เสียงจากเทพเจ้าเขาพระวิหาร
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เสียงจากเทพเจ้าเขาพระวิหาร
เมื่อวันที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ศาลโลก” จะตัดสินคดีเขาพระวิหารใกล้เข้ามา ไม่ใช่แต่เหล่ามนุษย์ทั้งสองประเทศที่มีกรณีพิพาทกันเท่านั้นที่ต่างตั้งตารอวันคำพิพากษา และต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา แม้แต่เทพจ้าบนชั้นฟ้าที่ปกครองดูแลเขาพระวิหารมาเป็นเวลา ๖๐๐ ปี นับแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๕ ที่ภูเขาแห่งนี้มีฐานะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่พระเจ้ายโศวรมันปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนคร ก็ยังต้องเอื้อนเอ่ยวาจา หลังจากสยามและกัมพูชาทะเลาะกันเรื่องภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาเป็นเวลานาน
เทพเจ้าผู้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ นับวันเวลาในมนุษยโลกตามที่สมมุติกันก็นับได้ ๖๐๐ ปีแล้ว แต่สำหรับในสรวงสวรรค์ เวลาเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปเพียง ๖ วันเท่านั้นเอง หลังจากเทพเจ้าได้พาเหล่าบริวารไปเที่ยวชมสวนนันทวันมัวแต่เพลิดเพลินอยู่หลายเพลา ในที่สุดก็ส่องทิพยเนตรลงมา จึงพบว่าบัดนี้สยามและกัมพูชาในมนุษยโลกกำลังก่อการวิวาทแย่งชิงปราสาทเขาพระวิหารกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และอาจจะต้องรบกันครั้งใหญ่ติดตามมา จึงทอดถอนใจแล้วรำพึงขึ้นมาว่า....
. ....อันตัวเรานี้ อยู่มาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้ายโศวรมัน ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพระนครเมื่อครั้งกระโน้น กษัตริย์พระองค์นั้นได้ยกฐานะภูเขานี้ให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยได้สถาปนาศิวลึงค์ ณ เทวาลัยเขาพระวิหารให้เป็นศิวลึงค์ศักดิ์สิทธิ์และให้เป็นที่จาริกแสวงบุญ ต่อมาในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ก็ได้เริ่มสร้างปราสาทเขาพระวิหารขึ้น ซึ่งมีที่ตั้งแนวลาดเอียงขึ้นไปตามความชันของผา
การสร้างปราสาทหรือศาสนสถานใดๆก็ดีในสมัยนั้น หาได้เป็นการแสดงเจตนารมณ์เพื่อแสดงอำนาจทางการเมืองเหนือผู้คนในดินแดนนั้นไม่ หากแต่เป็นการสยบและให้เกียรติแก่อำนาจศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งการสร้างมิตรไมตรีกับผู้คนของดินแดนนั้นด้วย นับเป็นกิริยาบุญของบุคคลที่ปรารถนาเป็นจักรพรรดิราชอันเป็นเรื่องเฉพาะตนของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นๆ
แต่ก่อนร่อนชะไร อาณาจักรทั้งหลายในดินแดนภูมิภาคนี้ ไม่มีและไม่เคยรู้จักคำว่า “เขตแดน” ที่ต้องปักปันแบ่งเขตกันเอาจริงเอาจังอย่างที่เห็นอยู่นี้ แต่ละอาณาจักรอยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน ไม่มีการขีดเส้นแบ่งเขตลงไปบนพื้นดินจนต้องเกิดกรมที่ดินเหมือนที่คนสมัยนี้เข้าใจ
