เขาพระวิหารดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เขาพระวิหารดินแดนศักดิ์สิทธิ์

 


                    ภายหลังจากที่ในเมืองมนุษย์มีการอ่านคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก  ประเทศเนเธอแลนด์ จบสิ้นลงเมื่อตอนเวลาประมาณ  ๑๗.๐๐ น. ตามเวลาในประเทศไทยและกัมพูชา  ซึ่งทั้งสองประเทศได้เกิดกรณีพิพาทยื้อแแย่งปราสาทเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน


                  ในเวลา ๒๔.๐๐ น. เหล่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในแถบขุนเขาพระวิหารและเทือกเขาพนมดงรักจำนวนมาก ได้ไปสู่เทวสภาเพื่อสันนิบาตประชุมกัน  โดยได้กราบทูลความเป็นไปในเมืองมนุษย์ให้แก่เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นเวลา ๑,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว  มีนางเทพธิดาผู้มีหน้าที่รักษาตัวปราสาทประจำทิศตะวันออกเจื้อยแจ้วเปล่งมธุรสวาจาก่อนเทพบุตรและเทพธิดาองค์อื่นขึ้นมาว่า....


                    “ข้าแต่พระผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์  บัดนี้ในมนุษยโลกนั้นได้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วเพคะ ด้วยว่าคณะผู้พิพากษาผู้ชำระคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร  ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะด้วยกันทั้งสิ้น  ๑๗  คน  ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปราสาทเขาวิหารนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา  ยืนยันตามคำพิพากษาแต่เดิมมาเหมือนครั้งก่อน   วันเวลาที่ล่วงไป ๕๐ ปีในเมืองมนุษย์นั้น ย่อมเท่ากับเวลาเพียง ๑ วันของรุกขเทวดาทั้งหลาย  แต่ได้มีเหตุการณ์อย่างมากมายในมนุษยโลก  คู่กรณีทั้งสองฝ่าย  หลายคนก็ได้ตายไปเสวยบุญกรรมในภพอื่นแล้ว  มาวันนี้ลูกหลานของพวกเขาได้มาต่อสู้กันด้วยข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่งจนเป็นข่าวไปทั่วโลก  หลังจากนี้ไปจะเกิดผลสิ่งใดตามมาแก่ลูกหลานของพวกเขาเหล่านี้เพคะ?....”


                     เมื่อเทพธิดาผู้ใคร่รู้อดใจไว้ไม่ได้  จนเผลอสติลืมไปชั่วครู่ว่าตนเองนั้นลืมธรรมเนียมแต่เดิมมา ว่าสมควรให้เกียรติเทพบุตรได้แสดงความปรีชาสามารถก่อน  ส่วนเทพธิดาไม่ควรใจร้อนทำอะไรข้ามหน้าบุรุษเพศให้เป็นที่หมั่นไส้ได้  เพราะเหตุที่เทพธิดาองค์นี้ไปคลุกคลีอยู่ใกล้กับพวกมนุษย์นานเกินไป  จึงซึมซับเอาความเก่งกล้าเหนือผู้ชายมาจากเหล่านักสิทธิสตรีทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว


                   ฝ่ายเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่  แม้จะขุ่นเคืองใจที่เทพธิดาองค์นี้ไม่รักษาธรรมเนียมแห่งหมู่ทวยเทพ แต่ก็ทรงเข้าใจในความผิดพลาดพลั้งไปของนางเทพธิดา  ที่นางเริ่มจะไม่ค่อยเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยตามวิสัยทั่วไปของเทวดา  แต่ค่อนข้างไปทางแก่นแก้วและเก่งกล้าไม่ยอมลงให้ใคร  ก็เพราะไปหลงใหลเครื่องเซ่นไหว้อันเป็นสินบนของพวกมนุษย์  ไม่อาจทรงความบริสุทธิ์เหมือนดังแต่ครั้งก่อน   แม้นางจะเสียนิสัยจนทำให้ขุ่นเคืองไปบ้าง  แต่นางก็มีความจริงใจและมีความกล้าหาญอันเป็นเสน่ห์ประการหนึ่งของเหล่าสตรีที่อยู่ในเมืองมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน  ที่จะไปหวังให้เรียบร้อยและเชื่อฟังดังผ้าพับไว้นั้น ย่อมยากที่วันอย่างนั้นจะหวนคืน


