นิ้วที่พยายามชี้ให้เห็นดวงจันทร์

นิ้วที่พยายามชี้ให้เห็นดวงจันทร์

 


            โดยธรรมชาติของผู้ที่มีคุณธรรมจริงแล้ว  ท่านย่อมไม่แสดงตัวให้ใครๆรู้ว่าท่านเองมีคุณธรรม เพราะการพยายามที่จะให้คนอื่นมองว่าตนเองเป็นคนดีมีคุณธรรมนั้น ย่อมเป็นวิสัยของปุถุชนที่ต้องการให้คนยกย่องและเคารพบูชาสรรเสริญ แต่ท่านผู้มีคุณธรรมท่านย่อมมีความละอายใจอย่างยิ่งที่จะแสดงความโอ้อวดตนเช่นนั้น  นี้คือความต่างกันของผู้มีคุณธรรมภายในกับปุถุชนคนทั่วไป

 
          การพยายามโอ้อวดหรือแสดงตัวว่าเป็นคนมีคุณธรรม ย่อมเกิดจากจิตส่วนลึกเพื่อให้คนนิยมยกย่อง  แต่ผู้ที่มีคุณธรรมจริงท่านกลับไม่ต้องการความนิยมยกย่องอันเป็นของไม่เป็นแก่นสาร เปรียบเหมือนคนมีเพชรอยู่ในครอบครอง  ไม่จำเป็นอะไรต้องให้ใครเอาสินบนเพียงหนึ่งร้อยบาทมาให้ตน


          สิ่งเหล่านี้เราจะพบได้บ่อยๆว่า เมื่อเราได้อยู่ใกล้ผู้ที่มีคุณธรรมภายในหรือครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูงๆ  หลายคนอาจจะรู้สึกท่านช่างแสนธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรพิเศษอย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้เลย  หลายคนที่เคยเข้าใกล้ครูบาอาจารย์เช่นนี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และมีความอวดดี อาจนึกปรามาสดูหมิ่นท่านอยู่ในใจ  อันทำให้เป็นสิ่งขวางกั้นอริยมรรคภายในให้ชะงักงัน บำเพ็ญภาวนาอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า  ทั้งนี้ก็เพราะว่าไปลบหลู่ดูหมิ่นคุณธรรมภายในของท่าน


          ส่วนผู้ที่มีความเจียมตนอยู่เสมอนั้น บางคนนั้นตอนแรกเหมือนไม่ได้ปฏิบัติอะไร กลับซึมซับเอาคุณธรรมจากท่านทีละน้อย ในที่สุดคุณธรรมนั้นก็ค่อยๆไหลหลั่งสู่หัวใจและชีวิตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

 

          ปุถุชนนั้นมักย่อมโอ้อวดว่าตนเองมีคุณธรรม และพากเพียรพยายามให้ใครๆรู้ว่าตนเองนั้นมีคุณธรรมยิ่งกว่าใคร  แต่พระอริยเจ้าท่านกลับไม่รู้สึกว่าท่านมีคุณธรรมอะไร  เพราะมีแต่กายกับใจที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครดีหรือเลวอย่างแท้จริง  ด้วยท่านมองโลกนี้อย่างไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด  ใครจะว่าท่านดีหรือเลวก็ได้ทั้งนั้น  ท่านเลยไม่ต้องการให้ใครมาสรรเสริญเยินยอท่านว่ามีคุณธรรมอะไร  ยิ่งมีคุณธรรมสูงเพียงใด กลับยิ่งเป็นคนธรรมดามากเพียงนั้น


           ด้วยเหตุนี้ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ท่านจึงกำหนดไว้ว่าต้องบวช  เพราะมิฉะนั้นปุถุชนจะล่วงเกินท่านแล้วเป็นบาปกรรมมากแก่เขา ยิ่งถ้าเป็นคู่ครองหรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรือคนใกล้ชิดด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสลบหลู่ดูหมิ่นเป็นบาปได้มากกว่าคนอื่น


