ชีวิตของคนโสด

ชีวิตของคนโสด

 

 

                       มีแต่ใครต่อใครพูดกันว่าคนมีครอบครัวมีความทุกข์  คนมีครอบครัวมีปัญหามากมาย  ส่วนคนเป็นโสดนั้นสบายไม่มีปัญหาอะไร  แต่คนที่พูดทั้งหลายก็ไม่เห็นใครยอมคิดจะเป็นโสด  ได้แต่พูดว่าอิจฉาคนเป็นโสดที่แสนสบายอิสระ  ส่วนคนโสดนั้นก็มักหลงใหลได้ปลื้มไปกับคำพูดเหล่านั้น  แล้วก็หลงสำคัญว่าตนคงจะมีความสุขมากกว่าเขาจริงๆ  จนลืมเฉลียวใจไปว่า  คนมีครอบครัวที่มาสรรเสริญเยินยอความเป็นโสดให้เราฟังเหล่านั้น  ในเมื่อความเป็นโสดดีจริงแล้ว  ทำไมเขาไม่อยู่เป็นโสดเหมือนกับเรา

 

                     สิ่งที่ยืนยันความจริงในข้อนี้ก็คือเพลงยอดฮิตของสุรพล  สมบัติเจริญ ที่โด่งดังมากและยังเป็นอมตะทุกวันนี้คือเพลง “เป็นโสดทำไม” เพลงนี้สะท้อนถึงยุคสมัยที่ประเทศไทยตอนนั้นมีพลเมืองเพียง ๓๐ ล้านคน และทางรัฐบาลกำลังรณรงค์ให้คนแต่งงานแล้วมีลูกมากๆ จนมีการประกวดเพื่อรับรางวัลคุณแม่ลูกดก

 

                    ภายหลังจากเพลงนั้น ๒๐ ปีต่อมา  รัฐบาลก็มีนโยบายว่า “ต้องคุมกำเนิด” และให้มีลูกได้ไม่เกินสองคนกำลังดี  เป็นการควบคุมประชากรไม่ให้ล้นประเทศและแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันทำมาหากิน เนื้อเพลงในท่อนสุดท้ายที่ว่า “เป็นโสดทำไม  ตายไปเจอะยมบาล  ท่านรู้ว่าไม่แต่งงาน  เดี๋ยวจะพาลมิให้มาเกิด  เกิดมาทำไม  ไม่หาสุขอันล้ำเลิศ  เกิดมาอย่าเสียชาติเกิด  แต่งงานเถิดคุณหนุ่มคุณสาว” ก็เลยต้องห้ามเปิด เพราะไม่เป็นไปและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเจริญเติบโตของประชากร

 

                    พอมาในยุคสมัยของพวกเรานี้  ก็เลยไม่รู้จะเชื่อรัฐบาล  หรือเชื่อสุรพล  สมบัติเจริญกันดี  เพราะฉะนั้นในวันนี้  หลังจากพูดธรรมะหรือเขียนธรรมะเพื่อคนมีครอบครัวมานาน  ก็จะขอโอกาสให้แก่คนโสดได้อ่านเป็นการเฉพาะบ้าง  เพื่อจะได้ดำรงความยุติธรรมอย่างทั่วถึงกันในแผ่นดิน  แต่ก็หาได้มีการสงวนสิทธิ์สำหรับคนมีครอบครัวจะอ่านไม่  และอาจจะทำให้เข้าใจและเห็นใจหัวอกคนเป็นโสดมากขึ้นได้อีกด้วย

 

                   อันว่าชีวิตคนโสดนั้นท่านจัดไว้ด้วยกัน ๒ ประเภทคือ  คนโสดที่ยินดีพอใจที่จะอยู่เป็นโสดหรือตั้งใจที่จะครองความเป็นโสดโดยเฉพาะประเภทหนึ่ง  กับคนที่เป็นโสดที่อยากจะมีคู่แต่หาคู่ไม่ได้ประเภทหนึ่ง ซึ่งสมัยปัจจุบันก็ไม่ทราบว่าในประเทศสยามมีคนโสดประเภทไหนมากกว่ากัน  ไม่ทราบว่ามีสถาบันใดได้มีการทำวิจัยไว้หรือเปล่า  แต่ถ้าให้เดาก็ต้องเดาเอาว่าคงมีคนโสดประเภทหลังมากกว่า

 

