หากแม้นย้อนคืนวันวานได้
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
หากแม้นย้อนคืนวันวานได้
หลายคนเมื่อย้อนคิดทบทวนไปในอดีต อดคิดไม่ได้ว่า หากย้อนคืนวันเวลาที่ผ่านมาได้ เราจะไม่ทำบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำไว้ในครั้งกระโน้น
หลายสิ่งเรารู้สึกว่าเราได้เลือกและตัดสินใจผิด หากเรารู้และเข้าใจชีวิตเหมือนอย่างวันนี้ เราจะไม่ทำในเรื่องนั้นเลย แต่วันเวลาของชีวิตก็ผ่านเลยมามากแล้ว ไม่อาจย้อนกลับคืนไปเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่เป็นอดีตเหล่านั้นได้
นี้คือเบื้องหลังของความไม่สบายใจ ที่ผู้คนทั้งหลายล้วนครุ่นคิดอยู่โดยลำพัง ไม่มีใครรู้กับเรา แม้พ่อแม่ของเรา แม้สามีหรือภรรยาของเรา แม้ลูกหลานของเรา แม้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเรา
เราหม่นหมองและเสียใจอยู่ลึกๆคนเดียวเสมอ โดยไม่มีใครอาจมารับรู้กับเราด้วย แม้บางครั้งเราอยู่ท่ามกลางผู้คนแท้ๆ แต่หัวใจของเราก็เหงาและว้าเหว่ได้ เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นเช่นนั้น
วันเวลาที่ผ่านมาในอดีต ไม่สามารถย้อนคืนได้ ดังคำตรัสของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นนาถะของชาวโลกที่ทรงพร่ำสอนเราอยู่เสมอ และมีบทสวดที่มักนำมาสวดกันอยู่บทหนึ่งซึ่งมีใจความว่า..
“บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งที่เป็นอดีตก็ละไปแล้ว สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังไม่มา ผู้ใดมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันในขณะนี้ไม่หวั่นไหวคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้บ่อยๆ
ความเพียรในการเจริญสติเพื่อรู้แจ้งสัจธรรม เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงทำเสียในวันนี้ เพราะใครจะไปรู้ว่าความตายอาจจะมาถึงเราพรุ่งนี้ก็ได้ การที่จะขอผ่อนปรนผัดเพี้ยนต่อพญามัจจุราชเจ้าแห่งความตาย ผู้มีเสนาบริวารมาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา
บุคคลใดที่มีความเพียรในการเจริญสติสมาธิภาวนาทั้งกลางวันและกลางคืน พระตถาคตกล่าวเรียกบุคคลนั้นว่า “เป็นผู้มีชีวิตอยู่แม้เพียงวันเดียวก็คุ้มค่าและน่าสรรเสริญยิ่งนัก”..ดังนี้”
นี้คือบทสวดพระคาถาซึ่งท่านพระมหากัจจายนะท่านสวดด้วยเสียงอันไพเราะณ ค่ำคืนหนึ่งเมื่อตอนที่ท่านมาพักที่กุฏิใกล้พระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงได้ยิน ถึงกับทรงนิ่งฟังด้วยความประทับใจและออกพระโอษฐ์ชื่นชม จึงได้ตั้งพระมหากัจจายนะไว้ในฐานะพระภิกษุสาวกผู้เป็นเอตะทัคคะทางด้าน “ผู้แสดงธรรมด้วยความไพเราะ” ซึ่งเลิศกว่าพระสาวกทั้งปวงในพระศาสนาของพระองค์
พระมหากัจจายนะ ชีวิตในอดีตท่านเป็นมหาเสนาบดีของพระเจ้าจัณฑปัชโชต เมื่อได้ฟังธรรมและบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านจึงออกบวช คนที่มีอดีตเคยเป็นใหญ่ถึงเพียงนั้น เมื่อออกบวชใหม่ๆใจย่อมหวนคิดไปในอดีตหนหลังด้วยเรื่องราวมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้จิตใจของท่านร่มเย็นและมั่นคงอยู่ได้ก็คือ “การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันในขณะนี้” นั่นเอง
