ทำใจให้สบาย

ทำใจให้สบาย


              หัวใจของเรามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก   หากไม่มีหัวใจดวงนี้  ไฉนเลยจะมีสิ่งอื่นตามมา  แต่เราทั้งหลายมักลืมสิ่งที่มีค่าที่สุดสิ่งนี้ไป  แล้วไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น จนลืมหัวใจตัวเองเรื่อยมา


               เราได้ปล่อยตัวและปล่อยใจ ให้ไหลไปตามกระแสแห่งกิเลสและความทุกข์ตรม มามากพอแล้ว  ต่อไปนี้จงเริ่มต้นชีวิตใหม่  ด้วยการหันมาดูแลหัวใจของตัวเองให้มากขึ้น


               ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  เราได้มองแต่สิ่งอื่นที่อยู่นอกตัว ว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าหัวใจตัวเองมาตลอด  เราได้แต่วิ่งตามสังคมและคนอื่น ที่พยายามบงการและขีดเส้นให้เราเดิน  โดยเราเองแทบไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ตัวเองปรารถนาแม้แต่น้อย


              สังคมบอกให้เราดิ้นรนและแสวงหาสิ่งต่างๆ แต่ไม่เคยบอกให้เราหันมองดูหัวใจของตัวเอง  มีแต่บอกให้เราต้องทำสิ่งนั้น ต้องทำสิ่งนี้  แต่ไม่เคยมอบความสงบร่มเย็นของหัวใจให้แก่เรา


             สิ่งที่สังคมกำหนดให้เราต้องทำ  เราได้ทำตามมาหมดแล้ว  การศึกษา เราก็เรียนก็อ่านจนสมองหนักอึ้งไปหมดแล้ว  ความรักความใคร่  เราก็ได้ทุ่มเททั้งร่างกายและหัวใจแทบจะไม่เหลือสิ่งใดอีก  จนตอนนี้เราแทบไม่เหลือหัวใจที่เป็นอิสรภาพ และบางครั้งก็น่าเวทนาที่ต้องตกเป็นทาสความรักความใคร่เหล่านั้นจนน้ำตาต้องนองหน้าเป็นเครื่องสังเวยตั้งหลายหน  การบากบั่นหาทรัพย์สินเงินทองเพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาคนอื่น  เราก็ทำอย่างสุดชีวิตแทบจะเอาความตายเข้าแลก  เราได้ทำตามสิ่งที่สังคมพยายามบังคับให้เราเดิน แล้วเราก็มีความจงรักภักดี ชนิดที่ไม่มีทาสคนใดในโลก จะมีความซื่อสัตย์ยิ่งไปกว่าเรา


              แต่หลังจากเราได้วิ่งตามสังคมมาช้านาน  เรากลับพบแต่ความเคร่งเครียด  บางครั้งก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความคับแค้นในหัวใจ  เป็นเครื่องสังเวยบูชาสิ่งที่สังคมกำหนดให้เราเดิน   เราได้มาทุกสิ่งที่เราต้องการ  แต่ความสงบภายในหัวใจ  กลับหาได้แสนยาก


             เมื่อชีวิตได้เดินมาจนถึงวันนี้  เราเริ่มถามตัวเองว่า  แล้วเราจะเดินไปตามเส้นทางไหน  เส้นทางหนึ่งคือ เดินและวิ่งตามสังคมและคนอื่นต่อไป  อีกทางหนึ่ง คือ การเลือกเอาความสงบใจและมีความอิสระในตัวเอง


             เส้นทางสายแรก เราได้เดินมาแล้วและเดินมาตลอด  เราทุกคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางสายนี้อย่างแจ่มแจ้งชนิดจะหาใครเปรียบได้ยากนัก  แต่การเดินทางสายนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งแปลก  เพราะยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่  หนทางที่เคยดูกว้างใหญ่และปลอดโปร่งในตอนแรก กลับดูแคบเข้าและเริ่มอึดอัดขึ้นทุกที  และเมื่อเงยหน้าทอดสายตามองไปไกลๆ  กลับรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าดูท่าจะตีบตันเสียแล้วตอนนี้


              ส่วนเส้นทางสายที่สอง  ทางสายนี้ไม่ค่อยมีใครเดิน ทั้งที่เป็นเส้นทางที่ปลอดโปร่ง ยิ่งเดินไปก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล  และที่สำคัญ เราทั้งหลายไม่มีความต้องการจะอยากเดินแม้แต่น้อย หากยังไม่ถูกบีบคั้นจนน้ำตาไหลออกมาจากการเดินเส้นทางสายแรก


            เส้นทางสายนี้มักต้องให้มีน้ำตาเสียก่อน แต่ละคนจึงจะยอมเดิน  แต่พอเดินไป จากที่ดูเหมือนรกและน่ากลัวในตอนแรก  กลับยิ่งปลอดโปร่งและกว้างใหญ่ ช่างเป็นเป็นหนทางสำหรับผู้ทรงปัญญาตามที่ท่านว่าเสียจริงๆ  ใครหนอจะมีตาดีมองเห็นความวิเศษของเส้นทางสายนี้โดยไม่ต้องรอน้ำตามาตักเตือน


