ความรักคือสิ่งมิอาจครอบครอง

ความรักคือสิ่งมิอาจครอบครอง


                                                             
                ความรักคือสิ่งกว้างใหญ่ไพศาล  เราไม่อาจจำกัดความ หรือใช้หัวใจอันคับแคบไปครอบครองหรือบงการควบคุมความรักได้  ความรักคือความยิ่งใหญ่ หากจะใช้คำพูดให้เป็นสากลโดยไม่คำนึงถึงลัทธิศาสนาแต่อย่างใด  ก็สามารถพูดได้ว่า  ความรักคือพระเจ้า ที่หัวใจอันต่ำต้อยของมนุษย์มิอาจครอบครองได้ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม


                 มนุษย์มิอาจเป็นเจ้าของความรักได้  เพราะความรักคือความยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครๆจะคิดอาจเอื้อมครอบครอง  สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งชายหญิงได้ครอบครอง เป็นเพียงเปลือกส่วนหนึ่งที่พากันหวงแหนไว้สุดหัวใจ  โดยหลงเข้าใจว่านั่นคือความรักที่แต่ละคนได้มาไว้ในกำมือ


                 เราต่างลดคุณค่าของความรัก  ลงมาเพียงการครอบครองร่างกายของกันและกันเท่านั้น  และแต่ละวันเราก็คอยกีดกันและคอยหึงคอยหวง กลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงบุคคลที่นอนอยู่ใกล้ๆไปจากเรา  โดยที่เรามีชีวิตที่พลาดจากความรักอันยิ่งใหญ่ดุจดังพระเจ้านั้นตลอดเวลา


            เมื่อหนุ่มสาวเริ่มรักกัน  ในตอนนั้นทั้งสองมีทั้งความอบอุ่นและความปิติเบิกบาน เหมือนกำลังท่องเที่ยวอยู่ในอุทยานสวรรค์  โลกทั้งใบมิมีที่แห่งใดที่มิใช่เป็นของเขาทั้งสอง  ชายหนุ่มมีความสุขทั้งเกิดความเชื่อมั่นในตนเองที่ไม่เคยเกิดมาก่อน  หญิงสาวมีทั้งความร่าเริงเบิกบานและความภูมิใจที่ตนเองเป็นสิ่งมีค่าสำหรับใครบางคน  ขณะนั้นหัวใจทั้งสองและโลกใบนี้เป็นโลกเทพเจ้าที่เปี่ยมความสุขใม่รู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดแคลนสิ่งใด


              ความรักอันงดงามในขณะนั้นทำให้เป็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่  เป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบาย อยู่เหนือตรรกวิทยา นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือทฤษฎีใดๆ เป็นนามธรรมที่ต้องเป็นประสบการณ์แห่งความรู้สึก จึงจะหยั่งถึงความยิ่งใหญ่ของอานุภาพแห่งความรักได้  ดุจเดียวกับการที่ยากจะอธิบายถึงความรู้สึกของการบรรลุธรรม


               เมื่อเขาและเธอมาแต่งงานกัน   ความยิ่งใหญ่ของความรักที่เคยมีมานั้น  ค่อยๆลดลงไปจากหัวใจของคนทั้งสอง   แต่เพราะเขาลืมหันมามอง  จึงยังหลงเชื่ออยู่ว่าความรักในหัวใจของคนทั้งสองยังคงเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม  ทั้งที่ความจริงนั้น ได้พร่องลงไปทีละน้อยนับแต่วินาทีที่เขาทั้งสอง ต่างมุ่งครอบครองซึ่งกันและกัน


               ความพร่องลงไปทีละน้อยของความรักนี้  เริ่มจากที่คนทั้งสองสนใจเรื่องการทำมาหากินเพื่อสร้างฐานะให้เท่าเทียมคนอื่น  ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกเอาเงินทองและทรัพย์สินเข้ามาสู่ชีวิตแทนความรัก  บากบั่นทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวตัวเองรวยกว่าคนอื่น ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ครอบครัวอื่นจะไม่มีข้าวกินหรือทุกข์ร้อนอย่างไร ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาสำหรับเขาทั้งสอง ขอเพียงครอบครัวของเรามีข้าวกินหรือมีความสุขเป็นพอ เพียงเท่านั้นชีวิตนี้ก็สมบูรณ์แล้ว


               ใจของเขาจะเริ่มโหดร้ายต่อคนอื่นทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว จะมองความสุขครอบครัวของตัวเองเป็นสำคัญ  ในขณะที่หัวใจของทั้งคู่หยาบกระด้างขึ้นทุกวัน  ความรักที่งดงามอันเคยมีในหัวใจของคนทั้งสองนั้น   ได้ค่อยๆลดลงไปในสัดส่วนที่ตรงข้ามกัน โดยไม่มีฝ่ายใดเคยนึกเฉลียวใจ