                ดังนั้นแล  เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่  จึงอโหสิกรรมและให้อภัยต่อความผิดพลาดพลั้งไปที่นางเทพธิดาไม่รักษาธรรมเนียมแห่งทวยเทพ  เพราะความเข้าใจต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฎพระไตรลักษณ์  จึงทรงห้ามหักพระหฤทัยว่านี้คือสิ่งอันเล็กน้อย  สมควรที่เราจะทำและปฏิบัติในสิ่งที่ยิ่งใหญ่  คอยช่วยเหลือดูแลเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะดีกว่า  พระองค์จึงเอื้อนเอ่ยพระวาจาแถลงต่อปวงเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายดังนี้...


              “ดูกร  เหล่าท่านผู้เจริญทั้งหลาย  การที่คดีปราสาทเขาพระวิหาร  ต้องมีเหตุพิพาทกันจนขึ้นไปถึงศาลโลกนั้น   ก็เพราะบัดนี้ถึงกาลเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัย  เขาพระวิหารที่ค้นพบใหม่มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของไทย  แต่เพราะฝรั่งเศสซึ่งกำลังล่าอาณานิคมสมัยนั้น  ไปขีดเส้นแบ่งปันเอาตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงสันปันน้ำตามที่คนสยามกับกัมพูชาเพื่อนบ้านเขาตกลงคุยกัน  และเราได้ดลใจให้ศาลโลกในสมัยนั้นมีมติ ๙ : ๓ ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสได้ทำขึ้น  โดยไม่ได้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเขตแดนเหมือนควรจะเป็น   เพราะสมัยนั้นในภูมิภาคแห่งอุษาคเนย์นี้  ผู้คนไม่เคยมีการขีดเส้นบนแผ่นกระดาษแบ่งพระแม่ธรณีกันเหมือนการแบ่งโฉนดที่ดินแบบคนสมัยนี้ 


               เขาพระวิหารคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์  ที่เหล่าบรรพชนทั้งหลายได้บำรุงรักษาและหวงแหนเคารพบูชาร่วมกัน  เนื่องจากสมัยนั้น ไม่ได้มีการขีดเส้นแบ่งเขตแดนกันเป็นประเทศแบบนี้   ผู้คนสมัยนั้นอยู่กันแบบ “รัฐแสงเทียน” ไม่ใช่แบบ “รัฐชาติ”ดังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน


              บรรพชนแห่งดินแดนนี้เหล่านั้นอยู่กันแบบต่างเคารพและพึ่งพาอาศัยกัน  การที่ทำสงครามกันนั้นส่วนใหญ่ก็มาจากการลบหลู่ศักดิ์ศรีหรือแย่งชิงสตรีของเหล่าผู้ปกครองมากกว่า  หรือไม่ก็ต้องการแสดงความยิ่งใหญ่แสดงแสนยานุภาพให้แว่นแคว้นอื่นยำเกรง  ในสมัยโบราณนั้นจึงใช้คำว่า “ไปตีเมืองนั้นๆเอามาเป็นเมืองขึ้น” ท่านไม่ได้บอกว่า “ไปตีเอาเขตแดนหรือตีเอาที่ดิน”  เพราะคำว่า “พรมแดน” หรือ “เส้นระวางที่ดิน” ไม่มีอยู่ในความคิดของบรรพชนเหล่านั้นแต่อย่างใด


