ดูเหมือนแพ้แต่ชนะ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ดูเหมือนแพ้แต่ชนะ
บางครั้งชีวิตคนเราเมื่อประสบความคับขันในชีวิต สิ่งกดดันต่างๆถาโถมเข้ามา แทบไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง บางครั้งก็แทบตกลงใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำตามใจของใครดี บางเรื่องก็บีบคั้นจิตใจว่าจะต้องพยายามเอาชนะ หรือว่าจะยอมแพ้เพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายลง
ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวันนั้นเราต้องเจอกับอะไร จะได้พบกับความสบายใจหรือต้องเจอกับสิ่งบีบคั้น ชีวิตที่ผ่านไปได้แต่ละวัน จึงนับว่าเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่แล้วในตัวเอง
เรื่องของชีวิตไม่มีสิ่งใดลิขิตว่าเราจะต้องพยายามเอาชนะในทุกสิ่ง บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าชนะ แต่อาจเป็นความพ่ายแพ้ในภายหลังก็ได้ บางเรื่องเรารู้สึกเสียใจและตรอมใจที่รู้สึกพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรม เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่า เป็นความชนะที่ขาวสะอาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้
เมื่อสิบปีมาแล้ว ได้นั่งรถประจำทางเพื่อเดินทางขึ้นภาคเหนือตามลำพัง ที่นั่งด้านหลังมีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีอายุตัวและอายุพรรษามากกว่าหลายปี ใบหน้าของท่านดูตรอมตรมและตาแดงๆเหมือนกับร้องไห้ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ออกบวชมา เพราะในแวดวงพระกรรมฐานที่คลุกคลีในช่วงอายุตอนนั้น จะพบแต่พระเถระที่ท่านมีแต่ความเข้มแข็งอาจหาญและมีใจเบิกบานเป็นที่พึ่งของใครต่อใคร เมื่อมีโอกาสจึงได้สนทนากับท่านเพื่อให้ท่านได้คลายทุกข์
พระภิกษุรูปนั้นท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านจาริกธุดงค์ไปจังหวัดหนึ่งทางตอนใต้ของภาคอีสาน มีโยมคนหนึ่งเลื่อมใสศรัทธายกที่ดินถวายเพื่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์แบบวัดป่า ท่านเองมีการศึกษาเพียงแค่ ป. ๗ ก็ถือใจซื่อไม่ได้ใส่ใจเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฏหมายที่ดิน ก็นำเงินที่ญาติโยมถวายด้วยศรัทธาเพราะเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน ค่อยๆสร้างกุฏิศาลาขึ้นมาทีละอย่างโดยไม่ได้บอกบุญรบกวนใคร เวลาผ่านไปเพียงห้าปี ก็มีทั้งศาลา โรงย้อมจีวร คลังพัสดุของสงฆ์ พร้อมทั้งกุฏิพระ ๑๐ หลัง ที่แยกเป็นหลังๆเพื่อความวิเวกตามแบบวัดป่า ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี
ต่อมาไม่นานชาวบ้านเห็นว่าวัดเจริญขึ้น มีผู้คนจากกรุงเทพฯและต่างถิ่นไปทำบุญกันมากขึ้น เพราะท่านสามารถอบรมสั่งสอนเป็นที่พึ่งของคนได้ ก็อยากมีสิทธิ์เข้ามาจัดการและแสดงบทบาทภายในวัด อยากให้มีพิธีกรรมแบบวัดบ้านซึ่งพวกเขาจะถนัดในพิธีกรรมและมีโอกาสแสดงบทบาทหาเสียงหามวลชนได้ดีกว่า จึงได้พากันวางแผนร่วมมือกันใส่ร้ายท่านว่าทำผิดวินัยโดยไม่มีมูลความจริง จุดประสงค์ก็เพื่อขับไล่ท่านออกไป แล้วพวกเขาจะได้จัดหาพระที่ตนควบคุมได้มาเป็นเจ้าอาวาสแทน