          ท่านจึงกล่าวไว้มาแต่โบราณว่า "ผ้ากาสาวพัสตร์ คือธงชัยของพระอรหันต์" อันหมายความว่า ผ้าเหลืองหรือจีวรนั้น คือเครื่องแบบของพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้านั่นเอง  คนโบราณท่านจึงสอนลูกหลานไว้อย่างแยบคายว่า "ให้กราบผ้าเหลือง" คือแม้พระรูปนั้นจะทุศีลและตนก็รู้  แต่ท่านก็ยังกราบผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นเครื่องแบบของพระอรหันต์ไว้เสมอ


           ในพระคัมภีร์ท่านกล่าวไว้ว่า หากให้ปุถุชนมาครองผ้าเหลืองแล้วสำรวมระวังตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด  คนภายนอกจะแยกไม่ออกว่าบุคคลนั้นเป็นเพียงปุถุชนหรือพระอรหันต์


           ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้ตนเองเผลอไปประมาทลาดพลั้งล่วงเกินพระอรหันต์เข้า ท่านจึงต้อง "กราบผ้ากาสาวพัสตร์"ไว้ก่อนแม้เพียงแต่แรกเห็น เพราะอย่างน้อยตนเองก็ยังได้มีโอกาสเห็นธงชัยของพระอรหันต์  แต่ไม่อาจเอื้อมหรือบังอาจไปคอยตัดสินว่าท่านใดเป็นพระอรหันต์ซึ่งเกินวิสัยของตน

 
            หากพระภิกษุรูปนั้นยังเป็นปุถุชน ท่านก็จะเกิดกำลังใจ แล้วพากเพียรประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ดวงจิตสิ้นจากราคะ โทสะ โมหะ ให้สมกับที่ญาติโยมพากันกราบไหว้ ได้เป็นพระอริยบุคคลในศาสนา

 

            หากว่าองค์ใดท่านสิ้นกิเลสสมดังอุดมเพศที่ท่านครองผ้ากาสาวพัสตร์  ท่านก็เป็นเนื้อนาบุญอันสูงสุดที่มนุษย์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสสร้างบุญบารมี นับเป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับพวกเขา


            หลังจากที่ท่านเข้าถึงสัจธรรม บางท่านบางองค์นั้นท่านก็นิ่งเฉย  ไม่เทศน์ไม่สอนอะไรใครก็มี หากเป็นกรณีนี้ ยิ่งเป็นการยากขึ้นไปอีกที่ใครจะไปล่วงรู้ว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว  พระที่ท่านเป็นอย่างนี้ก็มีอยู่มากแม้ในเวลาปัจจุบัน  ทั้งนี้ก็เพราะท่านไม่มีความเดือดร้อนดิ้นรนที่จะเป็นครูบาอาจารย์ของใคร และก็ไม่รู้จะมีลูกศิษย์ไปทำไมให้เป็นภาระ ซึ่งหากเราไปถามท่านที่มีลูกศิษย์มากๆท่านก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน  เพราะท่านที่ทรงภูมิธรรมที่แท้จริงนั้น ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่าโก้อะไรที่มีลูกศิษย์มากมาย

 

             พระที่ท่านบรรลุธรรมแล้วที่ไม่มีลูกศิษย์นี้ ท่านก็ช่วยโลกโดยพลังเมตตาของท่านโดยปุถุชนไม่มีโอกาสล่วงรู้  พระเช่นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทรงอภิญญา ท่านจึงไม่ปรารถนาจะยุ่งเกี่ยวกับผู้คนเท่าใดนัก  แต่ท่านก็จะคอยปกป้องเกื้อหนุนพระผู้ที่มีภาระต้องช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ในเมือง

 

             สำหรับท่านที่ทรงภูมิธรรมระดับใดระดับหนึ่ง  หากมีใครที่ท่านมองเห็นพอจะเกื้อกูลได้ ท่านก็จะอนุเคราะห์เกื้อกูลไปตามฐานะของท่าน  สิ่งที่สำคัญ บางองค์บางท่านแม้มีภูมิธรรมถึงขั้นพระอรหันต์ ท่านอาจสอนผู้คนให้หมั่นให้ทาน รักษาศีล เพียงเท่านั้นก็ได้ โดยไม่ได้สอนสมาธิสอนภาวนาอะไร  ผุู้คนทั้งหลายอาจพากันเข้าใจว่าท่านเป็นพระปุถุชนธรรมดา แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นพระปุถุชนอย่างที่คนเขาว่า ท่านว่าก็สบายดีเหมือนกัน เพราะถ้าเขาลือกันว่าเป็นพระอรหันต์ พวกเขาก็จะพากันแห่แหนไปกราบไหว้ แล้วเวลากวาดใบไม้ เวลาที่เคยนั่งดูนกกา ดูกระรอกกระแตก็จะไม่มีอีก


