ความรักของพระโสดาบัน
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักของพระโสดาบัน
หลายคนเอาหัวใจไปฝากไว้กับความรัก คิดว่าความรักคือสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ดูได้จากการที่หนุ่มสาวหรือคนทั่วไปให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ยิ่งกว่าวันมาฆบูชา เพราะคิดว่าความรักสองเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าศาสนาและยอมมอบหัวใจและทุกอย่างบูชาความรัก ยิ่งกว่าบิดามารดาผู้ให้ชีวิตและมองไม่เห็นความสำคัญของศาสนาว่าจะมีค่าอะไรสำหรับชีวิต สองเราเท่านั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดในโลก นี้คือหัวใจของผู้คนทั่วไป ผู้นิยมบูชาความรักทั้งหลาย ว่าความรักสำคัญเหนือกว่าสิ่งใด
วันวาเลนไทน์แท้จริงแล้วคือวันแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของนักบุญวาเลนไทน์ ที่เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มอบความรักความเมตตามอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว เป็นความรักที่มอบสิ่งดีงามให้ผู้อื่น ไม่ใช่ความรักที่เอาเข้ามาสู่ตัวเอง เป็นความรักที่สูงส่ง เป็นวันแห่งความรักของนักบุญ ไม่ใช่ความรักพื้นๆที่มีกิเลสตัณหานำหน้า อย่างที่หนุ่มสาวทั้งหลายหรือหญิงชายหลายคนเข้าใจ แต่เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ระดับความรักของพระโสดาบันในพระพุทธศาสนา
หากหนุ่มสาวชายหญิงจะถือเอาวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ ให้เป็นวันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าบิดามารดาหรือความสำคัญของศาสนา ก็สามารถทำได้ หากเข้าใจและเข้าถึงความรักแบบที่นักบุญวาเลนไทน์มีต่อเพื่อนมนุษย์เคยทำมาแล้ว แล้วน้อมเอาความรักที่สูงส่งและบริสุทธิ์นั้นเข้ามาสู่หัวใจของเรา ให้ความรักในหัวใจของเราที่เคยหยาบกระด้างและเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวตามแบบปุถุชนทั่วไปที่เคยมีอยู่เดิม ค่อยๆพัฒนาด้วยความสติทีละน้อยจนสะอาดและสูงส่งขึ้นตามลำดับ หากเป็นเช่นนั้นได้ วันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ย่อมยิ่งใหญ่ เพราะสามารถเข้าถึงและเข้าใจความรักของนักบุญวาเลนไทน์ที่สะอาดสูงส่งเมื่อครั้งอดีต
เราหลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ความรักคือความทุกข์"มาแล้ว ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงเข้าใจผิดและมีอคติกับความรัก เพราะไม่เข้าใจภูมิหลังหรือบริบทของคำสอนนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาปฏิเสธความรักหรือมองความรักในแง่ร้าย หลายคนจึงปลงใจผิดคิดว่ามีแต่ศาสนาอื่นเท่านั้นที่สอนเรื่องความรัก
ความจริงแล้ว พระบรมครูของโลกพระองค์ทรงเข้าใจจิตใจของเวไนยสัตว์อย่างลึกซึ้งและไม่มีใครจะสามารถหยั่งถึงพระปัญญาธิคุณของพระองค์ได้แจ่มแจ้งตลอดสาย พระองค์ทรงทราบดีว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีภูมิจิต มีความหยาบความละเอียดของจิตแตกต่างกัน การแสดงธรรมของพระองค์ที่โปรดผู้คนทั้งหลายจึงไม่เหมือนกัน เปรียบเหมือนนายแพทย์ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญ ย่อมวินิจฉัยโรคและสั่งจ่ายยาให้ผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกันแม้แต่รายเดียว การแสดงธรรมของพระองค์ก็เช่นนั้น
