บารมีพระมหากษัตริย์

บารมีพระมหากษัตริย์


                                                                     
          คนในยุคสมัยใหม่จะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพระบารมีขององค์พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของพวกเราที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกมาอย่างช้านาน เราจะมีความรู้เรื่องประชาธิปไตยโดยเอาประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นมาตรฐาน โดยขาดความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานและภูมิหลังของการก่อตั้งประเทศของเขา ว่าต่างจากประเทศของเราแทบจะคนละอย่าง


           การที่ประเทศของเรายังมีพระมหากษัตริย์ ที่อยู่ในฐานะผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์และเราต่างรู้สึกจงรักภักดี ผิดจากประเทศอื่นที่ประชาชนในประเทศนั้นๆจะไม่เกิดความรู้สึกเช่นนี้กับประมุขของเขา  ก็เพราะพวกเรามีพระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์มาเป็นเวลาถึง ๗๐๐ ปีแล้ว  การสืบเชื้อสายกษัตริย์หรือเลือดแห่งขัตติยะมีมาเช่นนี้ไม่เคยขาดสาย คนไทยทุกคนที่เกิดมาจึงรู้สึกว่าตนเองมีความสุขสงบอยู่ได้ ก็เพราะได้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มแห่งพระบารมีโพธิสมภาร


           ความรู้สึกที่จงรักภักดีและซาบซึ้งเช่นนี้  จะไม่เกิดมีและไม่เป็นที่รู้จักของชนชาติที่ไม่มีกษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ  ความรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นมิ่งขวัญแห่งปวงชนชาวไทยเช่นนี้ จะไม่มีในประเทศที่เขาปกครองด้วยระบอบอื่น  นี้คือความภาคภูมิใจที่เราคนไทยต่างมีอยู่ในใจร่วมกัน  บางประเทศที่เขาไม่มีกษัตริย์ก็พยายามรื้อฟื้นระบบกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ แม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังมีกลุ่มบุคคลที่พยายามสร้างระบบกษัตริย์ซึ่งบางคนอาจคิดไม่ถึง ทั้งนี้ก็เพราะสถาบันกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิและความสง่างามที่การปกครองในระบอบอื่นไม่อาจมีได้


            มีคำถามว่า เหตุใดพระมหากษัตริย์จึงทรงเปี่ยมพระบารมีและอยู่ในฐานะที่ควรเทิดทูนได้ถึงเพียงนั้น?  เหตุใดทั้งที่พระองค์เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน แต่กลับอยู่ในฐานะเป็นคนพิเศษและทรงมีฐานะเหนือทุกคนในประเทศ?  คำถามเหล่านี้จะเกิดมีในใจของผู้คนอยู่มากมาย


            หากเราเอาแต่ความรู้ที่เรียนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย มาวินิจฉัยในเรื่องนี้  ฐานความรู้จะไม่เพียงพอ เพราะความรู้ทั้งหลายที่เราเรียนจบกันมานี้ เป็นความรู้และตำราที่มาจากพื้นฐานความคิดของชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่  ความรู้ที่ทำให้คนไทยเข้าใจประเทศไทยและเข้าใจคนไทยยังมีน้อย  เพิ่งจะเริ่มมีและเริ่มเป็นที่สนใจก็เมื่อไม่นานมานี้เอง นอกนั้นเราใช้แนวคิด วิธีการ การบริหารโดยอาศัยหรือวิ่งตามตะวันตกมาตลอด ประเทศไทยจึงเดินมาถึงทางตันในวันนี้


            สิ่งที่เป็นความจริงก็คือประเทศของเรายังมีพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันอันเก่าแก่อันมีมาคู่ชาติไทยมาตั้งแต่เริ่มมีประเทศ จึงเป็นความภาคภูมิใจที่ประเทศใดในโลกไม่มีเหมือน และการจะมีสถาบันกษัตริย์ไปได้นานเพียงใด ก็ขึ้นกับพระบารมีและการทรงทศพิธราชธรรมขององค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชน ไม่ได้ขึ้นกับว่าเราจะเอาอย่างประเทศใดหรือต้องการความก้าวหน้าความทันสมัย นี้คือหลักใหญ่สำหรับประเทศไทยของเรา  เราไม่จำเป็นต้องเอาอย่างใคร แต่เราจงเป็นตัวของตัวเอง พึ่งตนเอง และสร้างประเทศด้วยสติปัญญาของตัวเอง  นั่นแหละประเทศไทยจะรอดพ้นจากวิกฤติทั้งปวง ก้าวสู่ยุคใหม่ต่อไป


            พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบารมีเหนือกว่าคนทั่วไป ก็เพราะ "กฏแห่งกรรม" ที่พระองค์สั่งสมมาผิดจากคนอื่นที่เกิดมาในยุคนั้นๆ  หากใครเข้าใจกฏแห่งกรรมจะพูดเรื่องอย่างนี้ง่าย เพราะสามารถอธิบายถึงอำนาจและบุญบารมีที่เกิดมาเพื่ออยู่ในฐานะเหนือคนอื่น ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้สำหรับพวกเราที่ได้เรียนรู้แต่เรื่องประชาธิปไตยมาแต่เป็นเด็กนักเรียน


            ในพระไตรปิฎกได้มีกล่าวไว้ถึงการได้เกิดมาเป็นกษัตริย์หรือเกิดในราชวงศ์ ก็เพราะบุคคลนั้นเคยได้สร้างทานบารมี ศีลบารมี ปัญญาบารมีที่ยิ่งยวดกว่าทุกคนในสมัยที่ตนได้เกิดมาแล้วได้เป็นกษัตริย์ คือเป็นกุศลกรรมที่ทำไว้อย่างยิ่งยวดกว่าใครๆในบารมีทั้งสิบในอดีตชาติ เมื่อมาเกิดในชาตินี้จึงได้เสวยบุญเสวยอำนาจเหนือกว่าคนทั่วไป


             ท่านกล่าวไว้ว่า คนที่จะได้เกิดเป็นกษัตริย์ต้องเคยรักษาศีล ๘ มาอย่างยิ่งยวดในอดีตชาติ อานิสงส์แห่งการรักษาอุโบสถหรือรักษาศีลแปดที่ตนเคยบำเพ็ญไว้เหนือกว่าใครๆ หากได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะทำให้มีตบะเดชะมีอำนาจเหนือใครในยุคสมัยของตน จนกว่าจะหมดบุญหมดบารมีที่เคยสั่งสมไว้ อำนาจบารมีเหล่านั้นก็จะถอยลงหรือสูญสิ้นอำนาจวาสนาด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง


             ยกตัวอย่างพอให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ เปรียบเหมือนบุคคลที่เคยยากจนเข็ญใจ แต่ยึดมั่นในสุจริต สั่งสมกรรมดีสร้างบุญกุศลไว้มิได้ขาด แล้วก็พากเพียรอุตสาหะ สร้างอนาคตสร้างฐานะแสวงหาความก้าวหน้า  ในเวลาต่อมาเขาก็ได้รับเสวยผลแห่งกรรมดีและความพากเพียรของเขา จนกลายเป็นคนร่ำรวยหรือเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ในภายหลัง  จากที่เคยมีชีวิตอดอยากยากจน ก็กลายเป็นอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์และสะดวกสบาย เป็นที่เคารพเกรงอกเกรงใจของคนทั้งหลาย เพราะได้เสวยผลแห่งกรรมดีและความขยันหมั่นเพียรที่ตนกระทำบำเพ็ญมา


              แต่การจะได้เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่การสร้างความดีเพียงในชาตินี้  แต่ต้องเคยสร้างความดีและเคยบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ จึงทำให้ไปเกิดในตระกูลที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป หรือบางพระองค์แม้เกิดในสามัญชน แต่ก็จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันของบ้านเมืองทำให้ตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์จนได้  อย่างเช่น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ของไทย หรือพระเจ้าบุเรงนองของพม่า เป็นต้น  นี้ก็เพราะอำนาจแห่งบุญบารมีที่สั่งสมไว้ในอดีตชักนำให้เป็นไป ซินแสจึงได้ทำนายพระภิกษุทองด้วงไว้สมัยบวชเป็นพระภิกษุบิณฑบาตด้วยกันกับพระภิกษุสิน ว่าต่อไปภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์ทั้งคู่ แล้วก็เป็นจริงทุกอย่างตามคำทำนาย