             พระอรหันต์หรือพระอริยบุคคลที่ท่านทรงภูมิธรรมแล้ว  ที่ท่านจะมีโอกาสอบรมสั่งสอนใครได้ ต้องมีบริวารรองรับ เหมือนการจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องมีผู้ที่เป็นอำมาตย์เสนาบดีและตำแหน่งต่างๆคอยเกื้อหนุนจึงจะปกครองบ้านเมืองได้ ดังนั้น หากท่านใดท่านเกิดมามิใช่เพียงแค่มาปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรมเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมี "สัมภารธรรม" ในการเกื้อกูลผู้อื่นด้วย  ก็จะต้องมีบริวารเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ต่างๆตามบุญบารมีของแต่ละคน ดังที่เราได้เห็นในสำนักของครูบาอาจารย์ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงต่างๆ


            ความจริงแล้ว ตามวิสัยของท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านไม่อยากสอนใครและไม่อยากเป็นครูบาอาจารย์ของใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเรายากจะเข้าใจในความรู้สึกนี้ของท่าน  แต่บางท่านก็พยายามสอนไปตามเท่าที่จะพอกระทำได้  บางองค์ท่านไม่รู้จะสอนคนๆนั้นด้วยคำพูดคำใด เพราะแม้พูดแม้อธิบายออกไป เจ้าคนนั้นก็ไม่มีวันเข้าใจ  เลยพานั่งหลับตาดีกว่า แล้วท่านก็พูดว่า "ให้ปฏิบัติไป เดี๋ยวก็รู้เอง"


           การแสดงธรรมหรือวิธีปฏิบัติ เป็นเพียง "นิ้วที่พยายามชี้ให้เห็นดวงจันทร์" ซึ่งพวกเรานั้นมีหน้าที่เพียงมองตามจนกว่าจะมองเห็น  ครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านได้รู้ได้เห็นได้ประจักษ์ในสิ่งเดียวกัน  เพราะสัจธรรมนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสอง มีแต่ลูกศิษย์ของท่านเหล่านั้นที่ยังมองไม่พบดวงจันทร์  ที่อาจยังทะเลาะกันไปตามประสานิสัยที่มักยกตนข่มท่านเพื่อแสดงความเหนือกว่า หรือไม่ก็พยายามแสดงว่าอาจารย์ของเธอไม่เก่งเท่าอาจารย์ของฉัน  แต่สำหรับผู้ที่ท่านพบและมองเห็นพระจันทร์แล้วนั้น  ท่านก็ได้แต่เงียบกริบอีกเหมือนกัน เพราะพูดอะไรก็ไม่ได้ ไม่รู้จะพูดคำไหน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เลยไม่รู้จะไปทะเลาะอะไรกับใครและทำไม


             การฟังธรรมและการปฏิบัติธรรมทั้งมวลนั้น แท้จริงแล้วก็คือ วิธีการของครูบาอาจารย์แต่ละองค์แต่ละท่าน ที่พากเพียรพยายามจะให้ลูกศิษย์ของตนมองดวงจันทร์ให้พบ แต่ตัวสัจธรรมอันแท้จริงนั้น อยู่เลยพ้นวิสัยของนิ้วมือที่ท่านพยายามชี้ให้มอง


           ความพากเพียรและความเมตตาของครูบาอาจารย์ที่เราทั้งหลายต้องกราบไหว้บูชา ก็เพราะว่าท่านพยายามถ่ายทอดและชี้นิ้วให้พวกเราเงยหน้าขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้มองเห็นว่า พระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางฟากฟ้านั้นช่างงดงามเพียงใด

 

                                                                                                    คุรุอตีศะ

                                                                                          ๒๕  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