               อาณาจักรของความรัก  ย่อมสถิตในใจของหญิงชายตราบเท่าที่ยังไม่เอาหัวใจไปขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทองและวัตถุสิ่งของภายนอก  หากเมื่อใดเขายกเอาเงินทองหรือทรัพย์สินความร่ำรวยเป็นใหญ่  ให้อยู่เหนือหัวใจแทนความรักและความอ่อนโยน  เมื่อนั้นความรักของเขาทั้งสองย่อมเหมือนท่อน้ำรั่ว  หากแก้ไขไม่ทันน้ำย่อมหมดจากแทงค์ได้ไม่ช้าก็เร็ว


                 ด้วยเหตุนี้จึงมีกรณีคู่สามีภรรยาที่เคยก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมา เมื่อมีฐานะร่ำรวยและมีเงินทองมีทรัพย์สินอย่างมากมาย  ผลสุดท้ายบางคู่กลับมีชีวิตอยู่คล้ายเป็นศัตรูกันก็มี ทั้งนี้ก็เพราะความรักที่เขาเคยมีต่อกันเมื่อครั้งเริ่มสร้างฐานะ ได้โบยบินออกทางหน้าต่างไปจากหัวใจของคนทั้งสองตั้งนานแล้ว  หากจะถามว่าโบยบินหนีไปตั้งแต่เมื่อไหร่  ตอบว่า ตั้งแต่หัวใจบูชาเงินทองแทนความรัก


                 หากหญิงชายคู่ใดไม่ประมาทในชีวิต มีสติและปัญญาในการครองเรือน จะต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นของการมีครอบครัว ด้วยสูตรสำเร็จของชีวิตที่่ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ ต้องหมั่นบริจาคทาน  หมั่นบำเพ็ญศีล  หมั่นบำเพ็ญภาวนา  พร้อมกับการขยันหมั่นเพียรในการหาเงินการสร้างฐานะไปด้วย ความรักอันมั่นคงยั่งยืนจึงจะอยู่ในหัวใจของคนทั้งสองจนวันตาย


                  เนื่องจากเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบัน  มักให้ความสำคัญของการทำงานมากกว่าการดูแลหัวใจตัวเองให้ร่มเย็นอยู่ในความรัก ความสุขความร่มเย็นในหัวใจจึงลดลงทีละน้อย เราจึงมีความทุกข์ความเศร้าหมองกันมาก  สำหรับผู้คนในยุคสมัยก่อนท่านมีวลีว่า "ความรักคือความทุกข์" แต่สำหรับยุคสมัยของเรา ต้องเปลี่ยนวลีนั้นใหม่เป็นว่า "เพราะหัวใจขาดแคลนความรัก จึงเป็นทุกข์"


                  การฟื้นฟูจิตใจให้กลับคืนสู่ความรักอีกครั้ง นั่นแหละคือความหมายอันลึกซึ้งของการปฏิบัติธรรม  เพียงแต่อิทธิพลของคำสอนแบบหินยานหรือเถรวาทที่มุ่งความหลุดพ้น ทำให้หลายคนสับสนและพลอยดูหมิ่นความรัก เพราะไปพยายามทำจิตที่ข้ามขั้น พยายามจะเป็นแบบพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ซึ่งจิตของท่านพ้นจากกามราคะ เป็นจิตของพรหมเกินวิสัยของมุษย์และเทวดาไปแล้ว


                   ส่วนพวกเราทั้งหลายทั้งหญิงชาย  ล้วนมีจิตอยู่ในระดับ "กามาวจรภูมิ" ทั้งสิ้น  แม้จิตของพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี โดยปกติแล้วจิตของท่านก็ยังท่องเที่ยวในรูป รส กลิ่น เสียง  โผฏฐัพพารมณ์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่จะเป็นโลกุตตรจิตตลอดเวลา  เพียงแต่ท่านจะมีสติที่สูงกว่าปุถุชน ไม่มีโมหะลุ่มหลงเหมือนคนทั่วไป  จิตของท่านจึงแจ่มใส นานๆจึงจะมีสิ่งมากระทบให้ขุ่นมัวเป็นบางครั้ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า  จิตของท่านจะประกอบด้วยความเมตตากรุณาเป็นพื้นนิสัย เพราะหัวใจของท่านมีความเต็มเปี่ยมด้วยความรักที่สะอาดและสูงกว่าคนทั่วไปนั่นเอง


                    ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  เป็นพลังใจที่ทำให้มนุษย์เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง  เป็นพลังสร้างสรรค์ที่ทำให้โลกใบนี้สดใสงดงาม  ขอให้เราทั้งหลายอย่าได้มองข้ามความรู้สึกอันสูงส่งนี้ ที่เราต่างเคยมีมาแล้วนับแต่วันรู้จักความรัก


