นี้ใช่ความรักหรือเพียงการเมือง

นี้ใช่ความรักหรือเพียงการเมือง

 

                 โดยทั่วไปเรามักสรุปกันง่ายๆว่า  หากหญิงชายมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาวหรือได้แต่งงานกัน  ทั้งสองนั้นได้พบกับความรักแล้ว  เรามักพลาดกับการตระหนักรู้ในความละเอียดอ่อนและงดงามของความรัก  ดังนั้นคู่สามีภรรยาหรือคู่รักทั้งหลายจึงประสบปัญหาความไม่เข้าใจกัน  เพราะบางครั้งเราคิดว่าเรามีความรัก  แต่แท้ที่จริงเราอาจทำตัวเป็น “นักการเมือง” หรือกำลัง “เล่นการเมือง”กับคนที่เรารักอยู่ก็ได้

 

               การเล่นการเมืองกับคนที่เรารัก หรือการทำตัวเป็นนักการเมืองในเรื่องของความรัก ก็คือ  การที่เรามีเงื่อนไขหรือมีการต่อรองถึงผลได้ผลเสียในความสัมพันธ์กับคนที่เราคิดว่ารักเขา  แล้วเราก็คอยสงวนตัวเพื่อความอยู่รอดหรือคอยรักษาผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ลึกๆ   เราจึงทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองหรือเรียกร้องอะไรต่างๆจากอีกฝ่ายหนึ่ง  โดยคำนึงถึงความสุขของตัวเองเป็นหลัก

 

             ส่วนความรักมิใช่อย่างนั้น! เพราะความรักคือการที่ใจของเรารู้สึกว่าบุรุษหรือสตรีที่เรามอบใจให้นั้น เขาหรือเธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เรารู้สึกว่าจะขาดเขาไม่ได้  หากขาดเขาแล้วเราจะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีความหมายและชีวิตของเราย่อมขาดความสมบูรณ์  ความรักจึงเป็นเรื่องของหัวใจที่ปราศจากเงื่อนไขใดๆ  ขอเพียงให้เขาได้รับรู้ว่าเรารักเขา เราก็มีความสุขแล้ว

 

             คนที่ไม่เคย “ตกหลุมรัก”ใครมาก่อน  จะไม่เคยรู้จักความรัก  จะเห็นได้ว่าเราใช้คำว่า “ตกหลุมรัก” เพราะไม่ได้เจตนามาก่อน  แต่จู่ๆก็เดินตกลงไป  ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน  ไม่มีเหตุผล และไม่สนใจใครจะคิดอะไรทั้งนั้น  คนที่มีความรักจึงไม่ต้องการเหตุผลใดๆจากใคร  ขอเพียงได้อยู่ใกล้คนที่เขารักก็พอแล้ว  นี้คือใจที่ “ไร้ความสำคัญตน” ในขณะนั้น  เป็นใจที่ยกคนที่เรารักให้เป็นสิ่งที่สูงส่งและเทิดทูนอยู่ลึกๆ  คนที่มีความรักจึงมีความสุขที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้  ความรักคือสิ่งที่มาทำให้เรารับรู้รสของความสุขจากจิตที่มี “ความไร้อัตตา” อันเป็นจิตที่ไม่มีความสำคัญตน  คนมีความรักจึงมีความสุข  เพราะไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอีก

 

            ใจที่ยกคนอื่นว่าสูงค่ากว่าความเป็นตัวเองนั่นแหละคือหัวใจที่รู้จักความรักแล้ว  ดังนั้นคนที่เคยอกหักจึงได้เปรียบคนอื่น เพราะอย่างน้อยตนเองก็เคยได้สัมผัสกับความรักขึ้นมาแวบหนึ่งแม้จะแสนสั้นชั่วสายฟ้าแลบก็ตาม  จึงควรที่จะภูมิใจมากว่าจะเสียใจหรือเอาแต่คร่ำครวญ