             คำว่า “รัฐแสงเทียน” ก็คือ แต่ละชุมชน แต่ละเมือง  แต่ละแว่นแคว้น  กระจายอยู่กันไปตามที่ต่างๆ เปรียบเหมือนเวลาเราจุดเทียนแต่ละแท่งตั้งไว้ตรงนั้นตรงนี้  บางแท่งก็ใหญ่ บางแท่งก็เล็ก  หากมีผู้มีบุญบารมีหรือมีความปรีชาสามารถและเข้มแข็ง  ต้องการได้เมืองอื่นมาเป็นบริวารของตน  ก็ยกทัพไป “ตีเอาเป็นเมืองขึ้น”  เหมือนเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่ไปจัดการทำให้เจ้าพ่อเล็กๆหรือที่อ่อนแอมาสยบเป็นบริวารของตน  อาณาจักรของผู้มีบุญบารมีนั้นก็ยิ่งใหญ่ไพศาล  เหมือนเทียนแท่งใหญ่ที่เปลวเทียนสว่างไสว โดยมีเทียนแท่งเล็กๆตั้งประดับเป็นบริวารอยู่โดยรอบ  การยกทัพไปตีเมือง จึงไม่ใช่ไปตีเอาเขตแดน  แต่ไปตีเอาเมืองคือทำให้ผู้ปกครองเมืองนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของตน 


              ฉะนั้น  ต่อไปจากนี้เหตุการณ์ในมนุษยโลกจะเริ่มย้อนกลับคืนคล้ายๆยุคก่อน  คือเส้นพรมแดนระหว่างประเทศจะค่อยๆเลือนหายไป  ผู้คนจะเริ่มสัญจรไปมาหาสู่กันแบบธรรมชาติ  การเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ตามที่ประเทศต่างๆในอุษาคเนย์ได้ตกลงกันไว้นั้น  ก็คือการที่ไทยกับกัมพูชาและประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้เริ่มจะเป็นโลกที่ไร้พรมแดน

  
              ด้วยเหตุนี้ ปราสาทเขาพระวิหารนั้น  ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อเข้าสู่ยุคที่ ๑๐ ตามคำทำนายโบราณของไทย  ประเทศไทยจะก้าวสู่ยุคใหม่ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตกอีกแล้ว  การที่ประเทศไทยตกอยู่ในยุค “ถิ่นกาขาว”ที่กำลังเปลี่ยนผ่านอยู่นี้  นอกจากที่หลายฝ่ายตีความหมายไปในทางอื่นแล้ว  ความหมายหนึ่งก็คือ ตลอดระยะเวลาแห่งยุคนี้ที่ผ่านมา เราอยู่ในยุคหลงผิด เหมือนกับการที่ผู้คนมองเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีปีกบินได้มีขนปีกสีขาว แล้วเข้าใจว่านั่นคือหงส์  แต่แท้ที่จริงคือกา  แต่บังเอิญว่ากาตัวนั้นแปลกกว่ากาตัวอื่นเพราะมีขนปีกสีขาวผิดจากกาทั่วไปที่ขนปีกสีดำเท่านั้น.....”


             “...เอ่อ..แต่ว่า..ขอโอกาสต่อผู้น้อยด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ...”  เทพบุตรผู้นั่งฟังคำปาฐกถาของพระผู้เป็นเจ้ามานาน  ได้ขอโอกาสถามข้อข้องใจขึ้น