                     ตราบใดที่เราไม่ได้ดำรงชีวิตเป็นดาบส ฤาษี โยคีที่บำเพ็ญฌานสมาบัติ ยังไม่ได้ปฏิบัติจนจิตบรรลุถึงขั้นพระอนาคามี  ตราบนั้นจิตของเรายังท่องเที่ยวอยู่ใน "กามาวจรภูมิ"ทั้งสิ้น คือยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส  สัมผัสหรือโผฏฐัพพารมณ์เป็นปกติวิสัย  เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ เราจะปฏิเสธความรักหรือดูหมิ่นความรักไม่ได้เลย เพราะวิสัยของเราล้วนเป็นผู้ต้องการความรักทั้งสิ้น ดุจต้นไม้ใบหญ้าและผืนดินที่ต้องการน้ำฝน ฉะนั้น


                       หากเรายอมรับความยิ่งใหญ่ของความรัก ดุจเดียวกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหรือการเข้าถึงธรรม  นั่นจะเป็นต้นสายธารของการปฏิบัติธรรมที่ทรงความหมายยิ่ง  ความรักนี้เปรียบได้กับความเงียบอันยิ่งใหญ่  เป็นทิพยโอสถที่จะช่วยฟื้นฟูจิตใจที่ถูกทำลายไปด้วยสังคมและวัตถุสิ่งของภายนอกตัว  เป็นการกลับบ้านครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากที่ซมซานและระหกระเหินมานาน


                      คนโสดที่ใช้ชีวิตประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวไปวันๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงความรักนี้  คนที่แต่งงานที่มุ่งสร้างฐานะไปวันๆอยู่กันฉันสามีภรรยา ก็ยังเข้าไม่ถึงความรักเช่นนี้ จนกว่าทุกคนจะรู้ว่า ความรักคือสิ่งที่มิอาจครอบครอง มิใช่การเป็นเจ้าของ เมื่อนั้นไม่ว่าคนโสดหรือคนมีคู่ ย่อมได้พบกับความรักนี้เสมอกัน


                       หนุ่มสาวที่รักกันใหม่ๆ มีความสุขมากเพราะยังไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ ยังไม่มีการมุ่งครอบครองซึ่งกันและกัน  อุปาทานความยึดมั่นว่าเราเป็นเจ้าของหรือยึดมั่นว่าเป็นสมบัติของเรา จึงยังมีไม่มากนัก


                      แต่เมื่อแต่งงานกัน อุปาทานความยึดมั่นจึงมีมากขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งถ้าได้จดทะเบียนสมรสกัน อุปาทานคือความยึดมั่นว่าหญิงหรือชายคนนี้เป็นสมบัติของเราคนเดียว จึงเบ่งบานอย่างเต็มที่ รอวันที่จะพบความทุกข์ในเพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งไปจนตลอด จนกว่าจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล คำทำวัตรเช้าตอนหนึ่งจึงมีว่า "ว่าโดยสรุป การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์"  อันมีความหมายว่า การยึดมั่นในกายและใจของบุคคลหรือสิ่งของที่เรารักว่าเป็นของเรา เป็นต้นเหตุของความทุกข์


                       มีความรัก มีคู่ครองไปตามวิสัยและตามวิบากกรรมที่เราทั้งสองได้มาร่วมชีวิตกัน  แต่อย่าลืมคำสอนของพระอริยเจ้าและนักปราชญ์ที่คอยเตือนสติของเราว่า "ความรักเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ แต่แม้จะยิ่งใหญ่และทรงอานุภาพเพียงใด  ความรักนั้นจะสถิตอยู่แต่กับหัวใจที่เจียมตัว ที่ไม่ตกเป็นทาสการเรียกร้องความเป็นเจ้าของ จงมีสติอย่าคิดครอบครอง  เพราะความรักนี้ย่อมงอกงามอยู่ได้ สำหรับดวงใจที่มิอาจเอื้อมคิดครอบครองเท่านั้น"


                        เมื่อยังต้องการความรัก  จงรักอย่างเต็มเปี่ยม แต่จงมีสติในรักไว้เสมอ วันเวลาที่ผ่านไปจะช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ได้สัมผัสความรักอันงดงามตามลำดับ  วิวัฒนาการจากเพียงความรักที่เต็มไปด้วยความหมายมั่นครอบครอง กลายเป็นความรักความเมตตาที่สะอาดสูงส่งขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นความรักแห่งพุทธะ ที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ภายใน  เป็นความรักที่อยู่เหนือการครอบครองใดๆ เข้าถึงความรักอันเป็นนิรันดร์

 

                                                                                                     คุรุอตีศะ
                                                                                             ๒๐  ธันวาคม  ๒๕๕๖