                  ในทางพระพุทธศาสนา เคยมีคำตรัสของพระพุทธองค์ไว้ว่า “การมีชีวิตโสด คือการเป็นบัณฑิต” นี้คือความหมายของคนที่อยู่เป็นโสดด้วยความมีปัญญาและมีความเข้าใจ  เพราะแสดงถึงความมีบุญและมีปัญญามองเห็นทุกข์โทษการมีครอบครัวว่า “เป็นที่คับแคบ เป็นที่ไหลมาของธุลีคือกิเลส เป็นที่หมักหมกของปัญหาความวิตกกังวลทั้งปวง  พร้อมทั้งคอยหน่วงให้ชีวิตและจิตใจให้จมอยู่แต่กับความดิ้นรนทะเยอทะยาน  มีชีวิตเหมือนกับต้องคอยตกเป็นทาส  ไม่มีความเป็นอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง” คนใดที่คิดได้และมองเห็นความจริงของชีวิตครอบครัวได้แบบนี้  จึงตัดสินใจว่าจะครองโสดแล้วสร้างสมคุณงามความดีและอุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติ ศาสนา  การมีชีวิตโสดของบุคคลนั้นท่านจึงสรรเสริญว่า”เป็นบัณฑิต”

 

                 คนที่เป็นโสด  จะมีคุณสมบัติประการหนึ่งที่คนมีครอบครัวไม่ค่อยมีอีกแล้ว  คือความไร้เดียงสา ความบริสุทธิ์ใจที่มีต่อคนอื่นที่ยังงดงามและสะอาดกว่า  คนโสดจะไม่มีทางเข้าใจคนมีครอบครัวว่าทำไมเขาจึงพากันห่วงครอบครัวมากมายนักแต่ก็พูดไม่ได้

 

               คนโสดจะดูเหมือนไร้เดียงสาและไม่เข้าใจผู้คน เพราะตนเองอยู่ในโลกที่บริสุทธิ์กว่าสะอาดกว่า เหมือนชีวิตของพระที่บวชมาตั้งแต่เป็นสามเณรหรือตั้งแต่เป็นหนุ่มอายุครบบวชที่ไม่เคยรับผิดชอบชีวิตของใคร จะไม่เข้าใจชีวิตของชาวบ้านและญาติโยมว่าเขาต้องลำบากในการประกอบอาชีพและทุกข์ยากกับเรื่องภายในครอบครัวอย่างไร  แต่ด้วยอาศัยความเมตตาและบุญบารมีในการประพฤติพรหมจรรย์จึงสามารถสงเคราะห์ญาติโยมได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเขาไปเสียทุกอย่าง

 

              คนครองชีวิตโสดก็ทำนองนั้น  คือ มักมีใจช่วยเหลือญาติพี่น้องที่เขามารบกวนเอ่ยปากร้องขอไปด้วยความใจดีมีเมตตา  แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่า เขาอุตส่าห์ช่วยกันทำมาหากินตั้งสองคนทำไมเขาจึงบ่นว่าลำบากและทุกข์ยากกว่าเรา

 

              คนที่มีชีวิตครองความเป็นโสด  พึงเข้าใจข้อเท็จจริงของชีวิตไว้ประการหนึ่งว่า  คนที่มีครอบครัวนั้นเขาจะเอาตัวเขาและให้ความสำคัญกับครอบครัวของเขายิ่งกว่าสิ่งใด  การที่เขามาอาศัยและไปมาหาสู่เราอยู่นั้นก็เพราะเรายังมีอะไรช่วยเขาได้  หากวันใดที่เราไม่มีอะไร  เราก็ต้องเตรียมใจที่จะอยู่อย่างหงอยเหงาคนเดียว  ยกเว้นที่เราจะมีที่พึ่งด้วยการฝึกจิตไว้ตามอย่างพระอริยเจ้า  จนอยู่ในกระต๊อบคนเดียวโดยไม่เหงาได้แบบหลวงปู่สรวง  เพราะชีวิตคนโสดที่สูงสุดก็คือชีวิตนักบุญหรืออริยบุคคล  และชีวิตโสดที่ไม่มีความเหงาและว้าเหว่อีกเลยก็มีแต่ชีวิตของพระอนาคามีหรือพระอรหันต์  นอกนั้นล้วนต้องว้าเหว่าและซึมเศร้ากันทั้งนั้นไม่ว่าคนโสดหรือคนมีครอบครัว

 

              คนเป็นโสดพึงเข้าใจว่า  ความรักความเมตตาที่เราควรมอบให้อย่างเต็มที่ โดยจะไม่มีวันผิดหวังใดๆเลย ก็คือทรัพย์สินเงินทองและความรักที่เรามอบให้แก่บิดามารดาผู้มีพระคุณ  ส่วนญาติพี่น้องหรือคนอื่นนั้นมักพึงพอใจและยกย่องเราก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเป็นหลัก  และพวกเขาก็มักจะอ้างกันบ่อยนักว่า “เธอไม่มีภาระอะไรเหมือนอย่างฉัน”  แต่แท้ที่จริงนั้นเขาก็ทำเพื่อความสุขภายในครอบครัวของเขานั่นเอง

