อำนาจทางธรรมประเสริฐกว่า
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
อำนาจทางธรรมประเสริฐกว่า
วันนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวงของเรา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติของพระองค์ ที่ทรงประทับเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยมายาวนานยิ่งกว่ากษัตริย์พระองค์ใดในโลกมาก่อน และระลึกถึงปฐมพระบรมราชโองการ ที่ทรงตรัสเมื่อเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติอันบันลือสีหนาทและเป็นที่ประทับใจว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เราจึงงดการเทศนาธรรมกันไว้สักวันหนึ่ง โดยมาคุยกันตามประสาแบบคนครอบครัวเดียวกัน แบบพ่อเล่าอะไรให้ลูกฟังในวงกินข้าวเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ในฐานะที่เคยเข้าพิธีสวนสนามและกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพลกับเขาคนหนึ่งมาก่อน สมัยที่ประเทศไทยมีปัญหาที่ยิ่งใหญ่กำลังต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ต่อมาชะตาก็ลิขิตให้ได้ร่ำเรียนวิชากฎหมายอันเป็นคนละเรื่องกันหรือตรงข้ามกันก็ว่าได้กับการเป็นทหาร ความคิดอ่านของบุคคลสองอาชีพนี้จะสวนทางกัน ชนิดที่ว่ายากมากจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของกันและกัน นอกจากคนที่เคยเป็นมาทั้งสองอย่าง จึงจะพอมองออกบ้างว่าแต่ละฝ่ายรู้สึกนึกคิดอย่างไร
คนที่เป็นทหารจะถูกหล่อหลอมให้รักชาติบ้านเมือง ให้จงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ให้รักเกียรติรักศักดิ์ศรีและกล้าหาญเสียสละจนสามารถไปตายแทนประชาชนหรือคนอื่นได้ จิตใจจึงโน้มเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมเป็นธรรมดา
ส่วนคนที่เป็นนักกฏหมายหรือรัฐศาสตร์ จิตใจจะโน้มเอียงไปทางรักความอิสรเสรี ถือเอาสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยเป็นใหญ่ นี้คือลักษณะความโน้มเอียงทางจิตใจที่เกิดจากอิทธิพลของการศึกษาเล่าเรียน สาขาอาชีพอื่นก็ทำนองเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้แต่ละคนมีแนวคิดและหลักการแตกต่างกัน อย่างคนที่เป็นพ่อค้านักธุรกิจ ก็ย่อมต้องถือเอารายได้หรือผลกำไรที่จะได้สำคัญกว่าอย่างอื่น หากประเทศรบกันหรือมีแต่เสียงปืน ก็ย้ายฐานการผลิตและการลงทุนไปที่อื่นเป็นธรรมดา จะให้มาคิดต่อสู้รักษาอธิปไตยรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองแบบทหารนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาฝึกมาแต่การค้าหรือการแสวงหาความร่ำรวยว่าต้องทำอย่างไร
การที่จะไปเคี่ยวเข็ญให้พ่อค้ารักชาติบ้านเมือง รักษาหวงแหนอธิปไตยแบบทหารนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่มีพ่อค้าบ้านเมืองก็ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน ก็เพราะอาศัยพ่อค้านักธุรกิจนั่นเอง รายได้และความอยู่ดีกินดีของพลเมืองจึงเกิดขึ้น ทุกสาขาอาขีพจึงต้องอาศัยกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ด้วยเหตุนี้
การที่บางฝ่ายพยายามจะใช้แต่ทฤษฎีการเมืองหรือความเป็นนักฎหมายมหาชน เพื่อให้เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแบบสากลตามแบบในตำราที่ตนเรียนจบจากต่างประเทศ แล้วพยายามจะบีบให้ทหารเขาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกอย่างแบบบางประเทศที่ตนนิยมยกย่อง ขอรับรองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ในตอนนี้ เพราะอะไร? เพราะนี่เป็นประเทศไทย ที่มีภูมิหลังแตกต่างจากประเทศอื่นทั้งหลายในโลก หลังจากเรียนตำราต่างประเทศมามากแล้ว เราจงลองมาเรียนรู้ภายในบ้านของเราเองให้ชัดแจ้งและทุ่มเท แบบที่เรียนปริญญาโทปริญญาเอกจากต่างประเทศ บางทีท่านทั้งหลายจะช่วยชาติบ้านเมืองกลายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ และเป็นที่พึ่งของมหาชนในภายหน้าก็ได้
