ชีวิตไม่ต้องการคำตอบ

ชีวิตไม่ต้องการคำตอบ

 

          หลายคนเฝ้าพร่ำถามตัวเองว่า  เหตุใดหนอชีวิตของเราจึงเป็นเช่นนี้  จากแต่ก่อนทุกอย่างช่างดูดี  แต่ตอนนี้ทำไมจึงมีแต่ความยุ่งเหยิงพิกล


          บางคนสงสัยว่า เหตุใดหนอเราจึงได้มาใช้ชีวิตหรือแต่งงานกับคนนี้  มีคนอีกตั้งมากมายแต่ทำไมจึงไม่ได้เจอคนอื่น  คนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวันนี้  ไม่น่าจะได้เจอกันได้  แต่ก็ได้พบเจอจนกระทั่งมีความผูกพันรักใคร่ จนกระทั่งได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเรามีชีวิตของเราต่างหาก


          บางทีและบางคนก็สงสัยว่า ถ้าในเวลานั้นเราตัดสินใจไม่เข้ากรุงเทพฯ แล้วใช้ชีวิตอยู่ในต่างจังหวัดไปอย่างเดียว  ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร  จะเหมือนอย่างวันนี้ไหม จะพบกับความล้มเหลวหรือพบความสำเร็จมากกว่ากัน


          ไม่ว่าแต่ละคนจะมีคำถามกับตัวเองอย่างไร  แต่ชีวิตก็ให้คำตอบเรียบร้อยแล้วว่า หากเราไม่ตัดสินใจทำอะไรแบบในตอนนั้น  ชีวิตของเราจะไม่มีวันนี้เป็นอันขาด


          ความสงสัยหรือคำถามในใจของแต่ละคนอาจมีได้อย่างมากมาย แต่สุดท้ายเราก็ได้มีชีวิตเช่นทุกวันนี้ที่ควรภาคภูมิใจแล้วมิใช่หรือ


          ในอดีตที่ผ่านมา  ไม่ว่าเราจะตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของเราประการใด  แต่เราทุกคนก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้วเสมอเหมือนกัน


          ความยิ่งใหญ่ของชีวิตนั้น  ที่เรามีสิทธิเท่าเทียมกัน  ก็คือความยิ่งใหญ่ในข้อที่ว่า ชีวิตช่างมีความมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าใครจะบงการให้ชีวิตเป็นไปดังใจของเราได้  เราจะได้พบความสุขและความทุกข์มากน้อยเพียงใด  ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะเป็นสำคัญ   จนบางครั้งเราจำต้องจำนนที่จะสามารถควบคุมหรือสั่งการให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ตามใจของเรา


          ในตัวชีวิต ไม่ต้องการคำถามหรือคำตอบจากใครหรือสิ่งใดทั้งสิ้น  เพราะชีวิตเป็นทั้งคำถามและคำตอบเบ็ดเสร็จอยู่แล้วในตัว  ทุกขณะที่กำลังเป็นไป ล้วนคือคำตอบอยู่เสมอ


           บางคนอาจตั้งคำถามในใจคนเดียวว่า หากเราไม่ตกลงปลงใจอยู่กินใช้ชีวิตหรือแต่งงานกับคนนี้  ชีวิตทุกวันนี้คงไม่เป็นแบบนี้  แต่สำหรับความจริงของชีวิตแล้ว  นั่นคือของขวัญที่ชีวิตได้มอบให้เรา ที่เราแต่ละคนควรแก่การภาคภูมิใจมากกว่า สิ่งที่เราได้รับมา ไม่ว่าสมหวังหรือผิดหวังประการใด แต่ชีวิตก็ได้มอบให้สิ่งนี้แก่เราแล้ว


