ดูเหมือนแพ้แต่ชนะ

ดูเหมือนแพ้แต่ชนะ


                                                            
            บางครั้งชีวิตคนเราเมื่อประสบความคับขันในชีวิต  สิ่งกดดันต่างๆถาโถมเข้ามา แทบไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง  บางครั้งก็แทบตกลงใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำตามใจของใครดี  บางเรื่องก็บีบคั้นจิตใจว่าจะต้องพยายามเอาชนะ หรือว่าจะยอมแพ้เพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายลง


          ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวันนั้นเราต้องเจอกับอะไร  จะได้พบกับความสบายใจหรือต้องเจอกับสิ่งบีบคั้น  ชีวิตที่ผ่านไปได้แต่ละวัน  จึงนับว่าเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่แล้วในตัวเอง


          เรื่องของชีวิตไม่มีสิ่งใดลิขิตว่าเราจะต้องพยายามเอาชนะในทุกสิ่ง  บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าชนะ แต่อาจเป็นความพ่ายแพ้ในภายหลังก็ได้ บางเรื่องเรารู้สึกเสียใจและตรอมใจที่รู้สึกพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรม  เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่า เป็นความชนะที่ขาวสะอาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้


          เมื่อสิบปีมาแล้ว ได้นั่งรถประจำทางเพื่อเดินทางขึ้นภาคเหนือตามลำพัง  ที่นั่งด้านหลังมีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีอายุตัวและอายุพรรษามากกว่าหลายปี ใบหน้าของท่านดูตรอมตรมและตาแดงๆเหมือนกับร้องไห้ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ออกบวชมา เพราะในแวดวงพระกรรมฐานที่คลุกคลีในช่วงอายุตอนนั้น  จะพบแต่พระเถระที่ท่านมีแต่ความเข้มแข็งอาจหาญและมีใจเบิกบานเป็นที่พึ่งของใครต่อใคร  เมื่อมีโอกาสจึงได้สนทนากับท่านเพื่อให้ท่านได้คลายทุกข์


            พระภิกษุรูปนั้นท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านจาริกธุดงค์ไปจังหวัดหนึ่งทางตอนใต้ของภาคอีสาน มีโยมคนหนึ่งเลื่อมใสศรัทธายกที่ดินถวายเพื่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์แบบวัดป่า  ท่านเองมีการศึกษาเพียงแค่ ป. ๗ ก็ถือใจซื่อไม่ได้ใส่ใจเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฏหมายที่ดิน  ก็นำเงินที่ญาติโยมถวายด้วยศรัทธาเพราะเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน ค่อยๆสร้างกุฏิศาลาขึ้นมาทีละอย่างโดยไม่ได้บอกบุญรบกวนใคร เวลาผ่านไปเพียงห้าปี ก็มีทั้งศาลา  โรงย้อมจีวร  คลังพัสดุของสงฆ์  พร้อมทั้งกุฏิพระ ๑๐ หลัง  ที่แยกเป็นหลังๆเพื่อความวิเวกตามแบบวัดป่า ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี


            ต่อมาไม่นานชาวบ้านเห็นว่าวัดเจริญขึ้น มีผู้คนจากกรุงเทพฯและต่างถิ่นไปทำบุญกันมากขึ้น เพราะท่านสามารถอบรมสั่งสอนเป็นที่พึ่งของคนได้  ก็อยากมีสิทธิ์เข้ามาจัดการและแสดงบทบาทภายในวัด อยากให้มีพิธีกรรมแบบวัดบ้านซึ่งพวกเขาจะถนัดในพิธีกรรมและมีโอกาสแสดงบทบาทหาเสียงหามวลชนได้ดีกว่า จึงได้พากันวางแผนร่วมมือกันใส่ร้ายท่านว่าทำผิดวินัยโดยไม่มีมูลความจริง  จุดประสงค์ก็เพื่อขับไล่ท่านออกไป แล้วพวกเขาจะได้จัดหาพระที่ตนควบคุมได้มาเป็นเจ้าอาวาสแทน