 

            ก่อนตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัว  ผู้ชายควรจะเคยตกหลุมรักหรืออกหักมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง มิฉะนั้นเขาอาจจะยังทำตัวเป็นนักการเมืองกับคนที่เป็นภรรยา  เพราะความสำคัญตนหรือความหลงภูมิใจว่าตนเป็นคนดีหรือคนประเสริฐยังไม่ถูกทำลายไป และเมื่อเกิดเป็นลูกผู้ชาย  ไม่ควรกลัวการอกหักจึงจะถูก

 

             ผู้ชายที่จะรักผู้หญิงอย่างแท้จริงนั้น  จิตจะต้องได้รับการพัฒนาหรือถูกบ่มเสียก่อน จาก”คนดิบกลายเป็นสุก”ตามคำของโบราณ จนกระทั่งใจละเอียดอ่อนพอที่จะไม่มองเห็นคุณค่าของผู้หญิงเพียงรูปร่างหน้าตาหรือเป็นวัตถุทางกามารมณ์ ผู้ชายที่มีความรักจะมีความรู้สึกเทิดทูนผู้หญิงที่ตนรักว่าคือสิ่งอันสูงค่าของชีวิต นี้ก็คือคุณสมบัติที่สำคัญข้อหนึ่งที่ผู้หญิงใช้เป็นหลักการในการพิสูจน์ความรักของผู้ชายว่ารักเธอจริงหรือไม่  หากผู้ชายแสดงออกถึงการเสียสละ กล้าหาญฟันฝ่าอุปสรรคเข้ามาได้ จนกระทั่งเธอยอมตกลงปลงใจ นั่นจึงจะทำให้เธอเชื่อใจว่าผู้ชายนั้นรักเธอ

 

            หากผู้ชายคนใดไม่เคยแสดงความเสียสละกล้าหาญหรือความบากบั่นเสียก่อน  ในอันที่จะได้เธอมาครอบครอง  ผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้รับการเห็นอกเห็นใจและไม่ได้รับการเคารพบูชาจากฝ่ายหญิง  บางคู่นั้นแม้ว่าจะมาเป็นสามีภรรยากันแล้ว  ผู้หญิงก็จะรู้สึกดูหมิ่นอยู่ในใจลึกๆว่าที่ได้เธอมานั้นไม่ได้มีความกล้าหาญเสียสละที่สมกับ “ความเป็นลูกผู้ชาย” นี้คือเรื่องซับซ้อนในหัวใจที่เป็นพื้นฐานของชีวิตรักและปัญหาครอบครัว

 

            ผู้ชายบางคนที่เป็นคนดี  หลายคนก็พลาดในเรื่องนี้  คือไปสรุปเอาเข้าข้างตัวเองคนเดียวว่า ที่ผู้หญิงมาใช้ชีวิตคู่หรือแต่งงานมาอยู่กันฉันสามีภรรยานั้น  ก็เพราะความเป็นคนดีของตน  ความเป็นคนดีที่สามารถชนะใจอีกฝ่ายหนึ่งได้ แท้จริงแล้วย่อมใช้ได้เฉพาะสตรีต่างหาก  แต่สำหรับบุรุษนั้น  การจะชนะใจสตรีได้ เพียงการเป็นคนดีอย่างเดียวยังไม่พอ  ต้องมีความกล้าหาญเสียสละทุ่มเทให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย จึงจะชนะใจของสตรีได้  สตรีทั้งหลายไม่ว่ายุคโบราณหรือยุคนี้  ในใจของเธอแล้วย่อมต้องการบุรุษที่องอาจกล้าหาญยิ่งกว่าเธอ

 