คำว่า "ความรักคือความทุกข์" เป็นคำสอนสำหรับปุถุชนที่ผิดหวังกับความรัก ที่ตนเคยหมายมั่นอย่างเหนียวแน่นเต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ อย่างเต็มที่ จนเกิดความทุกข์อย่างมหาศาลในภายหลังเพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้น เพื่อให้ผู้ที่กำลังทุกข์โศกจากความผิดหวังได้เกิดความเบาใจและความทุกข์คลี่คลายลงไป จะได้มีจิตที่สดชื่นแจ่มใสเพราะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ แล้วพระองค์จะได้ทรงพระเมตตาแสดงธรรมให้เหมาะกับอุปนิสัยของบุคคลนั้นเพื่อให้บรรลุธรรมต่อไป
แต่คำว่า "ความรักคือความทุกข์"นี้ จะไม่ใช่พระธรรมเทศนาที่เกื้อกูลแก่อัธยาศัยของบุคคลที่เป็นพระโสดาบัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะเหตุว่าความรักของพระโสดาบัน จะเป็นความรักที่สะอาดและสูงส่งกว่าปุถุชน ทั้งที่ท่านเองยังละกามราคะสังโยชน์ไม่ได้ แต่ความรักชนิดนี้ที่มีอยู่ภายในจิตของท่านนั่นเอง ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของท่านให้มีพลังสร้างสรรค์และมีความชุ่มชื่นในหัวใจตลอดเวลา ท่านจึงมีความรักความเมตตาต่อคนทั่วไป ช่วยเหลือเกื้อกูลและมีน้ำใจต่อผู้คนทั้งหลายได้กว้างขวางยิ่งกว่าคนทั่วไป พระโสดาบันจึงทำบุญและสร้างกุศลบริจาคทานได้อย่างไม่เบื่อหน่าย เพราะความรักความเมตตาที่สะอาดบริสุทธิ์กว่าความรักของปุถุชนนี้นั่นเอง
ความรักของพระโสดาบันจะต่างจากความรักของปุถุชน เพราะความรักของปุถุชนจะพยายามดึงทุกอย่างเข้ามาที่ตนเป็นหลัก จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของความรัก แล้วเอาความรักมารับใช้ความต้องการของตน เอาคนที่รักตัวเองนั้นมาทำอะไรเพื่อตัวเอง เป็นความรักที่เอาตัวเองเป็นใหญ่และทำลายความเป็นตัวของตัวเองของอีกฝ่ายหนึ่ง ความรักของปุถุชนโดยทั่วไปจึงมีความสุขเพียงแค่ในตอนแรก แต่เป็นความทุกข์มากมายตามมาในภายหลัง
พระโสดาบันบุคคลมีจิตที่สูงกว่าปุถุชน เพราะท่านสามารถละสักกายทิฐิสังโยชน์ได้แล้ว พระโสดาบันจะมีสัมมาทิฐิที่ต่างจากคนทั่วไปประการหนึ่งคือ การรู้ชัดว่ากายนี้ไม่ใช่ตน แต่เป็นสิ่งอาศัยตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในร่างกาย และก็ไม่ได้เกลียดชังร่างกายแต่ก็มองเห็นทุกข์โทษของร่างกาย ในขณะเดียวกันก็มีปัญญารู้จักการแต่งกายตามความเหมาะสมตามสมมุติของชาวโลก ความรักของพระโสดาบันให้ความสำคัญในเรื่องจิตใจมากกว่าทางร่างกาย จึงสงบสุขกว่า
หากยังใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ก็ยังรักสวยรักงามไปตามประสาเพราะยังละกามราคะยังไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้แต่งตัวก็ไม่เป็นไร ไม่ได้รู้สึกมีปมด้อยว่าจะไม่สวยไม่หล่อ เพราะจิตไม่ตกเป็นทาสของสังคม สติจะทำหน้าที่ระลึกรู้ไปตามปกติไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ใด แต่ถ้าหากได้ใช้ชีวิตเป็นนักบวชหรือใช้ชีวิตในอารามได้ ท่านจะสบายและปลอดโปร่งหัวใจที่ไม่ต้องมีภาระในการแต่งตัวหรือแต่งกายอีกแล้ว
