ทำใจให้สบาย
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ทำใจให้สบาย
หัวใจของเรามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก หากไม่มีหัวใจดวงนี้ ไฉนเลยจะมีสิ่งอื่นตามมา แต่เราทั้งหลายมักลืมสิ่งที่มีค่าที่สุดสิ่งนี้ไป แล้วไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น จนลืมหัวใจตัวเองเรื่อยมา
เราได้ปล่อยตัวและปล่อยใจ ให้ไหลไปตามกระแสแห่งกิเลสและความทุกข์ตรม มามากพอแล้ว ต่อไปนี้จงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการหันมาดูแลหัวใจของตัวเองให้มากขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้มองแต่สิ่งอื่นที่อยู่นอกตัว ว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าหัวใจตัวเองมาตลอด เราได้แต่วิ่งตามสังคมและคนอื่น ที่พยายามบงการและขีดเส้นให้เราเดิน โดยเราเองแทบไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ตัวเองปรารถนาแม้แต่น้อย
สังคมบอกให้เราดิ้นรนและแสวงหาสิ่งต่างๆ แต่ไม่เคยบอกให้เราหันมองดูหัวใจของตัวเอง มีแต่บอกให้เราต้องทำสิ่งนั้น ต้องทำสิ่งนี้ แต่ไม่เคยมอบความสงบร่มเย็นของหัวใจให้แก่เรา
สิ่งที่สังคมกำหนดให้เราต้องทำ เราได้ทำตามมาหมดแล้ว การศึกษา เราก็เรียนก็อ่านจนสมองหนักอึ้งไปหมดแล้ว ความรักความใคร่ เราก็ได้ทุ่มเททั้งร่างกายและหัวใจแทบจะไม่เหลือสิ่งใดอีก จนตอนนี้เราแทบไม่เหลือหัวใจที่เป็นอิสรภาพ และบางครั้งก็น่าเวทนาที่ต้องตกเป็นทาสความรักความใคร่เหล่านั้นจนน้ำตาต้องนองหน้าเป็นเครื่องสังเวยตั้งหลายหน การบากบั่นหาทรัพย์สินเงินทองเพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาคนอื่น เราก็ทำอย่างสุดชีวิตแทบจะเอาความตายเข้าแลก เราได้ทำตามสิ่งที่สังคมพยายามบังคับให้เราเดิน แล้วเราก็มีความจงรักภักดี ชนิดที่ไม่มีทาสคนใดในโลก จะมีความซื่อสัตย์ยิ่งไปกว่าเรา
แต่หลังจากเราได้วิ่งตามสังคมมาช้านาน เรากลับพบแต่ความเคร่งเครียด บางครั้งก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความคับแค้นในหัวใจ เป็นเครื่องสังเวยบูชาสิ่งที่สังคมกำหนดให้เราเดิน เราได้มาทุกสิ่งที่เราต้องการ แต่ความสงบภายในหัวใจ กลับหาได้แสนยาก
เมื่อชีวิตได้เดินมาจนถึงวันนี้ เราเริ่มถามตัวเองว่า แล้วเราจะเดินไปตามเส้นทางไหน เส้นทางหนึ่งคือ เดินและวิ่งตามสังคมและคนอื่นต่อไป อีกทางหนึ่ง คือ การเลือกเอาความสงบใจและมีความอิสระในตัวเอง
เส้นทางสายแรก เราได้เดินมาแล้วและเดินมาตลอด เราทุกคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางสายนี้อย่างแจ่มแจ้งชนิดจะหาใครเปรียบได้ยากนัก แต่การเดินทางสายนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งแปลก เพราะยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ หนทางที่เคยดูกว้างใหญ่และปลอดโปร่งในตอนแรก กลับดูแคบเข้าและเริ่มอึดอัดขึ้นทุกที และเมื่อเงยหน้าทอดสายตามองไปไกลๆ กลับรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าดูท่าจะตีบตันเสียแล้วตอนนี้
ส่วนเส้นทางสายที่สอง ทางสายนี้ไม่ค่อยมีใครเดิน ทั้งที่เป็นเส้นทางที่ปลอดโปร่ง ยิ่งเดินไปก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล และที่สำคัญ เราทั้งหลายไม่มีความต้องการจะอยากเดินแม้แต่น้อย หากยังไม่ถูกบีบคั้นจนน้ำตาไหลออกมาจากการเดินเส้นทางสายแรก
เส้นทางสายนี้มักต้องให้มีน้ำตาเสียก่อน แต่ละคนจึงจะยอมเดิน แต่พอเดินไป จากที่ดูเหมือนรกและน่ากลัวในตอนแรก กลับยิ่งปลอดโปร่งและกว้างใหญ่ ช่างเป็นเป็นหนทางสำหรับผู้ทรงปัญญาตามที่ท่านว่าเสียจริงๆ ใครหนอจะมีตาดีมองเห็นความวิเศษของเส้นทางสายนี้โดยไม่ต้องรอน้ำตามาตักเตือน
