ความรักคือสิ่งมิอาจครอบครอง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักคือสิ่งมิอาจครอบครอง
ความรักคือสิ่งกว้างใหญ่ไพศาล เราไม่อาจจำกัดความ หรือใช้หัวใจอันคับแคบไปครอบครองหรือบงการควบคุมความรักได้ ความรักคือความยิ่งใหญ่ หากจะใช้คำพูดให้เป็นสากลโดยไม่คำนึงถึงลัทธิศาสนาแต่อย่างใด ก็สามารถพูดได้ว่า ความรักคือพระเจ้า ที่หัวใจอันต่ำต้อยของมนุษย์มิอาจครอบครองได้ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม
มนุษย์มิอาจเป็นเจ้าของความรักได้ เพราะความรักคือความยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครๆจะคิดอาจเอื้อมครอบครอง สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งชายหญิงได้ครอบครอง เป็นเพียงเปลือกส่วนหนึ่งที่พากันหวงแหนไว้สุดหัวใจ โดยหลงเข้าใจว่านั่นคือความรักที่แต่ละคนได้มาไว้ในกำมือ
เราต่างลดคุณค่าของความรัก ลงมาเพียงการครอบครองร่างกายของกันและกันเท่านั้น และแต่ละวันเราก็คอยกีดกันและคอยหึงคอยหวง กลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงบุคคลที่นอนอยู่ใกล้ๆไปจากเรา โดยที่เรามีชีวิตที่พลาดจากความรักอันยิ่งใหญ่ดุจดังพระเจ้านั้นตลอดเวลา
เมื่อหนุ่มสาวเริ่มรักกัน ในตอนนั้นทั้งสองมีทั้งความอบอุ่นและความปิติเบิกบาน เหมือนกำลังท่องเที่ยวอยู่ในอุทยานสวรรค์ โลกทั้งใบมิมีที่แห่งใดที่มิใช่เป็นของเขาทั้งสอง ชายหนุ่มมีความสุขทั้งเกิดความเชื่อมั่นในตนเองที่ไม่เคยเกิดมาก่อน หญิงสาวมีทั้งความร่าเริงเบิกบานและความภูมิใจที่ตนเองเป็นสิ่งมีค่าสำหรับใครบางคน ขณะนั้นหัวใจทั้งสองและโลกใบนี้เป็นโลกเทพเจ้าที่เปี่ยมความสุขใม่รู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดแคลนสิ่งใด
ความรักอันงดงามในขณะนั้นทำให้เป็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบาย อยู่เหนือตรรกวิทยา นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือทฤษฎีใดๆ เป็นนามธรรมที่ต้องเป็นประสบการณ์แห่งความรู้สึก จึงจะหยั่งถึงความยิ่งใหญ่ของอานุภาพแห่งความรักได้ ดุจเดียวกับการที่ยากจะอธิบายถึงความรู้สึกของการบรรลุธรรม
เมื่อเขาและเธอมาแต่งงานกัน ความยิ่งใหญ่ของความรักที่เคยมีมานั้น ค่อยๆลดลงไปจากหัวใจของคนทั้งสอง แต่เพราะเขาลืมหันมามอง จึงยังหลงเชื่ออยู่ว่าความรักในหัวใจของคนทั้งสองยังคงเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม ทั้งที่ความจริงนั้น ได้พร่องลงไปทีละน้อยนับแต่วินาทีที่เขาทั้งสอง ต่างมุ่งครอบครองซึ่งกันและกัน
ความพร่องลงไปทีละน้อยของความรักนี้ เริ่มจากที่คนทั้งสองสนใจเรื่องการทำมาหากินเพื่อสร้างฐานะให้เท่าเทียมคนอื่น ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกเอาเงินทองและทรัพย์สินเข้ามาสู่ชีวิตแทนความรัก บากบั่นทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวตัวเองรวยกว่าคนอื่น ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ครอบครัวอื่นจะไม่มีข้าวกินหรือทุกข์ร้อนอย่างไร ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาสำหรับเขาทั้งสอง ขอเพียงครอบครัวของเรามีข้าวกินหรือมีความสุขเป็นพอ เพียงเท่านั้นชีวิตนี้ก็สมบูรณ์แล้ว
ใจของเขาจะเริ่มโหดร้ายต่อคนอื่นทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว จะมองความสุขครอบครัวของตัวเองเป็นสำคัญ ในขณะที่หัวใจของทั้งคู่หยาบกระด้างขึ้นทุกวัน ความรักที่งดงามอันเคยมีในหัวใจของคนทั้งสองนั้น ได้ค่อยๆลดลงไปในสัดส่วนที่ตรงข้ามกัน โดยไม่มีฝ่ายใดเคยนึกเฉลียวใจ