จนกว่าจะเกิดวิวัฒนาการจากวันนี้ เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า โดยที่ทุกฝ่ายได้เรียนรู้และได้รับบทเรียนไปตามลำดับ นั่นแหละการต่อสู้ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายประชาธิปไตยที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้จะหมดไป ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบที่มีอยู่ในตำราจากต่างประเทศ แต่เป็นการปกครองที่คนไทยได้เรียนรู้และลองผิดลองถูกมาช้านาน ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบที่เห็นอยู่นี้และไม่ใช่เผด็จการ และก็ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชแบบรัฐโบราณ ซึ่งตอนนี้ยังเรียกชื่อไม่ได้ พอๆกับการที่ใครๆเมื่อสามสิบปีก่อนจินตนาการไม่ออกว่าโทรศัพท์มือถือแบบทุกวันนี้มีได้อย่างไร จนเกิดการตกผลึกออกมาเป็นเอกลักษณ์ทางการปกครอง กลายเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอื่นในโลกต่อไป และในยุคต่อไปข้างหน้า ภาษาไทยจะกลายเป็นภาษาสากล พุทธศาสนาจะเป็นที่พึ่งทางใจของชาวโลกอย่างไร้การแบ่งแยก การที่คนไทยรู้สึกว่าประเทศของตนต่ำต้อยกว่าชาวตะวันตกอย่างทุกวันนี้จะไม่มีอีกแล้ว
ที่พูดมานั้นก็อย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรจริงจังนักในตอนนี้ หรือนำเอาข้อความไปโพสต์ต่อเพื่ออวดใครต่อใครในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ สไกป์ หรือไลน์เป็นอันขาด เดี๋ยวคนเขาหมั่นไส้เข้าใจผิดปิดเว็บไซต์ขึ้นมาจะพากันอดอ่านอะไรดีๆ จงสงวนไว้คุยกันลำพังเพียงเท่านี้พอได้ย่อยอาหาร หลังจากที่หลายคนหายใจไม่ทั่วท้องมาหลายวันจากเหตุการณ์ต่างๆ ก็บอกไว้แต่ต้นแล้วว่าวันนี้เรานั่งล้อมวงกินข้าวแล้วคุยกัน จึงขอจับเข่าคุยกันให้สบายใจสักวัน เพื่อเป็นการฉลองวันพ่อแห่งชาติไปตามประสาของเรา
ที่พูดมาทั้งหมดข้างต้นนั้น พูดในฐานะที่เคยเข้าร่วมพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพลอย่างสมศักดิ์ศรีของทหาร และในฐานะที่เคยศึกษาอบรมในวิชากฏหมายมาบ้าง จึงพยายามสื่อสารออกไปเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ และแสดงความนึกคิดอันเป็นส่วนตัวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ด้วยความจริงใจ ในตอนท้ายก็อยากกล่าวอะไรเพื่อเป็นข้อคิดปิดท้ายสักเล็กน้อยเพื่อให้สมกับวันมหามงคล....
อำนาจใดๆที่เป็นของชาวโลก ไม่เป็นของยั่งยืนและเต็มไปด้วยศัตรูที่จะมาแย่งชิงอำนาจจากตัวเองตลอดเวลา ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากพระเจ้าภัททิยะที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วทรงเสด็จออกผนวช ต่อมาไม่นานก็สิ้นกิเลสบรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อเสด็จประทับนั่งอยู่ที่ใด พระภิกษุภัททิยะจะเปล่งอุทานออกมาบ่อยๆว่า "สุขหนอ สุขหนอ" ให้ภิกษุทั้งหลายได้ยินอยู่เรื่อยๆ จนพระภิกษุปุถุชนพากันเข้าใจผิด คิดว่าพระรูปนี้คงคิดถึงความสุขสมัยยังอยู่ในวังคิดถึงพระมเหสีสนมกำนัลนางกระมัง จนนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า
พระภิกษุภัททิยะผู้ทรงภูมิถึงขั้นพระอรหันต์ ที่ไม่มีใครอื่นล่วงรู้นอกจากพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กราบทูลแก้ข้อกล่าวหาต่อหน้าพระพักตร์ท่ามกลางเหล่าพระภิกษุทั้งหลายว่า..
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนนี้ข้าพระองค์เป็นกษัตริย์มีอำนาจแผ่ไปในแผ่นดิน แต่จิตใจมีแต่ความกระวนกระวายห่วงกังวลว่าจะมีศัตรูมาปองร้ายและช่วงชิงเอาราชสมบัติ ต้องหวงห่วงกังวลต่อมเหสีสนมกำนัลนางทั้งหลาย ไม่เคยหลับสนิทได้แม้แต่คืนเดียว แต่บัดนี้ความวิตกกังวลที่เคยมีอยู่มากมาย ไม่เหลืออยู่ในดวงจิตของข้าพระองค์อีกแล้ว ข้าพระองค์ไม่เคยได้รู้จักความสุขชนิดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไม่ว่าจะนั่ง ไม่ว่าจะเดิน ไม่ว่าจะยืน ไม่ว่าจะนอน ข้าพระองค์มีแต่ความสุขอยู่ทุกทิวาราตรี ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์จึงรำพึงว่า สุขหนอ สุขหนอ พระเจ้าข้า.."