พระโสดาบันบุคคลส่วนใหญ่ มักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันอย่างที่ปุถุชนทั่วไปชอบคิดและอยากเป็น เพราะจิตของท่านไม่ให้ความหมายหรือสำคัญตัวว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ท่านจะรู้ชัดในตัวเองว่าใจของท่านไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว และมีใจแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย โดยไม่ต้องให้ใครมาชักนำอีก จิตของพระโสดาบันนั้นต่างจากคนทั่วไปก็ตรงที่แม้จะมีความทุกข์บีบคั้นเพียงใด ก็จะไม่ทำร้ายใครถึงขั้นเอาชีวิตหรือคิดสร้างความวิบัติให้ใครอีกแล้ว ทุกข์สาหัสเพียงใดก็จะผ่านไปได้เสมอ
ความลังเลสงสัยว่าทำดีแล้วได้ดีจริงหรือไม่ หรือความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จะไม่มีอยู่ในหัวใจของท่านอีกแล้ว มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพระอริยบุคคลมีจริง พระโสดาบันจึงไม่มีความหวั่นไหวคลอนแคลนในบุญหรือในการทำความดี ใจของท่านจึงไม่ว้าเหว่หรือรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต ต่อให้ท่านมีแต่เสื้อผ้าชุดเดียวไม่มีเงินติดตัว ท่านก็ยังมั่นใจว่าท่านจะสามารถอยู่ได้ นี้คืออานุภาพของดวงจิตที่ยิ่งใหญ่ ที่ในพระคัมภีร์ท่านพรรณนาไว้ว่า ประเสริฐกว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นฟ้า ที่เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติก็จะสามารถได้บรรลุเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสสิ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
พระโสดาบันบุคคลท่านจะไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องนรกสรรค์ เพราะภูมิจิตของท่านเลยชั้นที่จะมาสาละวนกับเรื่องนรกสวรรค์ อันเป็นภูมิของปุถุชนที่ยังยึดมั่นดีชั่วอย่างเต็มที่เช่นนั้น เหมือนคนที่จบโรงเรียนนายร้อย ย่อมพ้นวิสัยที่จะต้องมาสนใจอยู่ใต้กฏเกณฑ์วินัยของทหารเกณฑ์
การที่ท่านกล่าวไว้ว่าพระโสดาบันบุคคลจะมีความรักมั่นคงไม่นอกใจคู่ครอง หรือมีศีลบริบูรณ์นั้น เพราะศีลของพระโสดาบันเป็นอริยกันตศีลที่ไม่ใช่ศีลแบบปุถุชนที่ต้องคอยนับเป็นข้อๆ ศีลของท่านย่อมคือสติสำรวมระวังไม่ให้จิตไหลออกทางอกุศลอันเป็นศีลที่แท้จริง
อานุภาพของโสดาปัตติมรรคอันทำให้ท่านละสังโยชน์ข้อแรกคือ สักกายทิฐิได้นั้น ทำให้จิตของท่านมองเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราอย่างแท้จริง ไม่นานก็ต้องผุพังเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นดิน ดังนั้น หากท่านมีคู่ครองมาแต่เดิมไม่ได้บวช ท่านจึงไม่นอกใจคู่ครองอย่างเป็นไปเองเป็นธรรมชาติ เพราะไม่รู้จะนอกใจไปทำไม เพราะเพียงขันธ์ ๕ ที่อยู่กันมาตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมานี้ ต่างก็ทุกข์กันพอแรงอยู่แล้ว หากคู่ครองของเราตายจากไป ก็จะไปบวชเพื่อปฏิบัติบำเพ็ญให้สิ้นทุกข์เสียในชาตินี้เท่านั้น พระโสดาบันบุุคคลไม่มีความรู้สึกว่าต้องพยายามซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ท่านจึงอยู่อย่างสบายใจ