อาณาจักรของความรัก ย่อมสถิตในใจของหญิงชายตราบเท่าที่ยังไม่เอาหัวใจไปขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทองและวัตถุสิ่งของภายนอก หากเมื่อใดเขายกเอาเงินทองหรือทรัพย์สินความร่ำรวยเป็นใหญ่ ให้อยู่เหนือหัวใจแทนความรักและความอ่อนโยน เมื่อนั้นความรักของเขาทั้งสองย่อมเหมือนท่อน้ำรั่ว หากแก้ไขไม่ทันน้ำย่อมหมดจากแทงค์ได้ไม่ช้าก็เร็ว
ด้วยเหตุนี้จึงมีกรณีคู่สามีภรรยาที่เคยก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมา เมื่อมีฐานะร่ำรวยและมีเงินทองมีทรัพย์สินอย่างมากมาย ผลสุดท้ายบางคู่กลับมีชีวิตอยู่คล้ายเป็นศัตรูกันก็มี ทั้งนี้ก็เพราะความรักที่เขาเคยมีต่อกันเมื่อครั้งเริ่มสร้างฐานะ ได้โบยบินออกทางหน้าต่างไปจากหัวใจของคนทั้งสองตั้งนานแล้ว หากจะถามว่าโบยบินหนีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอบว่า ตั้งแต่หัวใจบูชาเงินทองแทนความรัก
หากหญิงชายคู่ใดไม่ประมาทในชีวิต มีสติและปัญญาในการครองเรือน จะต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นของการมีครอบครัว ด้วยสูตรสำเร็จของชีวิตที่่ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ ต้องหมั่นบริจาคทาน หมั่นบำเพ็ญศีล หมั่นบำเพ็ญภาวนา พร้อมกับการขยันหมั่นเพียรในการหาเงินการสร้างฐานะไปด้วย ความรักอันมั่นคงยั่งยืนจึงจะอยู่ในหัวใจของคนทั้งสองจนวันตาย
เนื่องจากเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน มักให้ความสำคัญของการทำงานมากกว่าการดูแลหัวใจตัวเองให้ร่มเย็นอยู่ในความรัก ความสุขความร่มเย็นในหัวใจจึงลดลงทีละน้อย เราจึงมีความทุกข์ความเศร้าหมองกันมาก สำหรับผู้คนในยุคสมัยก่อนท่านมีวลีว่า "ความรักคือความทุกข์" แต่สำหรับยุคสมัยของเรา ต้องเปลี่ยนวลีนั้นใหม่เป็นว่า "เพราะหัวใจขาดแคลนความรัก จึงเป็นทุกข์"
การฟื้นฟูจิตใจให้กลับคืนสู่ความรักอีกครั้ง นั่นแหละคือความหมายอันลึกซึ้งของการปฏิบัติธรรม เพียงแต่อิทธิพลของคำสอนแบบหินยานหรือเถรวาทที่มุ่งความหลุดพ้น ทำให้หลายคนสับสนและพลอยดูหมิ่นความรัก เพราะไปพยายามทำจิตที่ข้ามขั้น พยายามจะเป็นแบบพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ซึ่งจิตของท่านพ้นจากกามราคะ เป็นจิตของพรหมเกินวิสัยของมุษย์และเทวดาไปแล้ว
ส่วนพวกเราทั้งหลายทั้งหญิงชาย ล้วนมีจิตอยู่ในระดับ "กามาวจรภูมิ" ทั้งสิ้น แม้จิตของพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี โดยปกติแล้วจิตของท่านก็ยังท่องเที่ยวในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพารมณ์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่จะเป็นโลกุตตรจิตตลอดเวลา เพียงแต่ท่านจะมีสติที่สูงกว่าปุถุชน ไม่มีโมหะลุ่มหลงเหมือนคนทั่วไป จิตของท่านจึงแจ่มใส นานๆจึงจะมีสิ่งมากระทบให้ขุ่นมัวเป็นบางครั้ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า จิตของท่านจะประกอบด้วยความเมตตากรุณาเป็นพื้นนิสัย เพราะหัวใจของท่านมีความเต็มเปี่ยมด้วยความรักที่สะอาดและสูงกว่าคนทั่วไปนั่นเอง
ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังใจที่ทำให้มนุษย์เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง เป็นพลังสร้างสรรค์ที่ทำให้โลกใบนี้สดใสงดงาม ขอให้เราทั้งหลายอย่าได้มองข้ามความรู้สึกอันสูงส่งนี้ ที่เราต่างเคยมีมาแล้วนับแต่วันรู้จักความรัก