             “ข้าแต่พระผู้เป็นใหญ่เหนือทวยเทพแลมนุษย์  ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้เมื่อครู่นี้ ว่ายุคถิ่นกาขาวคือยุคแห่งความหลงผิด   ดุจคนมองเห็นกาว่าเป็นหงส์  แต่ข้าพระองค์ได้ทราบมาว่า  ในสยามพาราสมัยปัจจุบัน  ได้มีวิวัฒนาการและมีความเจริญรุ่งเรืองอันใหญ่หลวง  ผู้คนเรียนจบปริญญาไม่ได้ทำอะไรเที่ยวเดินเตะฝุ่นเล่นเกือบสองแสน  มีรถยนต์วิ่งเต็มถนนไม่มีที่จอด  ลูกหลานผู้ดีและผู้มีอันจะกินมากมายได้เรียนจบจากเมืองนอกกลับมาบริหารและพัฒนาประเทศ  ดูไปแล้วก็มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาชนแทบทั้งนั้น เหตุใดกัน  พระองค์จึงไม่ทรงสรรเสริญพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นชาวศิวิไลซ์เล่า พระเจ้าข้า...”


              จอมเทพผู้เป็นใหญ่จึงผินพระพักตร์มาทางเทพบุตรผู้อาจหาญและอาชาไนย  ที่พยายามปกป้องอธิปไตยแทนชาวสยามพารา  แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นว่า.... “อนุโมทนาสาธุที่ท่านได้ถามปัญหานี้   เราเองจะได้วิสัชนาสืบไปพอเป็นสังเขป...”


              “..อันการที่สยามประเทศได้ชื่อว่ามีความเจริญและพัฒนาอย่างมากมายนั้น  ก็ด้วยการเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวตะวันตก  ชาวสยามอาจสอนกันแก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนว่า มีความเป็นเอกราชไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร  มีแต่มาเลเซีย  พม่า เวียดนาม  ลาว  และกัมพูชา ที่ได้ชื่อว่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและฝรั่งเศสก็ตาม  แต่นั่นเป็นเพียงความเป็นเอกราชทางการปกครอง ทางศาล ทางทหาร หรือทางการเมืองเท่านั้น  แต่ผลจากนั้นมา ๑๐๐ ปี ลูกหลานของสยามประเทศได้มีจิตวิญญาณและมีความคิดเป็นแบบชาวตะวันตกไปแทบหมดสิ้น  ศาสนาและวัฒนธรรมได้ถูกเหยียบย่ำโดยลูกหลานคนไทยด้วยกันเอง


                พวกเขาได้ถูกล้างสมองให้ดูหมิ่นเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน  และโบราณสถานทั้งหลายนั้น เขาก็แค่ศึกษาและวิจัยแต่ในแง่โบราณคดีตามแบบตะวันตก  ได้ลบหลู่และละทิ้งจิตวิญญาณและความสำนึกว่าสถานที่เหล่านั้นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชนอย่างสิ้นเชิง  นี้คือการสูญเสียเอกราชทางศาสนาวัฒนธรรม


               การที่น้ำท่วมพิพิธภัณฑ์ที่พิมายและปราจีนบุรีอย่างไม่น่าเป็นไปได้  ก็เพราะเราต้องการจะสั่งสอนให้คนไทยได้สำนึกถึงความอาถรรพณ์ของโบราณวัตถุอันเป็นของอาณาจักรขอมโบราณ  ให้พวกเขาทั้งหลายนั้นได้รู้ตัวว่า  หากเขายังไม่เกิดจิตสำนึกตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชนแต่กาลก่อน  ยังเอาแต่เที่ยวครอบครองแบบดูถูกว่าเป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งเท่านั้น   ก็ให้รู้เถิดว่าใกล้จะถึงวันที่ของเหล่านั้นจะต้องส่งคืน  ให้ไปอยู่กับผู้อื่นที่คู่ควรและให้ความเคารพต่อไป


               การที่ศาลโลกตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหารด้วยมติเอกฉันท์  ให้ตัวปราสาทและบริเวณใกล้เคียงนั้นเป็นของกัมพูชา  ย่อมคือสัญญาณบ่งบอกแล้วว่า  ต่อไปนี้สยามประเทศจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่  ที่พ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกทางวัฒนธรรมและศาสนา  หลังจากนั้นสยามประเทศจะมาเป็นผู้ดูแลสืบต่อไป


              แต่ก่อนจะเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์อันเป็นยุคที่ ๑๐ อย่างเต็มตัวได้  สยามประเทศจะต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง  จะมีการต่อสู้ขัดแย้งเพื่อก้าวผ่าน “ยุคหลงผิด” สำคัญกาว่าเป็นหงส์ ไปสู่ “ยุคแห่งการรู้แจ้งแห่งสติปัญญา” ที่มนุษย์จะพากันหันหน้าแสวงหาสัจธรรม....”


             “...แล้วขุนเขาพระวิหารดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์เล่า  จะเป็นฉันใดต่อไปเพคะ...”  นางเทพธิดาองค์เดิมเอ่ยถามขึ้นมา  บัดนี้นางเริ่มมีสติรู้ตัวมากขึ้น  จากที่เคยดูมีความแกว่นกล้าในตอนแรก  ขณะนี้มีความเรียบร้อย อ่อนโยน  มีอาการสำรวมระวัง  บังเกิดรัศมีกายอันงดงามจนกระทั่งเทพบุตรบางองค์อดจะเหลียวหลังไปชื่นชมในความสง่างามของเธอมิได้  จนจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่จำต้องกระแอมไอเพื่อเรียกสติของเทพบุตรนั้นกลับคืนมา


         “ขุนเขาพระวิหารจะเป็นดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของชาวโลกมากขึ้น  ในตอนนี้ปราสาทเขาพระวิหารยังต้องอยู่ในความอารักขาคุ้มครองของกัมพูชาต่อไป  เนื่องจากชนชาตินี้ได้ผ่านความทุกข์ยากมาถึงสามสิบปี  ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองและเปลี่ยนธงชาติมาหลายหน  จนกระทั่งกลับคืนฟื้นระบบกษัตริย์กลายเป็นราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่  และผู้คนทั้งหลายของกัมพูชายังมีจิตตระหนักถึงคุณค่าต่อความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมิ่งขวัญทางจิตใจ  มิใช่มุ่งแต่จะหาประโยชน์จากการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียวเหมือนคนไทย


              กัมพูชาแม้จะเคยล่มสลายในสายตาประชาคมโลก  แต่ก็ยังรักษาเอกราชทางศาสนาและวัฒนธรรมไว้ได้ไม่สั่นคลอน  กัมพูชาที่คนไทยและชาวโลกเคยดูถูกจึงเป็นประเทศที่ถูกลือกระฉ่อนไปทั่วโลก  นี้ก็คืออานุภาพความศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาพระวิหารดลบันดาลให้เป็นไป  จึงทำให้นับแต่วันนี้เป็นต้นไป  กัมพูชาและประเทศไทยได้กลายเป็นคู่ประเทศที่มีชื่อเสียงรู้จักไปทั้งโลกก็เพราะปราสาทเขาพระวิหาร 

 

              ขอให้ท่านทั้งหลายจงลงไปช่วยกันอภิบาลคุ้มครองรักษาผู้คนทั้งสองประเทศ  ให้ร่วมมือกันพัฒนาดินแดนนั้นให้กลายเป็นมรดกโลก  ให้ทุกประเทศในแถบนั้นจงสามัคคีกันอย่าให้ชาติตะวันตกมาถือหางให้ทะเลาะและเหยียดหยามกันดังที่เป็นมาร่วมร้อยปี  เราขอปิดประชุมเทวสภาในครั้งนี้เพียงเท่านี้

 

             ขอให้ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่ของเทวดาให้เต็มที่เพื่อจะเป็นทางแห่งการสร้างสมบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปเถิด  ขออำนวยพรต่อทุกท่านโดยทั่วกัน....โส..โส...” 

 

            หลังสิ้นโอวาทของเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์  เทวดาเหล่านั้นจึงคมนาการสู่โลกมนุษย์ ดังนี้แลฯ

 


คุรุอตีศะ
๑๒  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