               ด้วยเหตุนี้คนที่เป็นกษัตริย์  จิตใจจึงไม่เหมือนคนสามัญธรรมดา  ถ้าจะกว้างขวางก็กว้างขวางเหนือใคร หากต้องโหดร้ายก็โหดร้ายไม่มีใครเหมือน เมื่อเมตตาก็ทรงมีเมตตามหาศาล เมื่อถึงคราวกล้าหาญ ก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญผิดจากมนุษย์ทั่วไป นี้คือน้ำใจของคนที่เกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์


               การเกิดมาเป็นกษัตริย์ เป็นด้วยบุญบารมีที่บุคคลนั้นได้บำเพ็ญไว้ แล้วมาเสวยผลบุญในชาตินี้  จึงไม่เกี่ยวว่าในชาติปัจจุบันนี้จะกระทำกรรมดีหรือชั่วอย่างไร ตราบใดที่บุญญาภิสมภารที่ทรงบำเพ็ญไว้ยังค้ำจุนเกื้อหนุนอยู่ กษัตริย์พระองค์นั้นย่อมทรงครองบัลลังก์ไปได้ตลอดจนกว่าจะหมดบุญ


               คนที่เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ ตามกฏแห่งกรรมย่อมถือว่า ได้สร้างบุญบารมีข้ามภพข้ามชาติมามากกว่าคนที่เกิดมาเป็นประธานาธิบดี เพราะตำแหน่งประธานาธิบดียังมีวาระกำหนดไว้ อยู่ได้ไม่กี่ปีก็ต้องลงจากตำแหน่งหลีกทางให้คนอื่นตามกฎกติกา ส่วนการเป็นพระมหากษัตริย์นั้นเสวยอำนาจบารมีไปจนกว่าจะสรรคต นี้คือผลแห่งการสร้างบุญบารมีที่บำเพ็ญไว้แตกต่างกัน


               การเป็นประธานาธิบดี จะได้รับการยอมรับนับถือในความรู้ความสามารถจากคนทั่วไปที่เป็นไปตามกฎกติกา แต่จะไม่เกิดบารมีให้ผู้คนรู้สึกเทิดทูน จงรักภักดี และยกไว้ในฐานะที่สูงส่งเหมือนการเป็นกษัตริย์  นี้คือผลจากการบำเพ็ญบารมีศีลแปดที่บำเพ็ญอยู่ตลอดชีวิตในชาตินั้น ส่วนคนที่เกิดเป็นประธานาธิบดีก็เคยบำเพ็ญมาเหมือนกัน แต่บำเพ็ญศีลแปดระยะสั้นๆหรือทำได้ชั่วคราว จึงเสวยตำแหน่งอย่างถูกจำกัดเวลา และคนที่มีความสามารถเท่าเทียมกับตนก็มีอยู่มากมาย จึงทำให้ครองตำแหน่งยาวนานไม่ได้ในยุคสมัยและในประเทศของตน


                เพราะคนหนึ่งบำเพ็ญความดีเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งจึงเสวยตำแหน่งได้เพียงชั่วคราวอยู่ถาวรไม่ได้  ส่วนคนเกิดมาเป็นกษัตริย์นั้น ท่านเคยบำเพ็ญบารมีมาแต่อดีตอย่างอุกฤษฎ์ยิ่งกว่าใครจนตลอดชีวิต เมื่อเกิดมาจึงทรงอยู่ในฐานะที่อยู่เหนือกว่าใครๆ ในยุคสมัยนั้นๆที่ตนได้เป็นกษัตริย์ตราบสิ้นชีวิตหรือหมดบารมี


