่สุขใจ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เหนื่อยยากแต่สุขใจ
ชีวิตของหลายคนที่มีความซึมเศร้า บางทีก็เพราะมีชีวิตที่สบายเกินไป วันๆไม่มีอะไรจะทำ คนจนไม่ค่อยมีเวลานั่งซึมและนั่งเศร้า เพราะต้องเร่งรีบเพื่อหาเงินทองมาดำรงชีวิตให้อยู่รอดไปแต่ละวัน ความจนบีบบังคับไม่ให้มีเวลามานั่งรำพึงรำพัน มีแต่คนที่พอมีพอกินแล้วเท่านั้น ที่จะมีเวลานั่งคิดถึงอดีตแล้วรำพึงรำพันถึงความทุกข์ยากต่างๆ
ชีวิตที่ไม่มีอะไรทำคือปัญหาใหญ่ที่ใครๆนึกไม่ถึง ตอนยากจน ต้องขมีขมันทำมาหากิน ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อหาเลี้ยงชีพให้ทันเพื่อนบ้านเขา จิตเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและกระฉับกระเฉง ไม่มีเวลามานั่งซึม และไม่มีเวลามานั่งเศร้า
ส่วนคนพอมีพอกินไม่จำเป็นลุกขึ้นแต่เช้า จะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ไม่มีใครมาบังคับ ความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาได้เลือนหายไป
ความสบาย ได้กลายเป็นความเกียจคร้าน กลายเป็นความเฉื่อยชา เมื่อสะสมเรื่อยมาเพราะไม่ได้เจริญสติ ก็กลายเป็นความซบเซาหงอยเหงา ต่อมาก็กลายเป็นความซึมเศร้า เพราะจิตขาดพลังเนื่องจากไม่มีกุศลจิตคอยค้ำจุน
ผู้ที่มีชีวิตความเป็นอยู่พอมีพอกิน โดยเฉพาะคนที่สร้างฐานะได้มั่นคงหรือร่ำรวยแล้ว ต้องมีความแยบคายในชีวิตในข้อนี้ การท่องเที่ยวหรือการทำอะไรได้ตามใจเพราะมียานพาหนะที่สะดวก และมีกำลังทรัพย์ในการใช้จ่าย ก็เพียงแค่การเปลี่ยนบรรยากาศสนุกสนานลืมทุกข์ไปชั่วคราว แต่เมื่อกลับมาแล้ว ความซึมเศร้าก็คืบคลานมาสู่ชีวิตอีกเหมือนเคย เพราะเป็นเพียงแค่การแก้ทุกข์ด้วยการตามใจกิเลส แต่ไม่ได้สร้างกุศลอันใด สนุกสนานดีใจไม่นาน เมื่อกลับเข้าบ้านก็ซึมเซาและหงอยเหงาตามเดิม
การที่ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องแร้นแค้นกระเบียดกระเสียรทุกข์ยากลำบากเหมือนเมื่อก่อน นับเป็นบุญกุศลอย่างยิ่งที่สร้างตัวได้ ตั้งหลักปักฐานได้
แต่ชีวิตที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่นั้น การตั้งตัวได้ การสร้างฐานะสร้างหลักฐานได้ เป็นเพียงการวางรากฐานอันจำเป็นสำหรับชีวิต เพื่อที่เราจะก้าวขึ้นสู่การสร้างความดีและบุญบารมีให้ยิ่งขึ้นไป ถ้าทำได้เช่นนั้นและมองเห็นความสำคัญของศาสนาและการสร้างบุญกุศล ชีวิตของบุคคลนั้นและในครอบครัวนั้นจึงจะรอดพ้นจากชีวิตที่ซึมเศร้าและว้าเหว่หงอยเหงาได้
สิ่งที่ควรดำเนินต่อไปหลังจากการสร้างหลักฐานและความมั่นคงในครอบครัวได้แล้วก็คือ หัดที่จะยอมเสียสละและยอมเหนื่อยยากทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นให้มากขึ้น ฝึกจิตด้วยการอุทิศตนเพื่อรับใช้พระศาสนาและสังคมส่วนรวมให้มากขึ้น จากแต่ก่อนไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส เพราะต้องลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพและการสร้างฐานะ แต่ตอนนี้เรามีความพร้อมมากขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งแล้วที่เราจะตั้งหน้าบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาต่อไป หากใครมีหลักในการดำเนินชีวิตเช่นนี้ จะมีชีวิตที่มีความสุขและอบอุ่นในบั้นปลาย