นี้คือความสุขของผู้ที่เคยมีอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ ความสุขใดในโลกมนุษย์ไม่มีอะไรเทียบเท่าความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระราชอำนาจหรือความสุขนั้นยังไม่ประเสริฐเท่าอำนาจในทางธรรม อันเป็นอำนาจบริสุทธิ์ สะอาด สงบ เป็นความสุขที่ปราศจากเวรภัยและสุขชั่วนิรันดร์
เพราะเหตุนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งพระองค์ได้เคยทรงผนวชเพื่อหลบราชภัยเป็นเวลาถึง ๒๗ พรรษา ก่อนที่ข้าราชบริพารจะทูลเชิญให้เสด็จลาผนวชเพื่อขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุเลยวัยกลางคนแล้ว พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยต่อราชกิจซึ่งมีอย่างมากมายในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช และทรงสะเทือนพระทัยต่อการปกครองพระมเหสีสนมเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย อันยากจะหาความสงบพระทัยได้เหมือนเมื่อครั้งสมัยยังทรงผนวช
พระองค์ได้อาศัยความรู้ในพระบาลีที่ทรงสอบได้ถึงชั้นประโยค ป.ธ. ๕ ในสมัยทรงเพศเป็นบรรพชิต จึงได้ทรงนิพนธ์ไว้ในบทสวด ปัฏฐนะฐปนะคาถา ความตอนหนึ่งว่า..
"..ปัญจะเวรานิ วัชเชยยัง ระเมยยัง สีละรักขะเน, ปัญจะกาเม อะลัคโคหัง วัชเชยยัง กามะปังกะโต ข้าพเจ้าพึงเว้นจากเวรทั้งห้า พึงยินดีในการรักษาศีล ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้งห้า พึงเว้นจากเปือกตม กล่าวคือกาม.."
นี้คือความปรารถนาหรือความในใจของคนที่เป็นกษัตริย์ ที่เคยอยู่ท่ามกลางอำนาจและกามคุณที่ได้อย่างใจกว่าคนสามัญธรรมดา แม้กระนั้นก็ยังทรงมีความทุกข์ถึงกับประพันธ์คาถาเป็นภาษาบาลีไว้เป็นบทสวดในการตั้งความปรารถนาไว้ว่า "เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก ขออย่าได้ยินดีพอใจเกาะเกี่ยวลุ่มหลงในกามคุณเลย ขออย่าให้พลัดตกจมลงไปในโคลนตมคือกามอีกเหมือนในชาตินี้"
ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎกจึงมีกล่าวไว้ว่า "อานิสงส์ของการประพฤติพรหมจรรย์ในระดับต่ำ ทำให้เกิดในตระกูลกษัตริย์หรือในราชวงศ์ในเมืองมนุษย์ อานิสงส์ของการประพฤติพรหมจรรย์ระดับปานกลาง ทำให้ไปเกิดเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นฟ้า ส่วนอานิสงส์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์อันสูงสุด ทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลส สิ้นภพสิ้นชาติสิ้นทุกข์ทั้งปวง"
อำนาจใดๆในโลก ล้วนแปรปรวนไม่ยั่งยืน บางครั้งต้องฝืนประพฤติผิดคลองธรรมทำลายชีวิตคนเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ แม้ยังรักษาอำนาจไว้ได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายดังที่พระภัททิยะกราบทูลพระพุทธเจ้า อำนาจทั้งหลายในโลกจึงไม่ประเสริฐแต่อย่างใด
อำนาจในทางธรรมที่เป็นเส้นทางอันปราศจากเวรกรรมและบริสุทธิ์สะอาด ซึ่งทำให้เจ้าชายสิทธัตถะกลายเป็นพระศาสดาเป็นแสงสว่างเป็นดวงตาของชาวโลก เป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครลืมชื่อของพระองค์มาเป็นเวลา ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว ในขณะที่กษัตริย์ทั้งหลายไม่มีใครรู้จักชื่ออีกเลย
อำนาจในทางธรรมของพระองค์ ทำให้เป็นที่เคารพสูงส่งเสด็จไปแว่นแคว้นประเทศใดก็ได้ จึงทรงเป็นราชาที่เหนือกว่าราชาทั้งปวง เป็นพระธรรมราชาของชาวโลกทั้งมวล
อำนาจในทางธรรมนี้แหละที่ทำให้เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นที่น้อมพระเศียรกราบไหว้ของพระราชาในทางโลก อำนาจในทางธรรมนี้จึงประเสริฐกว่าและเป็นอำนาจที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าอำนาจใดอย่างแท้จริง.....
ขอมอบบทความนี้เป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราช ผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยมาเป็นเวลาถึง ๖๗ ปี และมอบคุณความดีจากบทความนี้หากจะพึงมีแก่ผู้อ่านทุกคน ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาประจำปี ๒๕๕๖
คุรุอตีศะ
๕ ธันวาคม ๒๕๕๖