            นี้คือสิ่งหนึ่งที่เป็นคำตอบว่า เหตุใดสตรีบางคนที่เคยประพฤติตัวดี อยู่ในกรอบประเพณีมาก่อน จึงไปรักและมอบกายและใจให้บุรุษที่ได้ชื่อว่าเกเร  ทำไมเธอจึงไม่รักผู้ชายที่ใครๆว่าเป็นคนดี  คำตอบก็คือ เพราะคนดีมัวแต่รักตัวสงวนตัว กลัวแต่ผู้หญิงจะว่าตนไม่ดีหรือกลัวแต่ผู้หญิงจะไม่รักหรือรังเกียจ  แต่ผู้ชายที่เกเรนั้นเขาไม่มีอะไรจะต้องเสีย เพราะชื่อเสียงของเขาไม่เหลือว่าเป็นคนดีอีก  เขาจึงทุ่มเททุกอย่างเต็มที่ไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว  ความกล้าหาญ กล้าได้กล้าเสีย กล้าเสียสละทุ่มเทจิตใจของเขา  จึงได้รับความเห็นอกเห็นใจและได้รับความรักความจริงใจจากสตรี  เพราะผู้หญิงที่ดีนั้นมักมีใจดีมีเมตตาเป็นพื้นของจิตอยู่แล้ว คนภายนอกจึงมองไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงไม่รักผู้ชายที่ดี ทำไมจึงไปรักคนมีประวัติไม่ดีมาก่อนแบบนั้น  จริงๆแล้วเธอก็รักความเป็นคนดีในตัวเขานั่นเอง  ต่อมาผู้ชายคนนั้นเมื่อได้รับความรักที่แท้จริงจากสตรีที่เขารักซึ่งเขาไม่เคยได้รับมาก่อน  เขาก็เปลี่ยนความประพฤติมาเป็นคนดีมีศีลธรรมในภายหลัง  ดังจะเห็นตัวอย่างมากมายในสังคม

 

           ผู้ชายที่เขามีความรักจริงในหัวใจของเขา จะมีทั้งความรัก มีทั้งความองอาจกล้าหาญอยู่ในตัว นั่นคือความเป็นลูกผู้ชายในตัวของเขาได้ผลิบานออกมาอย่างสมบูรณ์  มีเพลงของชรินทร์  นันทนาคร อยู่เพลงหนึ่งที่นักกวีผู้ประพันธ์เพลงได้สะท้อนหัวใจของผู้ชายที่มีความรักแท้ต่อสตรีที่เขารัก ที่อาจยกเอามาเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้  เพลงนั้นก็คือเพลง “รักแท้” ที่มีคำร้องในท่อนแรกว่า...

 

           “...ขอรักเธอ รักเธอคนเดียว  หญิงใดไม่ปองข้องเกี่ยว  รักน้องคนเดียวพี่ขอสัญญา เอาเกียรติประกัน  ไม่ขอสาบาน  ไม่อ้างดินฟ้า  ไม่วอนเทพไท้เทวา  ขอเอาสัจจาเป็นหลักประกัน....” นี้คือการถ่ายทอดหัวใจของผู้ชายที่มีความรักและความเป็นลูกผู้ชายในตัวของเขาที่ผลิบานอย่างเต็มที่  ความรักเช่นนี้แหละที่จะเป็นความรักที่ก้าวขึ้นสู่พลังสร้างสรรค์และมีใจเสียสละต่อสังคมหรือผู้อื่นต่อไป

 

             ส่วนผู้หญิงถ้าจะดูว่าใจของเรานั้นมีความรักแท้ให้ผู้ชายระดับไหน  ต้องไปฟังเพลง “คนสุดท้าย” ของผ่องศรี  วรนุช  นั่นแหละที่จะพอเทียบเคียงได้ว่าเป็นความรักแท้  มิใช่เพียงการเมือง เนื้อเพลงมีอยู่ว่า...