             ตอนแรกท่านก็พยายามต่อสู้และยืนหยัดด้วยความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน สุดท้ายท่านต้องยอมจำนนกับคนหมู่มากที่ผุู้ใหญ่บ้าน อ.บ.ต. สร้างมวลชนขึ้นมาบีบบังคับ และพวกเขาเอาเจ้าคณะตำบลเข้ามาจัดการพร้อมทั้งช่วยกันใส่ร้ายป่าวประกาศ ว่าท่านเป็นปาราชิกแล้วโดยไม่มีความจริงแม้แต่นิดเดียว ญาติโยมที่เคยช่วยเหลือวัดและเคยอุปัฏฐาก ก็ถูกพวกเขาล็อบบี้และสร้างเรื่องให้เข้าใจผิดจนไม่มีใครกล้ายืนหยัดช่วยเหลือพิสูจน์ความจริง ท่านจึงเหลือตัวคนเดียว  สุดท้ายจึงพ่ายแพ้ต่อมวลชนคนจำนวนมากที่หลงเชื่อกลุ่มคณะที่อยากยึดวัดแห่งนั้น เพื่อพวกเขาจะได้เข้ามาบริหารเอง


             วันที่ท่านสะพายบาตรแบกกลดขึ้นรถประจำทางจนได้พบกันในตอนบ่ายวันนั้น คือวันที่ทุกคนบีบให้ท่านออกมาจากวัดที่ท่านสร้างด้วยมือ จากใช้ใบตองกุงเป็นหลังคา สร้างเป็นเพิงหมาแหงนอยู่ตลอดพรรษา ท่านเห็นน้ำตาของพวกพระ แม่ชี ญาติโยมที่เคยพากันฟันฝ่าอุปสรรคมาแต่ต้นกับท่านโดยที่ท่านหมดทางสู้และทุกคนทำอะไรสู้ชาวบ้านซึ่งเป็นคนหมู่มากไม่ไหว  ท่านจึงต้องหลั่งน้ำตาอย่างสะเทือนใจนับแต่บวชมาได้ ๑๕ ปี  เมื่อสักครู่นี้ก่อนรถออก โยมที่มาส่งก็ร้องไห้ไม่อยากให้ท่านจากไป


             ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ยึดติดในวัดหรือการเป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านเสียใจว่าในเส้นทางที่ว่าบริสุทธิ์กว่าชาวบ้าน กลับมีเรื่องเลวร้ายและอยุติธรรมกว่าชาวโลกหลายเท่า เป็นวัดป่าสงบสุขเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนอยู่แท้ๆ กลับถูกมวลชนคนหมู่มากและพระฝ่ายปกครองที่อยากได้วัดแห่งนั้นเป็นวัดบ้าน ขับไล่ท่านเหมือนสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน  พูดจบท่านก็เอาชายจีวรขึ้นซับน้ำตา เป็นน้ำตาของพระปฏิบัติ เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย  ที่กำลังหวั่นไหวและถึงทางตันที่ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้พบมาก่อน


              เวลานั้นแม้จะยังเป็นพระที่ยังน้อยพรรษากว่าท่านมาก แต่ด้วยความสะเทือนใจและเห็นใจในชะตาชีวิตของท่าน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดให้กำลังใจแก่ท่านว่า "ขอให้ท่านอาจารย์เดินไปข้างหน้า บางทีผู้คนในสถานที่แห่งใหม่รอท่านอาจารย์อยู่ก็ได้ เราได้สร้างไว้ให้คนถิ่นนั้นเขามีวัดของเขาแล้ว เขาอยากได้และทำกันถึงขนาดนั้น ก็จงอธิษฐานจิตมอบให้เขาไปเสีย ให้ไปอย่างภาคภูมิใจที่เราสร้างมาด้วยความเหนื่อยยาก  น้อมเอาอานิสงส์จากความทุกข์ยากตรงนั้นมาเป็นบารมีแล้วสร้างวัดแห่งอื่นให้ใหญ่กว่าเดิม  เอาความพ่ายแพ้ในวันนี้  ให้กลายเป็นชัยชนะอย่างขาวสะอาดตามแบบอย่างพระอริยเจ้า.."