หากฝ่ายหนึ่งเป็นพระโสดาบัน แต่อีกฝ่ายยังเป็นปุถุชน เกิดมีวิบากกรรมในอดีตตามมาให้ผล ทำให้คู่ครองที่ยังเป็นปุถุชนเกิดประพฤตินอกใจขึ้นมา พระโสดาบันบุุคคลท่านก็ยังมีความเสียใจทุกข์โศกเป็นธรรมดาคล้ายคนทั่วไป แต่จะครองสติไว้ได้ ไม่ไปทำร้ายหรือคิดทำตัวเหลวไหลนอกใจบ้างเพื่อแก้แค้นอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนปุถุชน เสียใจอยู่ไม่นานก็จะค่อยๆทำใจได้และหมั่นสร้างกุศลด้วยความไม่ประมาทชีวิตให้ยิ่งขึ้น ยิ่งคู่ครองนอกใจ ใจของท่านยิ่งไหลไปสู่ทางธรรมสูงยิ่งขึ้น นี้คือความต่างกันระหว่างชีวิตของพระโสดาบันกับชีวิตของปุถุชน
ปุถุชนนั้นเมื่อมีความทุกข์บีบคั้น อาจคิดเลิกทำความดีหรือลบหลู่ว่าทำดีไม่ได้ดี หรือบางทีอาจหันไปทำความชั่วก็ได้ ส่วนพระโสดาบัน ยิ่งท่านมีความทุกข์บีบคั้นเพียงใด ยิ่งเกิดความสลดสังเวชมองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในวัฏฏสงสาร ยิ่งทำให้ใจมุ่งตรงต่อพระนิพพานมากขึ้น
ความรักของพระโสดาบันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่ไม่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในทางร่างกายอีกแล้ว หากยังอยู่ในเพศฆราวาสที่ยังมีคู่ครองที่ยังเกี่ยวข้องกันได้อยู่ ท่านก็เกี่ยวข้องกันไปตามเหตุตามธรรมดาของชีวิตในเพศฆราวาสโดยไม่มีความกดดันใดๆ แต่ท่านจะมีสติอยู่เสมออันเป็นเรื่องเฉพาะตัวแม้คู่ครองเองก็ไม่อาจทราบ แต่หากท่านครองเพศเป็นนักบวช ท่านจะมีความสุขในเพศพรหมจรรย์ไม่คิดหวนกลับคืนสู่ทางโลกอีกแล้ว มีแต่จะเจริญบำเพ็ญมรรคในเบื้องสูงให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อให้ใจดวงนี้บริสุทธิ์สะอาดปลอดโปร่งตลอดสาย จนกว่าจะมีสติอันสมบูรณ์
พระภิกษุที่ท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล แม้ท่านจะยังตัดกามราคะไม่ได้แบบพระอนาคามี แต่ท่านจะไม่มีความคิดยินดีในการครองเรือนแบบปุถุชนอีกแล้ว บางท่านแม้อาจมีความรักต่อสตรีเพราะบุพกรรมมาแต่อดีต ท่านก็จะไม่ตกลงไปสู่โลกของปุถุชน แต่จะพยายามดึงทุกคนให้ขึ้นสู่ที่สูงเหมือนอย่างท่าน จะไม่พากันตกจมลงไปในโคลนเพราะอำนาจแห่งโสดาปัตติมรรคค้ำจุนไว้มิให้ชีวิตตกลงไปสู่โลกที่ต้อยต่ำ ดังคำสวดมนต์ที่ว่า " ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว" ดังที่พวกเราทั้งหลายสวดกันอยู่ประจำในทำวัตรเย็นนั่นเอง
อาจมีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษสำหรับบางท่านที่มีบุพกรรมบางอย่างเช่น ในอดีตเคยเกิดเป็นใหญ่มีอำนาจในทางโลก สมัยนั้นตนเองไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาหรือไม่รู้คุณค่าของเพศนักบวชหรือพระภิกษุ เพราะมัวลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจหรืออิสตรีตามวิสัยของผู้เป็นใหญ่ แล้วมีเหตุเกิดไปล่วงเกินประทุษร้ายจัดการสึกหาลาเพศพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ด้วยความเข้าใจผิดหรือเมาในอำนาจของตน แต่บังเอิญพระภิกษุรูปนั้นท่านเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง แต่ท่านต้องยอมจำนนให้แก่ผู้มีอำนาจพรากกาสาวพัสตร์จากท่านไป