เมื่อเราทั้งหลายทราบกฎเกณฑ์ของชีวิตเช่นนี้แล้ว จึงไม่ควรประมาทปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยขาดการสร้างบุญกุศล เมื่อมีโอกาสบำเพ็ญทาน เราก็บำเพ็ญทานหมั่นบริจาคทำบุญให้มากขึ้น โดยทำด้วยความสุขและมีศรัทธา ไม่ใช่ทำเพราะขัดไม่ได้หรือทำไปเพียงเพื่อเอาใจสังคม อย่างนั้นไม่ใช่ทำบุญ แต่เป็นการ “ทำคุณ”มากกว่า
เมื่อทำไปแล้วจะคอยเรียกร้องบุญคุณหรือนั่งรอผลบุญว่าเมื่อไหร่จะส่งผล อย่างนั้นจะเกิดผลที่เป็นบุญน้อยมากเพราะเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่การบำเพ็ญทานที่บริสุทธิ์และที่ได้อานิสงส์อันยิ่งใหญ่ จะต้องเกิดจากใจที่เลื่อมใสแล้วอยากทำบุญหรืออยากบริจาค อย่างนั้นบุญจึงจะเต็มที่และเกิดความสบายใจ เมื่อย้อนนึกถึงครั้งใดแล้วย่อมเกิดความปลื้มใจเกิดกำลังใจ กลายเป็นจาคานุสติ ทำให้เกิดสมาธิได้
ความที่จิตเกิดความองอาจ กล้าที่จะยอมเหนื่อยยากในการบำเพ็ญคุณธรรมความดี กล้าที่จะยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ย่อมเป็นทานบารมี ขันติบารมีอยู่ในตัว ความเหนื่อยยากนั้นจะเกิดอานุภาพให้การเจริญสติปัฏฐานหรือการเจริญอริยมรรคมีความเจริญก้าวหน้าโดยผู้นั้นไม่รู้ตัว
ความเหนื่อยยากในการสร้างครอบครัว เป็นสุขความภาคภูมิใจเฉพาะคนในครอบครัว แต่ความเหนื่อยยากในการช่วยงานพระศาสนาและเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น จะมีความสุข ความปลื้มใจยิ่งกว่านั้นหลายเท่า เปรียบดังขุนเขาที่สูงใหญ่กับเนินเขาเตี้ยๆ เพราะเป็นหัวใจที่ประกอบด้วยความยิ่งใหญ่ไพศาล ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความสุขตัวเอง ครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นการอุทิศตนเพื่อคนหมู่มาก อันเป็นความเหนื่อยยากที่เต็มไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจและจิตเป็นบุญเป็นกุศลอยู่ทุกวัน
ด้วยเหตุนี้นับแต่โบราณกาลมา ท่านจึงยกย่องผู้ที่อุทิศตนให้ศาสนาว่าเป็นชีวิตที่มีคุณค่ายิ่งกว่าการทำเพียงแค่เพื่อครอบครัว ผู้ที่เกิดมาเพื่อค้ำจุนพระศาสนาจึงหาได้ยากเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร
การงานเพื่อความสำเร็จของตัวเราเอง เป็นความเหนื่อยยากอยู่ไม่น้อยจึงเกิดผลสำเร็จขึ้นมาได้ แต่หากบุคคลใดมีโอกาสเสียสละและยอมเหนื่อยยากด้วยความอิ่มอกอิ่มใจต่อการสร้างบุญกุศล ยอมเหนื่อยยากเพื่อช่วยเหลือการงานในพระศาสนา หมั่นเจริญทาน ศีล ภาวนาให้สม่ำเสมอ บ่อยๆ เนืองๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งบุคคลนั้นจะค้นพบด้วยตนเองว่า ความซึมเศร้า ความซบเซาเหงาหงอยที่เคยมาเยือนชีวิตของเราบ่อยๆอย่างแต่ก่อน บัดนี้ได้หลุดร่วงไปจากหัวใจไปตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ นี้คืออานุภาพของบุญกุศลที่ยากนักจะอธิบายให้คนทั้งหลายเข้าใจ
ขอให้เราทั้งหลายเอาชีวิตที่เริ่มมีความสะดวกสบายที่มีมากกว่าแต่ก่อน มาอุทิศตนและยอมเหนื่อยยากในการสร้างกุศล ชีวิตของเราจะได้มีการเลื่อนชั้นที่สูงขึ้น คือมีการเจริญพัฒนาจากข้างใน มีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น ความสุข ความอบอุ่นอันลึกซึ้งย่อมเกิดขึ้นในดวงใจ
เมื่อทำได้เช่นนั้น จิตใจที่เคยอ่อนแอปวกเปียก จะกลายเป็นใจที่เข้มแข็ง จิตใจจะมีความองอาจกล้าหาญในการทำความดีมากขึ้น นั่นแหละคือชีวิตที่สมบูรณ์ จิตใจจะกล้าแกร่ง ไม่เกรงกลัวอุปสรรคและปัญหาใดๆอีกต่อไป
คุรุอตีศะ
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๖