 

               เมื่อเขาได้อะไรจากเราสมใจแล้ว เขาก็พาภรรยา พาสามี พาลูกของเขาไปเที่ยวชายทะเล สรวลเสเฮฮาอย่างมีความสุข แต่เรากลับต้องนั่งดูทีวีอยู่คนเดียว  แม้บางครั้งเขาจะมีมารยาทอุตส่าห์มีน้ำใจชวนเราไปด้วย  แต่ก็เพราะเราเป็นคนมีน้ำใจไม่ค่อยงอมืองอเท้า ชอบเสนอหน้าบริการสมาชิกภายในครอบครัวของเขา  แล้วเราก็ต้องรู้กาลเทศะไม่ให้เป็นภาระแก่พวกเขา  เราต้องฉลาดว่าเวลาใดที่เขาต้องการจะอยู่กันตามลำพัง แล้วเราก็ต้องรีบหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาให้ทันการ จะทำเป็นซื่อบื้อไม่ได้เป็นอันขาด  มิฉะนั้นจะถูกเขาปรึกษาหารือกันอเปหิคาดโทษหรือถูกรังเกียจไม่ชวนเราไปอีกในครั้งหน้า  นี้คือกฎกติกาที่คนโสดพึงระวังตัว

 

               ยามใดที่ญาติพี่น้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ  คนโสดก็พึงช่วยเขาอย่าแล้งน้ำใจ  แต่ต้องมีสติอย่าได้หลงใหลความเยินยอสอพลอจนตัวลอยจนอะไรต่อมิอะไรก็ขนให้  มิฉะนั้นต้องประสบกับความเจ็บช้ำน้ำใจไม่ประการใดก็ประการหนึ่งในภายหลัง หากไม่ระวังไปอุทธรณ์เรียกร้องความเห็นใจหรือความเป็นธรรม  เขาก็จะถือโอกาสประกาศระงับการชำระหนี้แล้วตราหน้าว่าเราเป็นคนไม่ดีและไม่มาหาเราอีก  ดังนั้นหากใครประสบชะตากรรมเช่นนี้  พึงกล้ำกลืนรักษาความเป็นคนดี  ดุจเกลือรักษาความเค็มต่อไป ในเรื่องนี้มีอุทาหรณ์

 

               มีสตรีผู้หนึ่งรับราชการอาชีพครู  ด้วยความเป็นคนโสดและใจดีมาตั้งแต่รับราชการ  จึงช่วยเหลือญาติพี่น้องไว้มาก  คนนั้นหยิบยืมไปสองแสน  คนนี้ขอไปทำทุนสามแสน  คนโน้นให้ปลดหนี้ให้ คนนั้นให้ช่วยส่งเสียลูกซึ่งพ่อแม่เขาบอกว่ารับภาระไม่ไหว   ตัวเองก็เป็นคนดีมีน้ำใจจึงภูมิใจช่วยเหลือญาติพี่น้องเรื่อยมา

 

              จนกระทั่งเมื่อถึงอายุเลยห้าสิบ  ได้ตัดสินใจเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนเวลา  จะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด  ได้ไปขอทวงเงินคืนจากญาติพี่น้องเหล่านั้น  ปรากฏว่าทุกคนต่างอ้างว่าไม่มีให้  ไม่คืนให้ยังไม่พอแถมยังพูดให้ช้ำใจอีกว่า “ไม่มีลูกผัวไม่มีภาระอะไร  จะเอาเงินไปทำไมนัก?!!!”

 

              สตรีผู้นั้นจึงตกอยู่ในสภาพเหมือนคนอกหักไม่ทราบจะหันหน้าไปพึ่งใคร  จึงได้พาหัวใจที่แหลกสลายไปนั่งร้องไห้ต่อหน้าพระอาจารย์องค์หนึ่งอย่างไม่อายใคร  ทั้งที่ตัวเองได้เคยไปวัดนั้นเป็นครั้งแรก  เพราะตัวเองไม่มีที่พึ่งใดๆอีกมีแต่ตัวคนเดียว แล้วก็มีผู้บอกว่าพระอาจารย์องค์นั้นท่านพอรู้กฎหมาย  ให้ไปปรึกษาท่านดูสิ  จึงตัดสินใจบากหน้าไปนั่งร้องไห้ขอให้ท่านเป็นที่พึ่ง  ทั้งที่ในตอนนั้น ท่านพระอาจารย์องค์นั้นท่านก็ยังสิ้นไร้ไม้ตอก มีแค่กระต๊อบหญ้าคาอยู่หลังเดียวเหมือนกัน  และนั่นคือภาพแห่งความสะเทือนใจที่แม้แต่พระอาจารย์องค์นั้นยังจำติดตา