การเข้ามาของจักรวรรดินิยมตะวันตกทำให้มีการเกิดขึ้นของ”เส้นพรมแดน”ขึ้นมา ประเทศต่างๆที่มีเส้นเขตแดนบรรจบกันอยู่ในแต่ละภูมิภาค การเดินทางข้ามจากประเทศหนึ่งไปอีกประทศหนึ่งต้องมีการขออนุญาตผ่านแดนด้วยพิธีการมากมายจึงมีขึ้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เส้นเขตแดน อาณาเขต ความเป็นประเทศ ในความรับรู้ของผู้คนในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่เกินกว่า ๑๐๐ ปี พร้อมกับการเข้ามาของลัทธิล่าอาณานิคมโดยชาวตะวันตกเท่านั้น
เนื่องจากเขาพระวิหารคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นดุจศูนย์กลางอาณาจักรพระนครของขอมโบราณ จึงมีเหล่าดาบส นักพรต ฤาษี โยคี หรือนักบวชมาพำนักและบำเพ็ญภาวนาจำนวนมาก เพราะตามหน้าผา และโขดหิน เพิงหินในย่าน “มออีแดง”ที่คนสมัยนี้เรียกกันนั้น เป็นสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาของเหล่าดาบส ฤาษีชีไพรในสมัยก่อน บางพวกในยามว่างจากการบำเพ็ญภาวนา ก็ทำการสลักภาพนูนต่ำไว้ดังที่ปรากฏอยู่ที่ผามออีแดงจนทุกวันนี้
เนื่องจากประเทศสยามได้มีคติเดินตามความเจริญและสรรเสริญวัฒนธรรมตะวันตก จนกระทั่งมีการเปลี่ยนชื่อของประเทศจาก”ประเทศสยาม” เป็น “ประเทศไทย ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชนชั้นนำและผู้ปกครองประเทศจะเดินตามก้นตะวันตกแทบทุกอย่าง อันเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมประเพณีอันสูงส่งดีงามของภูมิภาคนี้
ตามวัฒนธรรมประเพณีมาแต่ยุคโบราณ การเข้าสู่ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่า พราหมณ์ ฮินดู พุทธ หรืออิสลาม ล้วนต้องแสดงเคารพด้วยการเปลื้องเครื่องทรงของกษัตริย์ไว้ข้างล่าง หลังจากทรงสรงน้ำชำระกายให้สะอาดให้คู่ควรแก่การเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ทรงชุดขาวที่ไร้เครื่องประดับใดๆแล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเข้าสู่จุดศูนย์กลางชั้นในเพื่อถวายเครื่องบูชาแล้วทำพิธีต่อไป จะไม่มีการสวมรองเท้าและสวมเครื่องประดับเข้าในโบสถ์ วิหาร สุเหร่า มัสยิด อันเป็นศาสนสถานแต่อย่างใด
แต่เมื่อประเทศไทยได้พากันหลงผิด เห็นดีเห็นงามไปตามวัฒนธรรมตะวันตก มิหนำซ้ำเหล่าชนชั้นสูงและหรือปัญญาชนทั้งหลายที่ไปเรียนเมืองนอกกลับมา ก็กลับมาหลบหลู่เหยียบย่ำศาสนาและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษตัวเอง โดยที่ตัวเองไม่เคยได้ศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของปู่ย่าตายายให้เข้าใจแม้แต่น้อย แต่ก็ยังทำตัวเป็นผู้รู้ไปทุกอย่าง พากันลบหลู่อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวัฒนธรรมกำพืดเดิมของตัวเองอย่างลำพอง
เราผู้ส่องทิพยเนตรตรวจดูความเป็นไปของมนุษยโลกในแถบนี้ตามคำอาราธนาของพระเจ้ายโศวรมัน ผู้เป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรพระนครมาแต่ต้น ตลอดทั้งพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้ทำสักการะพลีกรรมครั้งใหญ่ในพิธีแห่งการเริ่มต้นสร้างปราสาทเขาพระวิหาร ก็ได้เอื้อนเอ่ยวาจาขอความอภิบาลรักษาจากเราตลอดลูกหลาน