ตอนแรกท่านก็พยายามต่อสู้และยืนหยัดด้วยความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน สุดท้ายท่านต้องยอมจำนนกับคนหมู่มากที่ผุู้ใหญ่บ้าน อ.บ.ต. สร้างมวลชนขึ้นมาบีบบังคับ และพวกเขาเอาเจ้าคณะตำบลเข้ามาจัดการพร้อมทั้งช่วยกันใส่ร้ายป่าวประกาศ ว่าท่านเป็นปาราชิกแล้วโดยไม่มีความจริงแม้แต่นิดเดียว ญาติโยมที่เคยช่วยเหลือวัดและเคยอุปัฏฐาก ก็ถูกพวกเขาล็อบบี้และสร้างเรื่องให้เข้าใจผิดจนไม่มีใครกล้ายืนหยัดช่วยเหลือพิสูจน์ความจริง ท่านจึงเหลือตัวคนเดียว สุดท้ายจึงพ่ายแพ้ต่อมวลชนคนจำนวนมากที่หลงเชื่อกลุ่มคณะที่อยากยึดวัดแห่งนั้น เพื่อพวกเขาจะได้เข้ามาบริหารเอง
วันที่ท่านสะพายบาตรแบกกลดขึ้นรถประจำทางจนได้พบกันในตอนบ่ายวันนั้น คือวันที่ทุกคนบีบให้ท่านออกมาจากวัดที่ท่านสร้างด้วยมือ จากใช้ใบตองกุงเป็นหลังคา สร้างเป็นเพิงหมาแหงนอยู่ตลอดพรรษา ท่านเห็นน้ำตาของพวกพระ แม่ชี ญาติโยมที่เคยพากันฟันฝ่าอุปสรรคมาแต่ต้นกับท่านโดยที่ท่านหมดทางสู้และทุกคนทำอะไรสู้ชาวบ้านซึ่งเป็นคนหมู่มากไม่ไหว ท่านจึงต้องหลั่งน้ำตาอย่างสะเทือนใจนับแต่บวชมาได้ ๑๕ ปี เมื่อสักครู่นี้ก่อนรถออก โยมที่มาส่งก็ร้องไห้ไม่อยากให้ท่านจากไป
ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ยึดติดในวัดหรือการเป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านเสียใจว่าในเส้นทางที่ว่าบริสุทธิ์กว่าชาวบ้าน กลับมีเรื่องเลวร้ายและอยุติธรรมกว่าชาวโลกหลายเท่า เป็นวัดป่าสงบสุขเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนอยู่แท้ๆ กลับถูกมวลชนคนหมู่มากและพระฝ่ายปกครองที่อยากได้วัดแห่งนั้นเป็นวัดบ้าน ขับไล่ท่านเหมือนสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน พูดจบท่านก็เอาชายจีวรขึ้นซับน้ำตา เป็นน้ำตาของพระปฏิบัติ เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ที่กำลังหวั่นไหวและถึงทางตันที่ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบมาก่อน
เวลานั้นแม้จะยังเป็นพระที่ยังน้อยพรรษากว่าท่านมาก แต่ด้วยความสะเทือนใจและเห็นใจในชะตาชีวิตของท่าน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดให้กำลังใจแก่ท่านว่า "ขอให้ท่านอาจารย์เดินไปข้างหน้า บางทีผู้คนในสถานที่แห่งใหม่รอท่านอาจารย์อยู่ก็ได้ เราได้สร้างไว้ให้คนถิ่นนั้นเขามีวัดของเขาแล้ว เขาอยากได้และทำกันถึงขนาดนั้น ก็จงอธิษฐานจิตมอบให้เขาไปเสีย ให้ไปอย่างภาคภูมิใจที่เราสร้างมาด้วยความเหนื่อยยาก น้อมเอาอานิสงส์จากความทุกข์ยากตรงนั้นมาเป็นบารมีแล้วสร้างวัดแห่งอื่นให้ใหญ่กว่าเดิม เอาความพ่ายแพ้ในวันนี้ ให้กลายเป็นชัยชนะอย่างขาวสะอาดตามแบบอย่างพระอริยเจ้า.."