หากชาติใดชาติหนึ่งหรือชาตินี้ ผู้เคยเป็นใหญ่นั้นมาเกิดใหม่แล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วได้มีโอกาสออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ หากวิบากกรรมที่ทำไว้ในอดีตตามมาทันในชาตินั้น ท่านก็อาจถูกศัตรูใส่ร้ายแล้วถูกจับสึกหรือถูกบีบให้ลาสิกขาทั้งที่ท่านเป็นพระอริยบุคคลอย่างนี้ก็มีได้เหมือนกัน แต่การมาอยู่ในเพศฆราวาสของท่านก็จะต่างกับคนทั่วไป เพราะจะเหมือนชาวบ้านทั่วไปแต่เพียงเสื้อผ้าการแต่งกายภายนอกเท่านั้น แต่จิตภายในท่านยังเป็นพระเหมือนเดิม
การที่พระภิกษุบางรูปที่เป็นพระอริยบุคคลแล้วมีวิบากกรรมบังคับ ให้ต้องตกลงมาเป็นเพศฆราวาสนี้ กรณีเช่นนี้เป็นข้อยกเว้นเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องของบุพกรรมในอดีตส่วนบุคคลที่ทำไว้รุนแรง ที่เคยพรากผ้ากาสาวพัสตร์ของพระอริยบุคคลด้วยความหลงผิดสมัยตนมีอำนาจมาก่อน แต่จะให้ท่านมีจิตคิดสึกหาลาเพศ เพราะความยินดีในการครองเรือนแบบคนธรรมดานั้นย่อมมิใช่วิสัยของท่านแน่นอน นี้คือความต่างกันของพระอริยบุคคลกับปุถุชนอีกประการหนึ่ง
พวกเราส่วนใหญ่มักจะได้อ่านแต่ประวัติ เรื่องราว หรือปฏิปทาของพระป่าหรือครูบาอาจารย์ผู้ที่ท่านบรรลุอรหันต์หรือบรรลุอนาคามี ซึ่งภูมิจิตของท่านพ้นกามราคะได้เด็ดขาดแล้ว แต่ชีวิตในความเป็นจริงของเรา เราทั้งหลายล้วนยังเวียนว่ายหรือตกจมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่คือความรักความใคร่กันทั้งสิ้น เราจึงจะไปเอาอย่างชีวิตของท่านผู้มีภูมิจิตที่สูงส่งเกินวิสัยของเราอย่างนั้นหาได้ไม่
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เราทั้งหลายมักมองข้ามไป ก็คือ การปฏิบัติธรรมในข้อที่ว่า ทำอย่างไรความรักของเราจึงจะสะอาด สดใส และเป็นพลังใจแบบความรักของนักบุญวาเลนไทน์ หรือความรักของพระโสดาบันให้มากยิ่งขึ้น แล้วความทุกข์ระทมใจที่ต้องร้องไห้เพราะความรักจะเบาบางลงไป กลายเป็นหัวใจที่สดชื่นและเปี่ยมด้วยพลัง
หากเรายังไม่สามารถมอบกาย มอบใจ มอบชีวิตนี้ให้พระรัตนตรัย ได้อย่างสนิทใจตามอย่างที่ท่านสอน เราจึงจะยังตัดกามราคะไม่ได้และหลีกหนีความรักไม่สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะภูมิจิตของเรายังไม่ใช่พระอนาคามี สำหรับพระอนาคามีนั้น ท่านสามารถยกภรรยาที่ยังสาวให้ชายอื่นได้อย่างไม่มีความสะเทือนใจแม้แต่นิดเดียว อย่างท่านจิตตคฤหบดีผู้เป็นอุบาสกเอตะทัคคะที่บรรลุอนาคามีท่านยกภรรยาให้กับบุรุษอื่นเป็นต้น
เมื่อเรายังทำใจถึงขั้นนั้นยังไม่ได้ เราก็มาพัฒนาใจของเราจากความรักแบบปุถุชน ก้าวขึ้นสู่ความรักแบบพระโสดาบัน ให้ใจของเราอบอุ่นและร่มเย็นด้วยความรักไปก่อน แล้วชีวิตของเราจะมีพลัง เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลก เป็นจิตที่มีความสุขจากการเกื้อกูล เป็นจิตที่อุดมด้วยความรักความเมตตา
จนกระทั่งเป็นความรักที่สูงส่งขึ้นไปในทางศาสนา จนกลายเป็นความรักความเมตตาที่สูงส่ง สะอาด บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นตามลำดับ นี้คือความรักแห่งพุทธะ เป็นความรักของพระโสดาบัน แล้วหัวใจของเรานั้นจะไม่ต้องพบกับความเจ็บช้ำเหมือนแต่ก่อนอีก
ความรักเช่นนี้จะไม่มีการอกหักอีกแล้ว ความรักเช่นนี้แหละคือความรักที่นำไปสู่การภาวนา เป็นความรักที่จะนำพาชีวิตและหัวใจของเราสูงส่งยิ่งขึ้นไป
คุรุอตีศะ
๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