              ดังนั้น  หากใครก็ตามได้รับความเมตตาจากความทุกข์ที่ช่วยบังคับและบีบคั้น  จนต้องจำใจเลือกเดินสายที่สองนี้  ก็อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าเหตุใดเราจึงไม่มีวาสนาได้เดินทางสายแรกไปจนตลอด  เพราะการที่มีบางสิ่งบังคับให้ต้องเดินเปลี่ยนเส้นทาง ก่อนจะเดินไปพบทางตันจนหวนกลับไม่ได้เหมือนหลายคนนั้นนับเป็นบุญวาสนาอยู่ในตัวเองยิ่งนักแล้ว


               อย่าไปนึกชื่นชมหรืออิจฉาคนที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปสู่ทางตันเหล่านั้น เพราะพอถึงที่สุดแล้วเขาต้องทรุดเข่าก้มหน้าร่ำไห้ในเวลาอีกไม่นานกันทุกคน  เราเสียอีกที่โชคดี ที่พบว่าข้างหน้าคือทางตันเสียแต่วันนี้ จะได้ไม่เสียแรงและเสียเวลาเดินไปให้เหนื่อยยากและกลายเป็นการเดินทางที่โมฆะในบั้นปลาย


              จงขอบคุณความทุกข์ทั้งหลายที่บีบคั้น จนทำให้เราได้เดินบนเส้นทางสายใหม่  ซึ่งเป็นเส้นทาง “สายที่ไร้น้ำตา” ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บุกเบิกเดินเป็นบุคคลแรก  แล้วมอบแผนที่และลายแทงให้พวกเราทั้งหลายผู้มีตาดีและมีสายตาอันแหลมคมได้มีโอกาสได้เดินตาม  อันมีบุคคลตัวอย่างคือพระอรหันต์และพระอริยเจ้าที่ท่านเดินไปก่อนเราแล้วเป็นแรงบันดาลใจ


               ทางสายที่สองนี้ไม่เหมือนการเดินบนเส้นทางสายแรก  เพราะเป็นการเดินอยู่ข้างในตามลำพัง  เดินด้วยการยอมรับความเป็นจริง  เดินด้วยการหยุดความทะเยอทะยานและความดิ้นรนในหัวใจ  แล้วปล่อยให้หัวใจได้มีอิสระและเป็นตัวของตัวเอง  เป็นการเดินที่คนทั้งหลายไม่รู้ว่าเราเดินแม้แต่น้อย


              ทางสายนี้คนภายนอกจะไม่รู้กับเราว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ประเสริฐ เป็นเส้นทางยิ่งเดิน ยิ่งปลอดโปร่งหัวใจ เป็นเส้นทางที่เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเส้นทางสายนี้มาก่อน


             การพบเส้นทางสายที่สอง  บางทีเราก็ไม่อาจบอกใครได้ว่าเราได้พบแล้วซึ่งหนทางสายนี้  และบางทีก็ไม่ใครล่วงรู้ไปกับเราว่า เราเดินทางได้ไกลแล้วแค่ไหน  แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะเปิดเผยได้ สิ่งนั้นก็คือ หัวใจของเรามีความสุขและมีความเบิกบานกว่าเมื่อก่อนเป็นคนละคน


                บัดนี้เราได้ค้นพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่แล้ว  อดีตที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ชีวิตและสิ่งต่างๆ อันเปรียบเหมือนมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่  ประสบการณ์และความทุกข์ทั้งหลายคือครูและศาสตราจารย์ที่คอยฝึกฝนและบ่มเราให้กลายเป็นนักเรียนชั้นเลิศที่แตกฉานในชีวิต


               ในแต่ละวันนับแต่นี้  ภาระและหน้าที่ประจำวัน  จึงคือการ “ทำใจให้สบาย” เป็นหลัก  หน้าที่ที่มีอยู่เฉพาะหน้าเราก็ทำด้วยความสุขกว่าเดิม  ความเบื่อหน่ายในชีวิตนานๆจะโผล่มาสักครั้งในยามที่ไม่อะไรทำมากกว่า  แต่เมื่อมองย้อนเข้ามาดูภายใน  ปรากฏว่าหัวใจได้แย้มกลีบเบ่งบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


             ขอบคุณความทุกข์  ขอบคุณความผิดหวัง  ขอบคุณทุกชีวิตที่ได้ช่วยหล่อหลอมตัวเราจนมามีวันนี้ได้   วันที่หัวใจได้มองเห็นคุณค่าเส้นทางแห่งอริยะและเราเองได้เดินอยู่บนเส้นทางสายนี้


            สุดท้ายแล้ว  เราก็พบความจริงอันแสนจะเรียบง่าย  ว่าชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากมายนัก  ขอเพียงได้ดำรงสติกับทุกปรากฏการณ์อย่างเต็มเปี่ยมพร้อมกับมีความสบายใจไปแต่ละวัน...  เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                      ๒๙  ธันวาคม  ๒๕๕๖