ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก

ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก


                                                                           
             โลกและบ้านเมืองกำลังก้าวสู่ "ยุคเปลี่ยนผ่าน"  พวกเราทุกคนได้เกิดมาและได้มีชีวิตอยู่ในช่วงนี้พอดี   เราทุกคนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่าน แม้ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม  แต่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน ก็ได้ย่างกรายเข้ามาสู่ชีวิตของเราแล้วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


           การต้อนรับการเปลี่ยนผ่านมีหลายวิธี  แต่ที่ดีและจำเป็นที่สุดก็คือ การยอมรับความเป็นจริงให้ได้ว่า ต่อไปนี้จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว  แม้บางคนอาจจะต้องฝืนใจและยากลำบากในการต้อนรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเคลื่อนเข้ามาสู่ชีวิตก็ตาม


           เมื่อยี่สิบปีก่อน  เวลาเดินจาริกธุดงค์ของพระภิกษุรูปหนึ่ง  บางครั้งมีเหตุให้ท่านต้องสะพายบาตรแบกกลดออกมาเดินตามถนนทั้งๆที่ไม่อยากมาเดินให้ใครเห็น อยากหลบซ่อนตัวมากกว่า แต่ก็ต้องฝืนใจเดินออกมา เพราะต้องขึ้นรถประจำทางเพื่อเดินทางไปคนละภาคให้ทันกำหนดภายในวันรุ่งขึ้นด้วยกิจธุระสำคัญบางประการ


            หลังจากฉันอาหารในบาตรมื้อเดียวในตอนสายอันเป็นกิจวัตร ล้างบาตร เช็ดบาตร ผึ่งบาตร เก็บบาตรเข้าถลกบาตร แล้วเอาของจำเป็นและใบสุทธิพร้อมทั้งสังฆาฏิบรรจุลงในบาตร เอาผ้านิสีทนะ ผ้าอาบ ผ้าเช็ดบาตร ผ้าเช็ดปากเช็ดมือพร้อมทั้งมีดโกนมีดตัดเล็บอันเป็นของจำเป็นบรรจุลงในถุงใส่บาตร  ก็เดินสะพายบาตรและกลดออกมาตามลำพังรูปเดียวในระยะทาง ๑๕ กิโลเมตร  เพื่อไปขึ้นรถประจำทางโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว โดยตั้งใจไว้ว่าหากมีบุญวาสนาจะได้เดินทางไปถึงจุดหมาย ก็จะมีเหตุให้เดินทางได้โดยไร้อุปสรรค


               อากาศใกล้เที่ยงวันของฤดูร้อนเดือนมีนาคม เดินได้เพียง ๒ กิโลเมตรเหงื่อก็ไหลท่วมตัว ส่วนเท้าทั้งคู่ที่ไม่ได้สวมรองเท้ามา ๕ ปีแล้ว ที่พองและด้านอยู่แล้ว  ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ด้านก็เริ่มพองเจ็บปวดจนน้ำตาไหล  แต่ก็แข็งใจเดินไปพร้อมทั้งมีสติระลึกรู้ในทุกขเวทนา โดยยกเอาเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ ไม่นานจิตก็สงบและทุกขเวทนาก็เบาบางจนเดินไปเรื่อยๆพอไหว


               หลังจากเดินออกจากป่ามาได้ ๕  กิโลเมตรก็ขึ้นสู่ถนนใหญ่  เดินไปได้เพียง ๑๐ นาที ก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดดักรออยู่ข้างหน้า แล้วเขาก็ลงมาขอถวายปัจจัยกับน้ำดื่ม  ได้รับเอาแต่น้ำส่วนปัจจัยนั้นได้บอกเขาว่า "อาตมารับศรัทธาของโยมแล้ว แต่ขอคืนให้โยมนำกลับไปเลี้ยงครอบครัวนะ" เขาดูงงๆอยู่ครู่ใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นและไม่เข้าใจว่าตั้งแต่บวชมาได้ ๕ ปี พระรูปนี้อธิษฐานไม่รับปัจจัยเงินทองเพื่อฝึกตนอย่างเคร่งครัด แต่ด้วยความเคารพยำเกรงเขาก็ขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถออกไป ดูมีอาการปลื้มใจที่แม้ท่านไม่รับเงินของตนแต่ก็ยังได้ถวายน้ำดื่มแก่ท่าน


                 เดินไปได้อีกเพียง ๕ นาที ก็มีรถยนต์อีกคันหนึ่งมาจอดรอข้างหน้า แล้วสองสามีภรรยาก็เปิดประตูรถลงมาทั้งคู่ แล้วฝ่ายผู้เป็นสามีก็ถามขึ้นว่า "ท่านพระอาจารย์จะไปไหนครับ กระผมสองคนจะขออนุญาตไปส่ง" ก็ตอบเขาว่าจะไปที่สถานีขนส่งของตัวอำเภอ เห็นแววตาของทั้งสองสามีภรรยาดูมีความเต็มใจและใจบุญทั้งคู่ก็จึงตกลงขึ้นรถตามที่เขานิมนต์


                  เมื่อไปถึงสถานีขนส่งของอำเภอ เมื่อสามีช่วยยกบาตรและกลดที่พะรุงพะรังลงจากรถในขณะที่ภรรยายืนอยู่ห่างๆด้วยความเคารพในพระภิกษุ เหมือนคนที่มีครูบาอาจารย์ฝึกมาอย่างดีจึงทำอะไรด้วยความมีสติพอเหมาะพอดีรู้กาละเทศะ  เมื่อนั่งลงที่ม้านั่งเรียบร้อยเขาก็พูดขึ้นว่า "ท่านพระอาจารย์กรุณารอกระผมสัก ๕ นาทีนะครับ" แล้วเขาก็หายไปสักครู่