                พอท่านได้ฟังดังนั้น ท่านเกิดความซึ้งใจถึงกับเอื้อมมือมาจับพร้อมทั้งขอบคุณที่ให้กำลังใจ ท่านเริ่มมีรอยยิ้มแทนน้ำตา  เพราะพระที่บวชได้หลายพรรษาและสร้างวัดได้ขนาดนี้ ท่านต้องมีบารมีของท่านมากกว่าพระทั่วไปอยู่แล้ว  เพียงแต่ขณะนั้นผงเข้าตาชั่วคราว เพียงมีคนให้สติไม่กี่คำก็คิดได้ หลังจากนั้นเราต่างก็สะพายบาตรแบกกลดลงจากรถ ต่างคนต่างจาริกเข้าป่าไปคนละเส้นทาง  เราออกจากแผ่นดินไทยข้ามแม่น้ำขึ้นสู่ทิศเหนือ ส่วนท่านนั้นไปทางตะวันตกโดยบอกว่าจะไป "ฟื้นฟูวิชาเก่าที่ขึ้นสนิมมานาน"


                วันเวลาผ่านไปสิบปี  ท่านอาจารย์รูปนั้นบัดนี้ท่านได้กลายเป็นครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงไปแล้ว หลังจากท่านออกจากป่า มีโยมคนหนึ่งถวายที่ดินหนึ่งร้อยไร่แก่ท่าน แล้วสร้างวัดแห่งใหม่จนต่อมาที่ดินของวัดแห่งนั้นขยายออกไปเป็นเกือบสองร้อยไร่ มีพระลูกศิษย์ในวัดและแม่ชีญาติโยมปฏิบัติธรรมอยู่ประจำรวมแล้วเป็นร้อยชีวิต มีผู้คนหลั่งไหลไปฟังธรรมและปฏิบัติธรรมกับท่านไม่เคยขาด  แสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์ท่านฟื้นฟูวิชาเก่าของท่านได้แล้วจริงๆ   ความพ่ายแพ้เมื่อสิบปีก่อน  บัดนี้คือชัยชนะอย่างขาวสะอาด สมดังเป็นศิษย์พระตถาคตโดยแท้  พูดถึงท่านแล้วก็ยังอดตื้นตันใจกับท่านมิได้


               ส่วนวัดเดิมที่ท่านเคยสร้างไว้ในเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นวัดบ้านตามความต้องการของชาวบ้านและเจ้าคณะตำบลที่มาช่วยกันขับไล่ท่านในวันนั้น  สำหรับเจ้าคณะตำบลรูปนั้น หลังจากเหตุการณ์วันนั้นต่อมาไม่นาน ก็เกิดป่วยเป็นมะเร็งและมรณภาพไปยังไม่ทันได้เป็นเจ้าคณะอำเภอตามที่ท่านปรารถนา  วัดแห่งนั้นก็มีพระหลวงตาพอได้บิณฑบาตรักษาธรรมเนียมและให้ศีลในวันพระอยู่ ๒ รูป พอได้ดูแลวัดวาอารามไปตามอัตภาพ ภาพแห่งความคึกคักรุ่งเรืองเหมือนสมัยก่อนไม่มีให้เห็นอีกแล้ว  ไม่มีคนกรุงเทพฯหรือคนต่างถิ่นไปทำบุญที่นั่นอีกเลย


               ถาวรวัตถุที่ท่านอาจารย์รูปนี้เคยก่อสร้างไว้ เคยมีอยู่อย่างไร ก็มีอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเมรุเผาศพ ส่วนป่าไม้ที่เคยให้ความร่มเย็นสงบและเป็นเสน่ห์ของสถานที่นั้น บัดนี้ไม่เหลือต้นไม้อีกแล้ว  มีแต่วัวของชาวบ้านเข้ามากินหญ้าและถ่ายมูลไว้เป็นที่ระลึกให้หลวงตาท่านดูประจำวัน