 

            “...ฉันจะรักคุณเป็นคนสุดท้าย  คุณจะดีจะร้าย ก็จะหมายรักคุณแน่นอน  ใครเขาจะลือว่าคุณคือผู้ชายกะล่อน  ไม่มีที่ซุกหัวนอน  พเนจรหมอนหมิ่นเซซุน

                 ฉันจะรักคุณคนเดียวเท่านั้น  ดูเถิดดูใจฉันไม่เคยฝันถึงใครเท่าคุณ  ใครเขาประณามต่างเหยียดหยามเหมือนดังเป็นหุ่น  ยิ่งฟังยิ่งสงสารคุณ  ขอการุณเมตตาคุณเอง

                โปรดจงเห็นดวงใจฉันเถิด รักคุณสุดแสนเลอเลิศ แสนประเสริฐขออย่าได้เกรง  ขอให้ฉันเห็น  คุณเป็นยอดชายคนเก่ง  พึ่งลำแข้งของตัวเอง ไม่หวั่นเกรงทุกข์ยากอันใด.....

                ฉันจะรักคุณเป็นคนสุดท้าย  คุณจะดีจะร้าย ก็จะหมายรักคุณเรื่อยไป  ความรักที่ฉันมอบคุณนั้นเหนือรำพันได้ ขาดคุณก็เหมือนขาดใจ  ขอพลีกายใจให้คุณครอง..”

 

                  นี้คือเพลงที่กวีถ่ายทอดความงดงามในหัวใจออกมา  กวีจึงมีคุณค่าต่อโลกอย่างมาก เพราะเราเองไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้  แต่กวีนั้นทำได้  กวีนั้นใจละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ประตูแห่งสัจจะแต่ยังเดินเข้าไปไม่ได้ เพราะติดบ่วงอำนาจความรัดรึงของความรักและความงาม  ส่วนพระอริยะหรือผู้ทรงปัญญา คือผู้ที่เดินเข้าไปในประตูจนไปถึงแท่นบูชาแห่งโบสถ์วิหารได้

 

                  หัวใจความรักแท้ของผู้ชายแบบ “เพลงรักแท้”ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้น หากเกิดขึ้นแก่ใคร  ย่อมมีอานุภาพเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ อันทำให้ลูกทาสคนหนึ่ง พัฒนาชีวิตของตนเองจนเป็น “พระยารัตนอรรถชัย” ต่อมาได้ ดังที่เคยยกตัวอย่างมาแล้ว

 

                 หัวใจรักแท้ของสตรีแบบ “เพลงคนสุดท้าย” หากเกิดขึ้นแก่สตรีคนใด  ย่อมทำให้มีพลังอันยิ่งใหญ่ในการฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวง จนสามารถสร้างชีวิตและอนาคตของผู้ชายที่เธอรักที่แต่เดิมแม้ต่ำต้อยเพียงใด ให้กลายเป็นพญาราชสีห์ในเวลาต่อมาได้  ดุจ “คุณหญิงน้ำทิพย์”ได้กระทำมาแล้ว

 

                เราส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากหลุดพ้นหรือยากไปนิพพานกันแท้จริงหรอก  แท้จริงแล้วเราต้องการความรักมากกว่า  ดังนั้นจึงไม่ควรดูหมิ่นความรักว่า  จะทำอย่างไรก็ได้  เพราะเมื่อใดใจยังไม่สลดสังเวชเห็นทุกข์โทษในวัฏฏสงสารอย่างแท้จริง  การปฏิบัติธรรมในชีวิตความเป็นจริงของพวกเรา  จึงคือการพัฒนาใจตนเองให้เข้าถึง “ความรักแท้” ไว้ก่อนเป็นพื้นฐาน  จากนั้นจึงค่อยพัฒนาไปสู่ “ความรักแห่งพุทธะ”อันเป็นความรักของพระอริยะต่อไป  แล้วชีวิตของเราจะมีความสุขและอบอุ่นใจไม่ต้องว้าเหว่อีก นี้คือจุดมุ่งหมายที่พูดถึงเรื่องนี้

 