 

              สุดท้ายสตรีผู้นั้นก็ได้คำตอบของปัญหาว่า  ขอให้รักษาความดีต่อไป  จงรักษาความดีและความมีน้ำใจที่มีแต่ดั้งเดิมนั้นไว้ อย่าให้วิกฤติของชีวิตในตอนนี้มาทำลายศรัทธาและความดีที่เราเคยมอบน้ำใจและความดีแก่คนทั้งหลาย  จงเดินหน้ารักษาและบำเพ็ญความดีต่อไป วันหนึ่งข้างหน้าย่อมเป็นวันของเรา

 

              สตรีผู้นั้นก้มลงกราบพร้อมทั้งให้คำมั่นกับพระว่า จะขอทำความดีต่อไป แล้วได้ตัดสินใจไปอาศัยพระพี่ชายที่บวชอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศและนำเรื่องไปปรึกษาท่าน  ส่วนเรื่องทางกฎหมายหรือการชิงไหวชิงพริบอะไรนั้น เธอยอมเชื่อฟัง จะขอระงับไว้ก่อน  แล้วก็ลาจากไป

 

             ห้าปีต่อมาชีวิตของเธอกลายเป็นคนใหม่ ที่มีแต่ความสดใสและเป็นที่เคารพศรัทธาของญาติพี่น้องเพื่อนฝูงยิ่งกว่าสมัยเธอให้เขายืมเงินเก็บตั้งหลายเท่า  แล้วชีวิตของเธอก็ไม่เคยยากจนทางการเงินและพบกับความขาดแคลนอีกเลย

 

             ชีวิตคนโสด  ต้องมีสติในการครองชีวิตยิ่งกว่าคนมีครอบครัว  เพราะคนที่เป็นโสดและอยู่คนเดียว จะไม่มีคนปรึกษาและมีคนที่จริงใจ  ซึ่งผิดจากคนมีครอบครัว  วันนี้เขาทะเลาะกันแล้วมาหาเรา  แต่เมื่อเขาดีกัน เขาก็ไปนอนคุยกันอย่างมีความสุข โดยที่เราไม่มีทางรู้ความลับและความเป็นจริงส่วนตัวของเขา  ชีวิตคนโสดจึงเปราะบางและคนมีครอบครัวมักดูหมิ่นอยู่ลึกๆ

 

             คนที่เป็นโสดไม่ว่าจะเป็นประเภทแรกหรือประเภทที่สอง  จึงต้องมีข้อวัตรปฏิบัติต่างจากคนทั่วไปหรือคนมีครอบครัว  อย่างน้อยต้องรักษาศีล ๕ และสวดมนต์ก่อนนอนไว้ทุกคืนเพื่อให้เทพยดารักษา  หากวันใดมีคนคิดร้ายหรือมีคนจะมาหลอกลวงหวังผลประโยชน์ ซึ่งตามลำพังสติปัญญาหรือไหวพริบของคนโสดนั้น จะไม่มีทางรู้เท่าทันคนมีครอบครัวเพราะเขาได้มีการฝึกฝนจากคู่ของเขามาอย่างดี  เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะผ่านพ้นไปได้เพราะเทวดาดลใจหรือให้เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง จนแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้

 

              ขอให้ใช้โอกาสความมีชีวิตโสด ที่อิสระและเป็นตัวของตัวเองนี้  มุ่งมั่นกระทำบำเพ็ญคุณงามความดีไม่ให้ขาดสาย  จนกระทั่งความดีงามสถิตมั่นในดวงใจ  เราจะกลายเป็นพระหรือแม่ชีในร่างของฆราวาสได้  แม้ว่าบางคนอาจยังต้องนุ่งกระโปรงสั้น แต่งหน้าทาปากเพื่อกลมกลืนไปกับการใช้ชีวิตที่แท้จริงในสังคม

 

              หมั่นมีสติรักษากาย รักษาใจไว้เสมอ  เมื่อสติอันเป็นธรรมชาติมีมากขึ้น กายและใจเราก็จะสะอาดขึ้น เพราะไม่ต้องมีภาระหมกมุ่นในกามารมณ์เหมือนคนที่เขามีคู่  สติปัญญาจะเพิ่มพูนและแจ่มใสขึ้น จิตอาจรู้เห็นอะไรลี้ลับบางอย่างที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นมา กลายเป็นพระอริยบุคคลที่บวชใจแม้กายยังไม่ได้บวชก็ได้  นั่นแหละเราจะเป็นคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่า “ผู้อยู่เป็นโสด คือการเป็นบัณฑิต” ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญดังกล่าวแล้ว

 

                                                                                                       คุรุอตีศะ

                                                                                              ๑๕  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