พอท่านได้ฟังดังนั้น ท่านเกิดความซึ้งใจถึงกับเอื้อมมือมาจับพร้อมทั้งขอบคุณที่ให้กำลังใจ ท่านเริ่มมีรอยยิ้มแทนน้ำตา เพราะพระที่บวชได้หลายพรรษาและสร้างวัดได้ขนาดนี้ ท่านต้องมีบารมีของท่านมากกว่าพระทั่วไปอยู่แล้ว เพียงแต่ขณะนั้นผงเข้าตาชั่วคราว เพียงมีคนให้สติไม่กี่คำก็คิดได้ หลังจากนั้นเราต่างก็สะพายบาตรแบกกลดลงจากรถ ต่างคนต่างจาริกเข้าป่าไปคนละเส้นทาง เราออกจากแผ่นดินไทยข้ามแม่น้ำขึ้นสู่ทิศเหนือ ส่วนท่านนั้นไปทางตะวันตกโดยบอกว่าจะไป "ฟื้นฟูวิชาเก่าที่ขึ้นสนิมมานาน"
วันเวลาผ่านไปสิบปี ท่านอาจารย์รูปนั้นบัดนี้ท่านได้กลายเป็นครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงไปแล้ว หลังจากท่านออกจากป่า มีโยมคนหนึ่งถวายที่ดินหนึ่งร้อยไร่แก่ท่าน แล้วสร้างวัดแห่งใหม่จนต่อมาที่ดินของวัดแห่งนั้นขยายออกไปเป็นเกือบสองร้อยไร่ มีพระลูกศิษย์ในวัดและแม่ชีญาติโยมปฏิบัติธรรมอยู่ประจำรวมแล้วเป็นร้อยชีวิต มีผู้คนหลั่งไหลไปฟังธรรมและปฏิบัติธรรมกับท่านไม่เคยขาด แสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์ท่านฟื้นฟูวิชาเก่าของท่านได้แล้วจริงๆ ความพ่ายแพ้เมื่อสิบปีก่อน บัดนี้คือชัยชนะอย่างขาวสะอาด สมดังเป็นศิษย์พระตถาคตโดยแท้ พูดถึงท่านแล้วก็ยังอดตื้นตันใจกับท่านมิได้
ส่วนวัดเดิมที่ท่านเคยสร้างไว้ในเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นวัดบ้านตามความต้องการของชาวบ้านและเจ้าคณะตำบลที่มาช่วยกันขับไล่ท่านในวันนั้น สำหรับเจ้าคณะตำบลรูปนั้น หลังจากเหตุการณ์วันนั้นต่อมาไม่นาน ก็เกิดป่วยเป็นมะเร็งและมรณภาพไปยังไม่ทันได้เป็นเจ้าคณะอำเภอตามที่ท่านปรารถนา วัดแห่งนั้นก็มีพระหลวงตาพอได้บิณฑบาตรักษาธรรมเนียมและให้ศีลในวันพระอยู่ ๒ รูป พอได้ดูแลวัดวาอารามไปตามอัตภาพ ภาพแห่งความคึกคักรุ่งเรืองเหมือนสมัยก่อนไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ไม่มีคนกรุงเทพฯหรือคนต่างถิ่นไปทำบุญที่นั่นอีกเลย
ถาวรวัตถุที่ท่านอาจารย์รูปนี้เคยก่อสร้างไว้ เคยมีอยู่อย่างไร ก็มีอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเมรุเผาศพ ส่วนป่าไม้ที่เคยให้ความร่มเย็นสงบและเป็นเสน่ห์ของสถานที่นั้น บัดนี้ไม่เหลือต้นไม้อีกแล้ว มีแต่วัวของชาวบ้านเข้ามากินหญ้าและถ่ายมูลไว้เป็นที่ระลึกให้หลวงตาท่านดูประจำวัน