            เราจงยืดอกและรับมอบของขวัญที่ชีวิตมอบให้เรามา  ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์  ไม่ปฏิเสธของขวัญอันล้ำค่า  แม้ว่าบางคราวอาจจะรับของขวัญนั้นทั้งน้ำตา เราก็จะอาจหาญและภูมิใจว่า นี้คือของขวัญอันแท้จริงที่ชีวิตได้เลือกสรรตัวเรา ให้เป็นผู้ควรแก่การได้รับของขวัญชิ้นนี้


             ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามกับชีวิตอีกแล้ว  ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร เราจะผิดหวัง  เราจะเงียบเหงาหรือว้าเหว่  หรือรู้สึกว่าชีวิตนี้เหมือนอยู่คนเดียวในโลก  ทั้งรอยยิ้มหรือความเศร้าโศก ล้วนเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ชีวิตได้มอบให้แก่เราแล้ว จงโอบกอดและรับไว้ด้วยความเต็มใจ แม้ว่าสิ่งที่เรารับไว้ จะต้องสูญเสียน้ำตาไปบ้างก็ยอม  เพราะนี้มิใช่ของขวัญธรรมดา  แต่เป็นของขวัญที่ทรงคุณค่า เพราะเป็นของขวัญที่ชีวิตมอบให้เฉพาะมนุษย์ผู้เข้มแข็งและไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคทั้งปวงเท่านั้น


             ไม่ต้องถามคำถามใดในชีวิตอีกแล้ว  ชีวิตที่กำลังเป็นไปอยู่นี้เป็นคำตอบทุกอย่างแล้วในตัว  อย่าได้หวาดกลัวชีวิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ในเมื่ออดีตอันแสนสาหัสเราแต่ละคนยังผ่านมาได้  ดังนั้น แม้ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป  เราก็มั่นใจว่าเราจะสามารถรับเอาของขวัญจากชีวิตได้เสมอ โดยไม่เลือกว่าจะต้องเป็นของขวัญประเภทใด


              ชีวิตนี้ไม่ต้องการคำตอบ เช่นเดียวกับการไม่ต้องการคำถาม แต่ชีวิตคือการเลื่อนไหลไปของสรรพสิ่งโดยไม่ขึ้นกับความหมายมั่นและความปรารถนาของใคร  นี้คือความยิ่งใหญ่ของชีวิตที่เราทั้งหลายควรน้อมศีรษะกราบไหว้ดุจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแท่นบูชา


              เพราะเหตุที่วันเวลาที่ผ่านมา เราทั้งหลายได้กระทำต่อชีวิตด้วยความหยาบกระด้าง และดูหมิ่นชีวิตจนเกินไป คนเราส่วนใหญ่จึงมีคราบน้ำตามากกว่ามนต์เสน่ห์ของรอยยิ้ม  ขอให้เราหันมาปรับจิตตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของชีวิต แล้วปฏิบัติต่อชีวิตด้วยความเคารพและมองเห็นคุณค่าให้ยิ่งขึ้น ทำกับชีวิตนี้ประดุจสิ่งศักดิ์สิทธิ์  แล้วชีวิตจะมอบของขวัญที่ดีๆและสร้างรอยยิ้มมากกว่าที่เป็นมา


               สร้างบุญกุศลบ่อยๆ  ดำรงจิตไว้ด้วยความรักและเมตตา  เพียงเท่านี้เราก็จะรู้สึกถึงคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว  หลังจากนั้นของขวัญชีวิตในด้านดี ก็จะค่อยๆหลั่งไหลเข้าสู่ชีวิตของเรา ความแห้งแล้งในชีวิตที่มีมาเนิ่นนานจะเริ่มหายไป กลายเป็นชีวิตใหม่ที่มีแต่ความชุ่มเย็นและเต็มเปี่ยมไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน


               หลังจากนั้น ชีวิตจะไม่มีคำถาม และไม่ต้องการคำตอบใดๆอีก

 

                                                                                                              คุรุอตีศะ
                                                                                                      ๗  ธันวาคม  ๒๕๕๖