                 สถาบันพระมหากษัตริย์จะหมดไปจากประเทศใด  ก็เมื่อในยุคนั้นสมัยนั้นไม่มีบุคคลใดที่บำเพ็ญบุญบารมีอย่างยิ่งยวดมาเกิด จนถึงขั้นพอจะดำรงฐานะอันสูงส่งถึงขั้นเป็นกษัตริย์ให้คนทั้งประเทศยอมรับในพระบารมีได้  แต่หากยังมีบุคคลที่ทรงบุญบารมีถึงขั้นนี้อยู่ตราบใด สถาบันกษัตริย์จะยังไม่มีใครมาทำลายหรือทำให้สูญสลายไปจากประเทศนั้นๆได้


                  นี้คือเหตุผลที่ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจและอยู่ในฐานะที่สูงส่งที่พิเศษน่าอัศจรรย์  เราเรียกสิ่งนี้ว่า "พระบารมีประจำองค์ของพระมหากษัตริย์"


                   บารมีของพระมหากษัตริย์นี้จึงไม่เหมือนใคร ทรงเป็นที่ตั้งแห่งความจงรักภักดีและความเทิดทูน ที่ไม่มีตำแหน่งใดในโลกจะเทียบได้  หากเราไม่เข้าใจกฏแห่งกรรมที่บุคคลบำเพ็ญมาข้ามภพข้ามชาติ  เราจะไม่มีวันเข้าใจความเป็นบุคคลพิเศษที่มีอำนาจเหนือใครในแผ่นดิน


                   ทุกคนเกิดมาย่อมเป็นไปตามกรรม ทั้งที่ตนทำไว้ในอดีตชาติและในชาติปัจจุบัน หากเราใช้แต่ภูมิปัญญาตามแบบตะวันตกหรือแบบวิทยาศาสตร์อย่างเดียว เราจะพลาดจากความเข้าใจในระบบกรรมของประเทศ กรรมของคนในชาติ เพราะยังมีอะไรอีกมากมายสำหรับโลกและชีวิตที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าการค้นพบ "อนุภาคพระเจ้า" ที่นักวิทยาศาตร์ทั่วโลกตื่นเต้นยินดี เพราะนับจากนี้เราอาจพิสูจน์ได้ว่า เหล่าโยคีท่านระลึกชาติได้อย่างไร เหมือนกับที่เราค้นพบคลื่นโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ทั้งที่เมื่อยี่สิบปีก่อนเราต่างคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนจะคุยกันโดยไม่มีสายโทรศัพท์แบบนี้


                    เราจงยอมรับในบุญบารมีของบุคคลอื่น เคารพในคุณความดีของกันและกัน ยอมรับในกฏแห่งกรรมที่ทุกคนต้องเสวย ชีวิตที่เป็นไปในแต่ละวัน ที่เราได้เสวยอารมณ์ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างนี้ ถ้าพูดเป็นภาษาพระอภิธรรม ก็คือการเสวยกุศลวิบากและอกุศลวิบากของตัวเองแต่ละคนนั่นเอง


                    มีเมตตาและให้อภัยต่อกัน  สวรรค์จะเกิดขึ้นในหัวใจของเราทันที  จงพากันสร้างสมบุญบารมี บำเพ็ญศีล ให้ทาน  และภาวนาให้มากเข้าไว้  เพราะปีหน้าเราจะพบกับความทุกข์ยากลำบากมากกว่าปีนี้  ตามกฏแห่งกรรมของคนในชาติที่ทำมาร่วมกันถึงคราวจะส่งผล หากใครรักษาศีลบำเพ็ญบารมีไม่ประมาท สิ่งร้ายๆทั้งหลายจะผ่อนหนักเป็นเบา


                    อย่าถือสาความผิดความถูกต่อกันมากนัก  แต่จงมีความรักความเมตตาไว้นำหน้า ทุกคนต่างก็มีความทุกข์มีน้ำตานองหน้าและแอบร้องไห้ไม่ให้คนอื่นเห็นด้วยกันทั้งนั้น


                   ในท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งย่อมผ่านไป เหมือนทุกเรื่องราวนั่นเอง  อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดจนเกินไป  รักษาคุ้มครองใจด้วยความมีสติรู้สึกตัว อยู่กับกายและใจในขณะนี้ไว้เสมอ  นั่นแหละคือที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

 

                                                                                                             คุรุอตีศะ
                                                                                                     ๔  ธันวาคม  ๒๕๕๖