ตราบใดที่เราไม่ได้ดำรงชีวิตเป็นดาบส ฤาษี โยคีที่บำเพ็ญฌานสมาบัติ ยังไม่ได้ปฏิบัติจนจิตบรรลุถึงขั้นพระอนาคามี ตราบนั้นจิตของเรายังท่องเที่ยวอยู่ใน "กามาวจรภูมิ"ทั้งสิ้น คือยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสหรือโผฏฐัพพารมณ์เป็นปกติวิสัย เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ เราจะปฏิเสธความรักหรือดูหมิ่นความรักไม่ได้เลย เพราะวิสัยของเราล้วนเป็นผู้ต้องการความรักทั้งสิ้น ดุจต้นไม้ใบหญ้าและผืนดินที่ต้องการน้ำฝน ฉะนั้น
หากเรายอมรับความยิ่งใหญ่ของความรัก ดุจเดียวกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหรือการเข้าถึงธรรม นั่นจะเป็นต้นสายธารของการปฏิบัติธรรมที่ทรงความหมายยิ่ง ความรักนี้เปรียบได้กับความเงียบอันยิ่งใหญ่ เป็นทิพยโอสถที่จะช่วยฟื้นฟูจิตใจที่ถูกทำลายไปด้วยสังคมและวัตถุสิ่งของภายนอกตัว เป็นการกลับบ้านครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากที่ซมซานและระหกระเหินมานาน
คนโสดที่ใช้ชีวิตประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวไปวันๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงความรักนี้ คนที่แต่งงานที่มุ่งสร้างฐานะไปวันๆอยู่กันฉันสามีภรรยา ก็ยังเข้าไม่ถึงความรักเช่นนี้ จนกว่าทุกคนจะรู้ว่า ความรักคือสิ่งที่มิอาจครอบครอง มิใช่การเป็นเจ้าของ เมื่อนั้นไม่ว่าคนโสดหรือคนมีคู่ ย่อมได้พบกับความรักนี้เสมอกัน
หนุ่มสาวที่รักกันใหม่ๆ มีความสุขมากเพราะยังไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ ยังไม่มีการมุ่งครอบครองซึ่งกันและกัน อุปาทานความยึดมั่นว่าเราเป็นเจ้าของหรือยึดมั่นว่าเป็นสมบัติของเรา จึงยังมีไม่มากนัก
แต่เมื่อแต่งงานกัน อุปาทานความยึดมั่นจึงมีมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งถ้าได้จดทะเบียนสมรสกัน อุปาทานคือความยึดมั่นว่าหญิงหรือชายคนนี้เป็นสมบัติของเราคนเดียว จึงเบ่งบานอย่างเต็มที่ รอวันที่จะพบความทุกข์ในเพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งไปจนตลอด จนกว่าจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล คำทำวัตรเช้าตอนหนึ่งจึงมีว่า "ว่าโดยสรุป การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์" อันมีความหมายว่า การยึดมั่นในกายและใจของบุคคลหรือสิ่งของที่เรารักว่าเป็นของเรา เป็นต้นเหตุของความทุกข์
มีความรัก มีคู่ครองไปตามวิสัยและตามวิบากกรรมที่เราทั้งสองได้มาร่วมชีวิตกัน แต่อย่าลืมคำสอนของพระอริยเจ้าและนักปราชญ์ที่คอยเตือนสติของเราว่า "ความรักเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ แต่แม้จะยิ่งใหญ่และทรงอานุภาพเพียงใด ความรักนั้นจะสถิตอยู่แต่กับหัวใจที่เจียมตัว ที่ไม่ตกเป็นทาสการเรียกร้องความเป็นเจ้าของ จงมีสติอย่าคิดครอบครอง เพราะความรักนี้ย่อมงอกงามอยู่ได้ สำหรับดวงใจที่มิอาจเอื้อมคิดครอบครองเท่านั้น"
เมื่อยังต้องการความรัก จงรักอย่างเต็มเปี่ยม แต่จงมีสติในรักไว้เสมอ วันเวลาที่ผ่านไปจะช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ได้สัมผัสความรักอันงดงามตามลำดับ วิวัฒนาการจากเพียงความรักที่เต็มไปด้วยความหมายมั่นครอบครอง กลายเป็นความรักความเมตตาที่สะอาดสูงส่งขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นความรักแห่งพุทธะ ที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ภายใน เป็นความรักที่อยู่เหนือการครอบครองใดๆ เข้าถึงความรักอันเป็นนิรันดร์
คุรุอตีศะ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๖