นับแต่ยุคสมัยขอมโบราณจนมาถึงยุคแห่งการล่าอาณานิคม ปราสาทเขาพระวิหารแม้จะมีการทิ้งร้างไปตามยุคตามสมัย แต่ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ไม่มีการเสื่อมคลายไปตามการเสื่อมสลายและผุพังของวัตถุในภายนอกแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำในยามใดสมัยใดที่เขาพระวิหารเหมือนกับร้างในสายตาของมนุษย์ กลับเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของเหล่าดาบส นักพรต ฤาษีชีไพร และเหล่าภิกษุนักบวชทั้งหลายที่จะได้อาศัยเขาพระวิหารเป็นแหล่งพำนักและบำเพ็ญภาวนา ความเก่าแก่ทรุดโทรมเป็นป่ารกในภายนอก กลับคือความร่มเย็นและความสุขจากวิเวกของเหล่าดาบสนักบวชทั้งหลาย สมกับการสถาปนาให้ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยปฐมกษัตริย์
ด้วยเหตุที่ตัวเรานี้มีหน้าที่ปกปักและอภิบาลให้เขาพระวิหารนี้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ายุคสมัยในมนุษยโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะอีกไม่นานเพียงไร คนไทยและเมืองไทยจะกลายเป็นถิ่นกาขาวตามชาวฝรั่งตาน้ำข้าว พวกเขาจะพากันใส่รองเท้าเข้าโบสถ์วิหารอย่างไม่รู้สึกละอายใจ จะไม่สามารถรักษาและคุ้มครองความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนแห่งนี้ได้ ด้วยเหตุดังนี้ นับแต่เริ่มมีกรณีพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ เป็นต้นมา จนกระทั่งในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ อันถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษา เราจึงต้องเข้าดลใจให้คณะตุลาการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพื่อดำรงรักษาความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนนี้ไว้
ดังนั้น ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่จะถึงนี้ หากศาลโลกจะมีคำตัดสินวินิจฉัยออกมาอย่างไร ขอให้คนไทยจงทำใจยอมรับความจริงว่า ในตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ถึงกาลจะได้ครอบครองเขาพระวิหารอย่างเต็มภาคภูมิ เราจะต้องให้กัมพูชาอันเป็นเชื้อสายของผู้สร้างปราสาทเขาพระวิหารที่ใกล้ชิดในสายเลือดกว่าได้เป็นผู้คุ้มครองรักษาต่อไป
เพราะถ้าให้เป็นสมบัติของคนไทยในตอนนี้ อย่างมากก็จะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหาเงินทองหรือทำเป็นแหล่งการค้าเท่านั้น แต่จะให้มีจิตสำนึกหวงแหนและมีความเคารพต่อสถานที่ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คงไม่อยู่ในจิตสำนึกของคนไทยแน่ เผลอๆจะเป็นสถานที่พลอดรักหรือสถานที่ปิกนิกของหนุ่มสาวให้เป็นบาปกรรมเปล่าๆ และจะถูกบริวารของเราสาปให้คู่รักหรือสามีภรรยาคู่ใดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงให้ต้องมีอันเลิกรา หย่าร้าง หรือพลัดพรากจากกันโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
เพราะขนาดโบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และพระพุทธรูปโบราณสมัยอยุธยากลางประเทศแท้ๆ คนไทยก็ยังปล่อยให้ชาวต่างประเทศมานั่งบนตักถ่ายรูปเหมือนเป็นของเล่นได้ โดยที่ไม่มีใครทำอะไร เพราะมัวแต่กลัวกระทบการท่องเที่ยว