                   เมื่อกลับมาใหม่เขานำตั๋วเดินทางมาให้ ๑ ใบพร้อมกับพูดว่า "กระผมสองคนขอโอกาสทำบุญกับท่านพระอาจารย์ ขออานิสงส์แห่งบุญที่ได้ทำให้ท่านพระอาจารย์ได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยตั๋วใบนี้  ขอให้กระผมสองคนจงผ่านพ้นอุปสรรคของชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ และไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ด้วยเถิดขอรับ" พูดเสร็จแล้วทั้งสองสามีภรรยาก็ส่งสายตาที่ทั้งเลื่อมใสและวิงวอนพร้อมทั้งพนมมือ จึงได้ให้พรเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า "ขอให้สำเร็จและสมหวังนะ" แล้วต่างคนก็ต่างจากกันไปตามวิถีทางของตัวเอง และไม่ได้พบกันอีกเลย


                    วันเวลาผ่านไปร่วมยี่สิบปี  บัดนี้พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้เดินธุดงค์แบบนั้นอีกแล้ว ญาติโยมที่มาหาท่านในรุ่นหลัง แทบไม่มีใครเชื่อว่าท่านจะเคยสะพายบาตรแบกกลดฉันอาหารมื้อเดียวในบาตรและไม่จับปัจจัยไม่ใส่รองเท้ามาก่อน  ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจริงๆ


                    เวลาท่านนั่งรถยนต์ส่วนตัวที่โยมจัดถวายในการเดินทางไกล บางครั้งมองเห็นพระธุดงค์สามสี่รูปหรือบางทีก็กลุ่มใหญ่คอยโบกรถตามข้างทางแต่ไม่มีใครยินดีจอดรับ รถแต่ละคันวิ่งผ่านไปคันแล้วคันเล่า ไม่เหมือนสมัยของท่านที่เวลาท่านเดินไปไหน ไม่เคยเดินได้ไกลถึง ๓ กิโลเมตรก็จะมีคนใจบุญที่เต็มใจขอนิมนต์ให้ขึ้นรถแล้วนำไปส่งจนถึงจุดหมาย  แต่ภาพที่เห็นทุกวันนี้ พระหลายรูปโบกมืออยู่ข้างทางเพื่อให้รถจอดรับเพื่ออาศัยเดินทาง  จะมีน้อยคันนักที่จะสะดวกและจอดรับเหมือนดังแต่ก่อน  ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจริงๆ

 
                    ในใจของท่านอยากจะบอกพระทั้งหลายเหล่านั้นว่า ให้เดินไปเรื่อยๆด้วยความสำรวมมีสติจะดูน่าเลื่อมใสศรัทธามากกว่า  ไม่ควรมาโบกรถข้างทางให้ญาติโยมนึกดูหมิ่นในใจเช่นนี้ ธุระของพระผู้ไม่มีครอบครัวและไม่ต้องเร่งร้อนทำเวลาในการประกอบอาชีพ อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนเหมือนญาติโยมเขาแน่  และทุกวันนี้จิตใจของผู้คนมักมีแต่ความกระวนกระวาย ที่จะใจบุญและมีน้ำใจเหมือนสมัยก่อนนั้นหาได้ยากแล้ว  ท่านอยากบอกพระเหล่านั้นว่า "ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว"


                       ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย  แม้แต่เรื่องของพระแท้ๆยังไม่มีอะไรเหมือนเดิม  แล้วชีวิตของพวกเราทั้งหลายนี้จะมีความเหมือนเดิมได้อย่างไร นี้แหละสัจธรรมที่พระพุทธองค์ท่านพร่ำสอนเป็นพหุลานุสาสนีแก่พระสาวกตลอดพระชนม์ชีพ คือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ที่เราไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น


                        มีพระภิกษุรูปหนึ่งสมัยปฏิบัติอยู่ในป่า  มีครูบาอาจารย์ท่านทำนายอนาคตว่า "ต่อไปท่านจะไม่ได้เป็นพระป่าฉันอาหารในบาตรมื้อเดียวอย่างนี้อีกแล้ว แต่จะได้เทศน์โดยผู้เทศน์กับผู้ฟังธรรมไม่ได้เห็นหน้า และไม่รู้จักกัน"  พระภิกษุรูปนั้นพาซื่อได้ถามขึ้นว่า "ต้องใช้ทิพยจักษุหรือขอรับ" ครูบาอาจารย์ท่านตอบว่า "ไม่ใช่  แต่จะได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยทางโลกช่วยในการเผยแผ่ธรรม เพราะยุคสมัยที่จะมาถึงนั้น คนจะไม่ค่อยไปฟังธรรมตามวัดเหมือนสมัยก่อนแล้ว  ท่านต้องใช้เครื่องมือชนิดนั้นเผยแผ่ธรรมสำหรับคนยุคใหม่  ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เห็นหน้าและไม่รู้จักกัน"


                        วันเวลาผ่านไปจนมาถึงปัจจุบัน  พระภิกษุรูปนั้นจากที่ท่านไม่จับเงินและฉันมื้อเดียว ไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่ดูโทรทัศน์  แต่ตอนนี้ในแต่ละวันท่านได้มานั่งเทศน์ระบบพิเศษ โดยกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์พิมพ์ธรรมะให้คนอ่านทุกวัน  โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครกันที่แอบมาอ่านธรรมะประจำวันของท่านบ้าง ไม่รู้จักตัว ไม่รู้จักหน้า  ท่านจึงซาบซึ้งใจในสัจธรรมตามลำพัง แล้วรำพึงอยู่คนเดียวว่า.....


                      .......ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจริงๆ..!

 

                                                                                                      คุรุอตีศะ
                                                                                             ๑๓  ธันวาคม  ๒๕๕๖