              ส่วนผู้ใหญ่บ้านที่เคยพาชาวบ้านขับไล่ท่านในครั้งนั้น ก็ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนตายหลังจากท่านออกไปจากวัดแห่งนั้นเพียงสามปี แกนนำคนอื่นๆก็พากันตกอับมีหนี้สินรุงรัง บางคนก็มีคดีต้องติดคุกบ้านแตกสาแหรกขาดและไม่ได้มาวัดนั้นอีก มีแต่ชาวบ้านคนรุ่นใหม่ที่ยังไปวัดแห่งนั้นตามประเพณี โดยบางคนก็ไม่ได้รู้ล่วงรู้เหตุการณ์และภูมิหลังเมื่อครั้งอดีตแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครเล่าให้ฟัง


               ชีวิตของคนเรา  บางครั้งดูเหมือนพ่ายแพ้  แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น  เป็นเพียงสิ่งผลักดันให้เราได้พบชีวิตที่สูงส่งยิ่งขึ้นต่างหาก


               ใครก็ตามที่ชีวิตกำลังมีสิ่งกดดันหรือบีบคั้นจนถึงขั้นเหมือนจะแพ้ในเวลานี้  ขอจงระลึกและน้อมเอาชีวิตของอาจารย์ผู้มีความเป็นพระแท้ท่านนี้  มาเป็นข้อคิดและเป็นกำลังใจในการยืนหยัดต่อไป   จากเรื่องราวของท่าน เราจะเห็นได้ว่า เท่ากับชาวบ้านแห่งนั้นได้ช่วยกันเป็นแรงลม ที่ทำให้ให้ท่านอาจารย์ท่านนี้กลายเป็นว่าวจุฬาลอยเด่นสง่าและสูงส่งยิ่งขึ้นกลางฟากฟ้า


              หากท่านไม่ยอมแพ้ในวันนั้น ท่านคงไม่ได้พบสถานที่แห่งใหม่ซึ่งอยู่คนละภาคของประเทศ ซึ่งเป็นเนินเขาสวยงามและมีญาติโยมที่มีใจสูงใจบุญเหมือนวันนี้ ที่ช่วยกันอุ้มชูสนับสนุนและช่วยกันเจียระไนเพชรเม็ดดี คือตัวอาจารย์ท่านนี้ให้เป็นพระผู้เปล่งบุญญาบารมี เป็นที่พึ่งของผู้คนจนมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ การพ่ายแพ้ทั้งน้ำตาของท่านเมื่อสิบปี  กลับเป็นความชนะในวันนี้อย่างสูงส่งและงดงาม


                ในวิถีทางของทางโลก  ผู้คนมักต่างมุ่งเอาชนะกันเป็นข้อใหญ่  ไม่มีใครอยากจะยอมแพ้ใคร  แต่สำหรับผู้เป็นบัณฑิตและมีปัญญา  ท่านจะถือว่า บางครั้งการแก้ปัญหาชีวิตด้วยเมตตาและยอมแพ้ไม่ดันทุรังด้วยทิฐิมานะ  กลับคือชัยชนะที่งดงามและไม่มีเวรกรรมติดตัว สิ่งนี้แหละที่ท่านกล่าวไว้เป็นสุภาษิตให้เราทั้งหลายใช้เป็นข้อคิดมาแต่ครั้งโบราณว่า "แพ้เป็นพระ  ชนะเป็นมาร"


                 ยอมแพ้เสียบ้าง  จะได้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และเป็นความสำเร็จในภายหลัง เหมือนชีวิตของท่านอาจารย์ที่ยกตัวอย่างข้างต้น


                ชีวิตเป็นสิ่งอัศจรรย์  เพราะบางเรื่องราวหรือบางครั้งอาจดูเหมือนประสบความพ่ายแพ้  แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นความสำเร็จและชัยชนะอย่างงดงาม

 
                การชนะข้าศึกพันครั้งในสงคราม  ยังไม่เรียกว่าความชนะแท้  แต่บุคคลที่ชนะตนได้เพียงครั้งเดียว ย่อมประเสริฐกว่าการรบชนะพันครั้งในสงคราม  ความชนะตนได้ คือชัยชนะอันสูงสุด

 

                                                                                                                  คุรุอตีศะ
                                                                                                           ๖  ธันวาคม  ๒๕๕๖