คนไทยจะมีโอกาสได้ครอบครองปราสาทเขาพระวิหารในยุคต่อไป เมื่อคนไทยเปลี่ยนจุดยืนใหม่ที่ไม่วิ่งตามชาติตะวันตกอีกแล้ว เมื่อใดที่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ และกล้าหาญที่จะยกย่องพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ เหมือนที่กัมพูชา ลาว พม่า หรือศรีลังกาเขายังทำได้ ดูอย่างประเทศลาวที่คนไทยมักจะดูถูกเขาอยู่เสมอนั้น ขนาดเขาปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์แท้ๆ เขาก็ยังบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเต็มภาคภูมิว่า มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เมื่อใดที่คนไทยยกย่องพระพุทธศาสนา และมองเห็นคุณค่าของเขาพระวิหารว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คิดแต่เรื่องโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น เมื่อนั้นแหละจะมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งทำให้ปราสาทเขาพระวิหารมาเป็นของไทย โดยไม่ต้องอาศัยศาลโลกมาตัดสินและก็ไม่ต้องมารบกันให้วุ่นวาย
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อบอกกล่าวให้ทุกคนได้รู้จักเหตุผลอันลี้ลับที่อยู่เบื้องหลังผลแห่งคดีที่สองประเทศนี้พิพาทกันมานาน ส่วนใครจะคิดว่าเป็นนิทานไว้ฟังหรืออ่านเล่นเพื่อความสนุกก็ตามใจ
ขอให้ข้อคิดสะกิดใจไว้ประการหนึ่งว่า หากรบกันขึ้นมา คนที่เดือดร้อนก็คือคนไทยกับคนเขมร ส่วนฝรั่งมังค่าที่เขามานั่งตัดสินให้เราแพ้ชนะกันนั้น เขาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย มีแต่ชาวบ้านภูมิซรอลและผู้คนชาวศรีสะเกษเท่านั้นที่ต้องคอยหลบลูกกระสุนปืนใหญ่
ส่วนคนไทยบางคนที่อยากให้มีการรบกันด้วยข้ออ้างชาตินิยมนั้นก็อีก เวลาลูกกระสุนปืนใหญ่ตกก็พากันหนีกลับกรุงเทพฯกันหมด ไม่เห็นมีใครมาช่วยรับลูกกระสุนแม้แต่คนเดียว และบางทีจะไม่ได้รบกันแค่เพียงจุดนั้น แต่อาจต้องเปิดการรบตลอดแนวมาจนถึงอรัญประเทศก็ได้ ถ้าแบบนั้นถนน AH1 ที่พากันภูมิใจหนักหนาว่าจะเป็นถนนของประชาคมอาเซี่ยน ก็อาจเปลี่ยนจากถนนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กลายเป็นถนนให้รถถัง รถเกราะ หรือรถบรรทุกปืนใหญ่วิ่งเล่นจากพนมเปญไปกรุงเทพฯ หรือจากกรุงเทพฯไปพนมเปญ แทนไปพลางก่อน
ทหารนั้นอาจจะดีใจหน่อยที่จะได้มีโอกาสทดสอบฝีมือที่ฝึกปรือมานาน เพราะบางคนจบจากโรงเรียนทหารก็ยังไม่เคยได้เข้าสูสนามรบจริงแม้แต่ครั้งเดียว คราวนี้ก็จะได้มีโอกาสได้รับเหรียญกล้าหาญ เหรียญพิทักษ์เสรีชน เหรียญกล้ากลางสมรที่ได้ผ่านศึก ได้ทำหน้าที่ชาติอาชาไนยรักษาอธิปไตยอย่างคึกคักมีชีวิตชีวา
แต่ก็อย่างว่า ชาวบ้านตาดำๆลูกหลานของข้าทั้งสองฝ่ายนี่สิ ต้องพลอยมาหอบลูกจูงหลานหลบหนีลูกกระสุนที่พวกเอ็งกับฮุนเซนรบกัน หากเป็นไปได้ก็อย่าได้รบกันเป็นดีที่สุด แต่ถ้าถึงคราวที่ฟ้าลิขิตต้องมาประลองกำลังให้ล้มตายย่อยยับกันเสียคราวหนึ่ง หลังจากหงอยเหงาไม่ได้รบกันมาสามสิบปีแล้ว ข้าก็ต้องวางอุเบกขาให้เป็นไปตามยถากรรมและชะตากรรมของโลกและบ้านเมือง...
. ขอให้ทุกคนจงรักษาตัวเองทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา คำตัดสินของศาลจะเป็นประการใด ก็ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของมนุษยชาติ จงยอมรับความเป็นจริงและดำรงสติตั้งมั่นไว้เสมอ ขอให้ทุกคนพบแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลรักษาตนให้ปลอดภัยโดยทั่วกันเทอญ
เราขอเตือนและให้โอวาทท่านทั้งหลายเพียงเท่านี้ ลาก่อน...
คุรุอตีศะ
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