ดังนั้น หากใครก็ตามได้รับความเมตตาจากความทุกข์ที่ช่วยบังคับและบีบคั้น จนต้องจำใจเลือกเดินสายที่สองนี้ ก็อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าเหตุใดเราจึงไม่มีวาสนาได้เดินทางสายแรกไปจนตลอด เพราะการที่มีบางสิ่งบังคับให้ต้องเดินเปลี่ยนเส้นทาง ก่อนจะเดินไปพบทางตันจนหวนกลับไม่ได้เหมือนหลายคนนั้นนับเป็นบุญวาสนาอยู่ในตัวเองยิ่งนักแล้ว
อย่าไปนึกชื่นชมหรืออิจฉาคนที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปสู่ทางตันเหล่านั้น เพราะพอถึงที่สุดแล้วเขาต้องทรุดเข่าก้มหน้าร่ำไห้ในเวลาอีกไม่นานกันทุกคน เราเสียอีกที่โชคดี ที่พบว่าข้างหน้าคือทางตันเสียแต่วันนี้ จะได้ไม่เสียแรงและเสียเวลาเดินไปให้เหนื่อยยากและกลายเป็นการเดินทางที่โมฆะในบั้นปลาย
จงขอบคุณความทุกข์ทั้งหลายที่บีบคั้น จนทำให้เราได้เดินบนเส้นทางสายใหม่ ซึ่งเป็นเส้นทาง “สายที่ไร้น้ำตา” ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บุกเบิกเดินเป็นบุคคลแรก แล้วมอบแผนที่และลายแทงให้พวกเราทั้งหลายผู้มีตาดีและมีสายตาอันแหลมคมได้มีโอกาสได้เดินตาม อันมีบุคคลตัวอย่างคือพระอรหันต์และพระอริยเจ้าที่ท่านเดินไปก่อนเราแล้วเป็นแรงบันดาลใจ
ทางสายที่สองนี้ไม่เหมือนการเดินบนเส้นทางสายแรก เพราะเป็นการเดินอยู่ข้างในตามลำพัง เดินด้วยการยอมรับความเป็นจริง เดินด้วยการหยุดความทะเยอทะยานและความดิ้นรนในหัวใจ แล้วปล่อยให้หัวใจได้มีอิสระและเป็นตัวของตัวเอง เป็นการเดินที่คนทั้งหลายไม่รู้ว่าเราเดินแม้แต่น้อย
ทางสายนี้คนภายนอกจะไม่รู้กับเราว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ประเสริฐ เป็นเส้นทางยิ่งเดิน ยิ่งปลอดโปร่งหัวใจ เป็นเส้นทางที่เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเส้นทางสายนี้มาก่อน
การพบเส้นทางสายที่สอง บางทีเราก็ไม่อาจบอกใครได้ว่าเราได้พบแล้วซึ่งหนทางสายนี้ และบางทีก็ไม่ใครล่วงรู้ไปกับเราว่า เราเดินทางได้ไกลแล้วแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะเปิดเผยได้ สิ่งนั้นก็คือ หัวใจของเรามีความสุขและมีความเบิกบานกว่าเมื่อก่อนเป็นคนละคน
บัดนี้เราได้ค้นพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่แล้ว อดีตที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ชีวิตและสิ่งต่างๆ อันเปรียบเหมือนมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ ประสบการณ์และความทุกข์ทั้งหลายคือครูและศาสตราจารย์ที่คอยฝึกฝนและบ่มเราให้กลายเป็นนักเรียนชั้นเลิศที่แตกฉานในชีวิต
ในแต่ละวันนับแต่นี้ ภาระและหน้าที่ประจำวัน จึงคือการ “ทำใจให้สบาย” เป็นหลัก หน้าที่ที่มีอยู่เฉพาะหน้าเราก็ทำด้วยความสุขกว่าเดิม ความเบื่อหน่ายในชีวิตนานๆจะโผล่มาสักครั้งในยามที่ไม่อะไรทำมากกว่า แต่เมื่อมองย้อนเข้ามาดูภายใน ปรากฏว่าหัวใจได้แย้มกลีบเบ่งบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ขอบคุณความทุกข์ ขอบคุณความผิดหวัง ขอบคุณทุกชีวิตที่ได้ช่วยหล่อหลอมตัวเราจนมามีวันนี้ได้ วันที่หัวใจได้มองเห็นคุณค่าเส้นทางแห่งอริยะและเราเองได้เดินอยู่บนเส้นทางสายนี้
สุดท้ายแล้ว เราก็พบความจริงอันแสนจะเรียบง่าย ว่าชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากมายนัก ขอเพียงได้ดำรงสติกับทุกปรากฏการณ์อย่างเต็มเปี่ยมพร้อมกับมีความสบายใจไปแต่ละวัน... เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว
คุรุอตีศะ
๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๖