ส่วนผู้ใหญ่บ้านที่เคยพาชาวบ้านขับไล่ท่านในครั้งนั้น ก็ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนตายหลังจากท่านออกไปจากวัดแห่งนั้นเพียงสามปี แกนนำคนอื่นๆก็พากันตกอับมีหนี้สินรุงรัง บางคนก็มีคดีต้องติดคุกบ้านแตกสาแหรกขาดและไม่ได้มาวัดนั้นอีก มีแต่ชาวบ้านคนรุ่นใหม่ที่ยังไปวัดแห่งนั้นตามประเพณี โดยบางคนก็ไม่ได้รู้ล่วงรู้เหตุการณ์และภูมิหลังเมื่อครั้งอดีตแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครเล่าให้ฟัง
ชีวิตของคนเรา บางครั้งดูเหมือนพ่ายแพ้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นเพียงสิ่งผลักดันให้เราได้พบชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นต่างหาก
ใครก็ตามที่ชีวิตกำลังมีสิ่งกดดันหรือบีบคั้นจนถึงขั้นเหมือนจะแพ้ในเวลานี้ ขอจงระลึกและน้อมเอาชีวิตของอาจารย์ผู้มีความเป็นพระแท้ท่านนี้ มาเป็นข้อคิดและเป็นกำลังใจในการยืนหยัดต่อไป จากเรื่องราวของท่าน เราจะเห็นได้ว่า เท่ากับชาวบ้านแห่งนั้นได้ช่วยกันเป็นแรงลม ที่ทำให้ให้ท่านอาจารย์ท่านนี้กลายเป็นว่าวจุฬาลอยเด่นสง่าและสูงส่งยิ่งขึ้นกลางฟากฟ้า
หากท่านไม่ยอมแพ้ในวันนั้น ท่านคงไม่ได้พบสถานที่แห่งใหม่ซึ่งอยู่คนละภาคของประเทศ ซึ่งเป็นเนินเขาสวยงามและมีญาติโยมที่มีใจสูงใจบุญเหมือนวันนี้ ที่ช่วยกันอุ้มชูสนับสนุนและช่วยกันเจียระไนเพชรเม็ดดี คือตัวอาจารย์ท่านนี้ให้เป็นพระผู้เปล่งบุญญาบารมี เป็นที่พึ่งของผู้คนจนมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ การพ่ายแพ้ทั้งน้ำตาของท่านเมื่อสิบปี กลับเป็นความชนะในวันนี้อย่างสูงส่งและงดงาม
ในวิถีทางของทางโลก ผู้คนมักต่างมุ่งเอาชนะกันเป็นข้อใหญ่ ไม่มีใครอยากจะยอมแพ้ใคร แต่สำหรับผู้เป็นบัณฑิตและมีปัญญา ท่านจะถือว่า บางครั้งการแก้ปัญหาชีวิตด้วยเมตตาและยอมแพ้ไม่ดันทุรังด้วยทิฐิมานะ กลับคือชัยชนะที่งดงามและไม่มีเวรกรรมติดตัว สิ่งนี้แหละที่ท่านกล่าวไว้เป็นสุภาษิตให้เราทั้งหลายใช้เป็นข้อคิดมาแต่ครั้งโบราณว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"
ยอมแพ้เสียบ้าง จะได้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และเป็นความสำเร็จในภายหลัง เหมือนชีวิตของท่านอาจารย์ที่ยกตัวอย่างข้างต้น
ชีวิตเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะบางเรื่องราวหรือบางครั้งอาจดูเหมือนประสบความพ่ายแพ้ แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นความสำเร็จและชัยชนะอย่างงดงาม
การชนะข้าศึกพันครั้งในสงคราม ยังไม่เรียกว่าความชนะแท้ แต่บุคคลที่ชนะตนได้เพียงครั้งเดียว ย่อมประเสริฐกว่าการรบชนะพันครั้งในสงคราม ความชนะตนได้ คือชัยชนะอันสูงสุด
คุรุอตีศะ
๖ ธันวาคม ๒๕๕๖