ไร้ความขัดแย้ง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ไร้ความขัดแย้ง
ธรรมชาติเดิมแท้ของสรรพสิ่ง ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าดีหรือเลวในตัวมันเอง ไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกับสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดแบ่งแยกจากสิ่งใด ความขัดแย้งทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ เพราะการให้ความหมายและจิตที่ยึดมั่นถือมั่นของมนุษย์ทั้งสิ้น
ต้นยางนาที่สูงตระหง่านอยู่กลางป่า ไม่เคยขัดแย้งกับต้นหว้าที่กำลังออกลูกให้นกมาจิกกิน หญ้าแพรกตามพื้นดิน ไม่เคยขัดแย้งกับดอกหญ้าที่เกิดอยู่ด้วยกัน เถาวัลย์ที่เกาะเกี่ยวไปตามต้นไม้ ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดมากไปกว่า การได้ขออาศัยกิ่งไม้พอให้ตนเองพอมีชีวิตในโลกนี้ได้ ไม่ได้ต้องการอำนาจหรือความเท่าเทียมใดๆ นี้คือการไร้ความขัดแย้งของธรรมชาติ
ธรรมชาติย่อมกลมกลืนและงดงามอยู่เสมอ มีแต่จิตของมนุษย์นี้ ที่คอยแบ่งแยกตนเองจากสรรพสิ่ง อัตตาคือความสำคัญตนว่าเป็นคนดี แล้วดูหมิ่นผู้อื่นว่าเลวกว่าตน ทำให้ผู้คนทะเลาะเบาะแว้งและแย่งชิงทะเลาะวิวาทกัน
ความดีที่แท้จริงนั้น คือความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไร้ความขัดแย้ง ไร้การแบ่งแยก มีความเคารพผู้อื่นและมองเห็นความสำคัญว่าผู้อื่นนั้นก็มีความดีไม่แพ้เรา เราไม่ได้เป็นคนดีเพียงคนเดียวในโลก ยังมีคนอีกมากมายที่มีความดีเช่นเดียวกับเราและที่ดียิ่งกว่าเราก็มีอีกมาก
ความขัดแย้งทั้งมวลเกิดจากมูลเหตุสำคัญ คือการถือว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี ส่วนคนอื่นเป็นคนชั่ว เกิดจากความยึดมั่นโดยเอาตนเองเป็นใหญ่ว่า ตัวเองเท่านั้นถูก ส่วนคนอื่นนั้นเป็นฝ่ายผิด ซึ่งในความเป็นจริงของชีวิต แต่ละคนนั้นก็ล้วนมีทั้งดีและเลวไม่แพ้กัน
ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคนนั้น ไม่ว่าใครและไม่ว่าระดับใด ล้วนต้องเคยผ่านการทำถูกและการทำผิดกันมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราให้อภัยและไม่ใส่ใจในความผิดของกันและกัน สนใจแต่ความดีและคุณประโยชน์เท่านั้น เราจึงมีความสบายใจ และอยู่ร่วมกันได้ด้วยความรักและความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดมา
อย่ามัวสนใจความผิดของกันและกันอยู่เลย เพราะตัวเรานั้นก็มีความผิดติดตัวกันมาแล้วทุกคนไม่ว่าใคร สุภาษิตจึงมีว่า "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" เพื่อเตือนสติพวกเราทั้งหลาย ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นต่อความถูกผิดของกันและกันมากเกินไป เพราะสุดท้ายเดี๋ยวเราก็ตายจากกันไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่วแค่ไหน
ไม่ได้บอกว่าเราทุกคนนั้นไม่ต้องทำความดีกันอีกแล้ว แต่หมายความว่าแม้หากเราจะดีเพียงใด ก็อย่าให้ความดีที่เรากระทำนั้น มาสร้างความสำคัญตัวว่าดีกว่าคนอื่น จนเกิดการดูหมิ่นแล้วขัดแย้งกันจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือสังคม ความดีเช่นนั้นจึงจะปลอดภัย
การที่จะเป็นคนดีที่แท้จริงและดีไปได้ตลอดนั้น ต้องไร้ความสำคัญตนว่าเราเป็นคนดี นั่นก็คือการมีสติตรวจสอบจิตของตนเองอยู่เสมอ ว่าขณะนี้มีกิเลสประเภทใดเกิดขึ้นในจิตใจของเราบ้าง การมีสติสำรวมระวังจิต โดยไม่มีความสำคัญตนว่าเป็นคนดี จะทำให้เป็นคนน่ารักและไม่เผลอไปยกตนข่มท่านอันทำให้กลายเป็นคนดีที่เสียคนได้ในภายหลัง
สรรพสิ่งนั้นไม่เคยสำคัญตนหรือให้ความหมายว่าตัวเองดีหรือชั่ว มีแต่จิตที่ประกอบด้วยตัณหาอุปาทานของมนุษย์เราเท่านั้น ที่คอยไปแบ่งแยกและให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ
แม้เพชรที่แพรวพราวส่องแสงจรัส ก็ยังมีฝุ่นและผงธุลีอยู่ในนั้น แม้ถังขยะที่น่ารังเกียจที่ถูกซุกไว้มุมห้องไม่มีใครอยากเหลียวมอง แต่ทุกบ้านก็ขาดถังขยะไม่ได้แม้สักหลังเดียว
แม้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมสักเพียงใด ก็ต้องมีความด่างพร้อยมีความชั่วติดตัวกันอยู่ทุกคน แม้บุคคลที่ใครๆพากันเกลียดกลัวว่าเป็นมหาโจร อย่างน้อยเขาก็ยังคือคนและรู้จักรักลูกรักเมียเหมือนกับเรา
นี้แหละคือความจริงหรือสัจธรรมของชีวิต ที่เราทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ในการได้มีโอกาสเกิดมาเห็นโลกใบนี้ รักกันเพียงใด ก็อย่าให้ถึงขั้นลุ่มหลงมัวเมา หากเกลียดแสนเกลียดใครเข้า ก็อย่าลืมว่าเขาก็ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และต้องมีความดีในตัวบ้างไม่มากก็น้อย
ขอให้เราพึงมีสติมองชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกใบนี้ ที่อีกไม่นานเราต่างก็จะต้องลาจากกันไปหมดแล้ว เราควรรักษาจิตรักษาใจของเราให้ผ่องแผ้ว รักกันเมตตากันไว้ดีกว่า เพราะว่าความขัดแย้งหรือความแบ่งแยกใดๆ ล้วนนำมาซึ่งความเสียใจมาให้อยู่เสมอ
ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งคือพลังอันยิ่งใหญ่และงดงามยิ่งของธรรมชาติ อย่าให้ใจดวงนี้ปฏิเสธหรือขัดแย้งต่อสิ่งใด ในที่สุดปัญหาทั้งหลายย่อมมลายไปเช่นเดียวกับเรื่องราวทั้งหลายที่ผ่านมา ไม่มีเหตุการณ์หรือเรื่องราวใดเกิดได้อยู่นาน เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว
คลื่นของชีวิตผ่านมาลูกแล้วลูกเล่า ในที่สุดก็จางคลายและดับไป เพียงเราไร้ความขัดแย้งและไม่ปฏิเสธสิ่งใด สุดท้ายทุกอย่างย่อมคลี่คลายในตัวมันเองเสมอตามกฏแห่งอนิจจัง
จงอยู่กับลมหายใจขณะนี้และมีชีวิตอยู่กับขณะนี้ แล้วโลกทั้งใบจะไร้ความขัดแย้งใดๆในหัวใจของเราทันที
คุรุอตีศะ
๑ ธันวาคม ๒๕๕๖