ต่อมาเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวง ในด้านการแสดงธรรมด้วยความไพเราะ จึงได้ประกาศศาสนาและเป็นที่พึ่งของผู้คนอย่างมากมาย มีความสุขและยิ่งใหญ่กว่าการเป็นมหาเสนาบดีอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้
เราต่างมีเรื่องราวในหนหลัง และล้วนมีเรื่องฝังใจกันอยู่ทุกคน ความหลังฝังใจเหล่านี้ที่คอยรบกวนใจของเราบ่อยๆเมื่อจิตคิดไปในอดีต และเรื่องราวที่ผ่านมาส่วนใหญ่ มักมีแต่เรื่องเสียใจมากกว่าดีใจ ดังนั้น เมื่อคิดถึงครั้งใด ใจของเราจึงเศร้าหมองและขุนมัวเป็นธรรมดา
หลักของการปฏิบัติธรรม ท่านจึงสอนและเน้นว่า “ให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะนี้” เพราะหากเอาใจคิดไปในอดีต เราก็มักหม่นหมองเศร้าใจ เอาใจไปคิดเรื่องวันพรุ่งนี้หรืออนาคต ใจก็หวั่นไหวกระวนกระวาย หากจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสบายใจ จึงต้องมีชีวิตอยู่กับ “ขณะนี้” เป็นสำคัญ
เพราะเหตุนี้นี่แหละ ท่านจึงพยายามพร่ำสอนพวกเราว่า “ให้หมั่นภาวนา” ความหมายก็คือว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน ให้มีสติอยู่กับชีวิตที่เป็นจริงในขณะนี้ เพื่อใจจะได้ไม่ไหลไปคิดเรื่องในอดีต ไม่วิตกกังวลไปในเรื่องอนาคต อันจะทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว เพราะใจของปุถุชนนั้น แม้ว่าจะนั่งอยู่ในห้องแอร์หรือบนตึกสูง ๓๐ ชั้น จิตนั้นก็ไม่สบายและกระวนกระวายได้เสมอ
แต่หากมามีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ ขณะนี้ ความสงบก็เกิดขึ้นทันที ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงควรถือเป็นหน้าที่ว่า “ชีวิตนี้เราจะหมั่นภาวนา” เพราะว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่เราทั้งหลายไขว่คว้าแสวงหาความสุขอยู่นั้น แท้จริงแล้ว “สุขอื่นที่นอกจากความสงบแล้ว ย่อมไม่มี”
เราทุกคนไม่ว่าใคร ล้วนตกอยู่ฐานะเดียวกันอย่างหนึ่งว่า คือเราไม่อาจย้อนวันวานให้หวนคืน หากย้อนคืนได้ เราทุกคนคงกลับไปแก้ไขเรื่องราวที่ผ่านมาให้เป็นดังใจกันทุกคน
ดังนั้น เมื่อวันเวลาที่ผ่านมา ทุกสิ่งได้ผ่านไปแล้ว เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไป ไม่มีวันย้อนคืนอีก ชีวิตคนเราก็เช่นนั้น อย่ามัวจมอยู่กับอดีตและความหลัง จงตั้งต้นทำความดีและสร้างบุญกุศลตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องสนใจอดีตที่ผ่านมา ว่าเราทำผิดทำพลาดมามากน้อยเพียงใด เพราะชีวิตที่มีอยู่จริงก็คือวันนี้และขณะนี้
ไม่ต้องโหยหาคร่ำครวญหรือคิดย้อนคืนวันวานในอดีตอีกแล้ว แต่จงมองโลกอันสดใส และเริ่มต้นของวันใหม่ด้วยหัวใจที่สดใหม่ตั้งแต่วันนี้ นี้คือความจริงและเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบฉวยได้จริง
มีความสุขไปกับวันนี้ แม้ว่าอดีตจะเป็นมาอย่างไร ปล่อยใจให้รับรู้และสัมผัสกับความสงบ ตระหนักรู้อยู่เสมอถึงสัจธรรมของชีวิต ไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง จงอยู่กับชีวิตขณะนี้ ที่ตรงนี้ เหมือนอย่างท่านพระมหากัจจายนะท่านเคยทำมาแล้วและสอนพวกเรา
อดีตเป็นเพียงความทรงจำ อนาคตก็เป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ปัจจุบันนี้ต่างหากคือชีวิตจริงของเรา
คุรุอตีศะ
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