                 คงไม่ลืมที่เคยกล่าวไว้ว่า “ความไร้เดียงสา คือพื้นฐานของจิตสู่ความเป็นอริยะ” นั่นก็คือ เมื่อจะรักใคร ต้องมีหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก อย่าไปใช้การเมืองในความรัก มิฉะนั้นเราจะไม่มีโอกาสสัมผัสความรักตลอดชีวิตนี้  การคอยแต่สงวนตัวรักษาตนเป็นคนดี  ย่อมใช้ได้เฉพาะตอนที่เรายังไม่รักใครจริงเท่านั้น

 

                  เพราะเหตุดังกล่าว ในใจผู้หญิงที่มีความซื่อและจริงใจจึงมักพิชิตหัวใจของจอมเจ้าชู้จนมาหยุดที่ตนเป็นคนสุดท้ายได้  ก็เพราะความซื่อของเธอที่ทำให้ผู้ชายเกิดความสงสารจับใจที่ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา  เขาจึงพ่ายแพ้ต่อความดีของเธอ  ผู้ชายเจ้าชู้ส่วนใหญ่ที่ต้องมาตกม้าตายอย่างที่ใครๆไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ก็เพราะมาจำนนกับผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องสงสารเธอนี้เอง  แต่คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้

 

                  ถามตัวเองดูว่า ที่ว่าเรารักเขาอยู่ทุกวันนี้  “นี้เป็นความรักหรือเพียงการเมือง” หากเป็นการเมืองก็คือเราคบเขาหรืออยู่กับเขาเพื่อหวังผลประโยชน์จากเขา กระแสจิตของเราจึงขาดความสะอาดและขาดความงดงาม  ความรักจึงไม่ลงตัว  ปัญหาที่มีอยู่มากมายอาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่าง “เล่นการเมือง”มาช้านาน

 

                 หากเป็นความรักที่แท้จริง  จะไม่มีการตั้งเงื่อนไขต่อบุคคลที่เรารัก  จะไม่มีการบีบบังคับเพื่อให้เขาเป็นคนดี  ไม่มีการคอยควบคุมกำกับหรือคอยข่มอีกฝ่ายให้อยู่ในอำนาจ  แต่จะมีท่าทีที่เมตตา เห็นอกเห็นใจกัน ต่างเคารพให้เกียรติกัน  และความรักแท้ที่เรามอบให้เขาอย่างจริงใจนั้นเอง  จะมีอานุภาพในตัวเองทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนดีด้วยตัวเขาเองและความเต็มใจของเขา พร้อมทั้งซาบซึ้งในความรักและความดีของเราว่า “เขาไม่อาจทำสิ่งชั่วอีกต่อไป เพราะทนไม่ได้ต่อความรักแท้และความดีอันแท้จริงของเรา”

 

                เมื่อเราได้ตกลงใจมารักกันและร่วมชีวิตกันได้ถึงเพียงนี้  เราไม่ควรเล่นการเมืองต่อกันต่อไปอีก  สมควรอย่างยิ่งที่เราจะถนอมความรักไว้มากกว่า   เราจงเลิกทำตัวเป็นนักการเมืองกับคนที่เรารักเสียแต่วันนี้

 

                จงจำไว้ว่า อย่าได้หวังหรือเรียกร้องสิ่งใดจากคนที่เรารัก  เพราะนั่นคือการบั่นทอนความรักโดยแท้ เราจะยังต้องการอะไรจากเขามากไปกว่านี้อีกหรือ  เพียงเรามีเขาหรือเธอผู้นี้อยู่ในชีวิตและหัวใจของเรา  ก็ย่อมเพียงพอแล้วมิใช่หรือ  เพราะกฎอันสูงส่งแห่งความรักนั้นมีว่า “เพียงได้รัก ก็เพียงพอแล้ว”

 

 

                                                                                                         คุรุอตีศะ

                                                                                                 ๑๖  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