ความในใจของซิลเวอร์

ความในใจของซิลเวอร์

 

           เมื่อฉันเกิดมา  ฉันมีพี่น้องท้องเดียวกัน ทยอยออกจากท้องแม่ในเวลาใกล้เคียงกันสี่ตัว  แม่บุญธรรมผู้ใจบุญได้รับฉันมาอุปการะเลี้ยงดูอยู่ในวัด  ตั้งแต่ฉันกับน้องของฉันอีกตัวหนึ่งยังไม่ทันได้ลืมตา  แม่ได้ตั้งชื่อให้น้องชายของฉันว่า “โกลเด้น” (Golden)  ส่วนตัวฉันแม่ได้เมตตาตั้งชื่อของฉันว่า “ซิลเวอร์” (Silver)

 

          แม่ที่คอยเอาใจใส่ตั้งแต่ฉันลืมตามองดูโลกนั้น  เวลาเดินแม่จะเดินสองขาตั้งกายตรง  แต่ตัวฉันเวลาเดินกลับเดินไม่เหมือนกัน  เพราะทั้งน้องโกลเด้นและตัวฉัน กลับเดินสี่ขาอยู่กันเพียงสองตัว  ส่วนแม่ผู้อุ้มท้องคลอดฉันออกมานั้นเดินสี่ขาเหมือนฉัน  แต่ฉันก็ไม่เคยรู้จักว่าแม่ของฉันตัวไหน  และคงไม่รู้จักไปจนตลอดชีวิต  เพราะนั่นคือความเป็นปกติของเผ่าพันธุ์สัตว์โลกอย่างฉัน  ที่เมื่อเกิดมาแล้วและเติบใหญ่ ความเป็นแม่เป็นลูกก็หายไป   ส่วนพ่อนั้น ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยแทบจะไม่มีใครรู้จักพ่อของตนเองเลย

 

          เมื่อตอนแม่พาฉันและน้องโกลเด้นมาอยู่วัดนั้น  แม่เอาฉันนอนบนผ้าอ้อมแล้ววางไว้ในกล่องของลูกแมวแล้วปิดฝาไว้  เวลาฉันร้องหิวนม แม่ก็จะเอานมกล่องหยอดใส่ปากให้  แล้วฉันก็นอนหลับไปโดยไม่ต้องกินนมจากเต้าของแม่เหมือนพี่น้องครอกเดียวกันที่ยังใช้ชีวิตอยู่กับแม่สี่ขา  ตอนนั้นฉันยังไม่ทันลืมตา ตัวเล็กเท่าลูกแมวเท่านั้น  ใครๆที่มานอนวัดรักษาศีลต่างพูดกันว่า “จะเลี้ยงรอดหรือตัวแค่นี้?”

 

           ตอนฉันมาอยู่ที่ศาลาหลังเล็ก  ก่อนหน้านั้นมีสัตว์สี่ขาแบบเดียวกับฉันอยู่ในศาลาแล้วประมาณ ๖ ตัว สัตว์สี่ขาเหมือนฉันนี้คนทั่วไปเรียกกันว่า “แมว” ฉันรู้สึกเกรงใจสัตว์พวกนี้เพราะเรามาทีหลัง  พวกเขาวิ่งขึ้นต้นไม้ วิ่งขึ้นบนหลังคาได้ ส่วนฉันวิ่งได้แต่พื้นราบ  ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ใหญ่และให้ความเคารพ จึงผูกมิตรกับรุ่นพี่เหล่านั้น จนกระทั่งมีสายสัมพันธ์ยั่งยืนมาจนถึงเดี๋ยวนี้  แม้ร่างกายฉันจะใหญ่โตกว่าพวกพี่ๆเขาหลายเท่า แต่ฉันก็ยังเคารพให้เกียรติรุ่นพี่เหล่านั้นเสมอ แม้เราจะมีชนชาติเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน  ทุกวันนี้เราจะเข้าไปกระดิกหางดมๆทักทายรุ่นพี่กันเสมอ

 

           ตอนที่ฉันเกิดมาใหม่  แม่ผู้แสนใจบุญของฉันยังนอนศาลาโล่งกว้าง ยังไม่มีกุฏิ ต้องเดินย่ำน้ำฝนไปเข้าห้องน้ำไกลถึง ๑๐๐ เมตรทุกคืนแม้ในยามฝนตก  ฉันต้องร้องไห้กระจองอแงกันสองคนกับน้องโกลเด้นเพราะเข้าใจว่าแม่จะทิ้งฉันไปไม่กลับมา  เพราะฉันยังไม่เข้าใจว่ามนุษย์นั้นเขาต้องไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ส่วนตัวฉันและเผ่าพงศ์สัญชาติเดิมของฉันนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องใช้ห้องน้ำ  เพียงมีต้นเสา ต้นไม้ หรือที่รกๆสักหน่อย ก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหลือไว้แค่สามขา  เพียงแค่นั้นธุระของพวกฉันก็เสร็จสิ้นแล้ว

 

              แต่การทำธุระส่วนตัวแบบนั้น  จะเป็นสำหรับเผ่าพงศ์ทั่วไปของฉันเท่านั้น  ส่วนตัวฉันยกขาข้างเดียวไม่เป็นเหมือนคนอื่น ฉันรู้สึกไม่คุ้นเคย ฉันจึงยืนสี่ขาอย่างมั่นคง  ไม่มีการยกขาแต่อย่างใด  และส่วนใหญ่เวลาทำธุระ ฉันก็จะอาย ไม่อยากให้ใครเห็น  ต้องแอบทำธุระในป่ารก แล้วจึงใช้สี่ขาวิ่งออกมาอย่างสบายใจ

 

            เมื่อฉันกับน้องโกลเด้นอยู่ในวัดได้ประมาณสี่เดือน  วันหนึ่งพี่ท้อป (Top)ก็วิ่งมาจากไหนไม่ทราบมาขออาศัยอยู่ในวัดด้วย  พี่ท้อปมีอายุมากกว่าฉันและน้องประมาณหนึ่งปี กำลังเริ่มจะเป็นหนุ่ม  พี่ชายคนนี้แม้จะมีผิวสีดำ แต่มีสี่ตาและใจดี  มีความเจียมตัวไม่ยอมตีตนเสมอท่าน ไม่เรียกร้องอภิสิทธิ์เท่าเทียมกับฉัน  และถึงแม้คิดจะเรียกร้องฉันก็ไม่มีวันยอม  พี่ท้อปใจดีมีเมตตา มีขันติความอดทนเป็นเยี่ยมและยอมให้ฉันข่มได้ตามใจเสมอ  เราจึงอยู่ร่วมโลกกันได้ เพราะฉันพอใจที่ฉันเหนือกว่าในทุกด้าน  ฉันจะต้องยิ่งใหญ่กว่าใครเสมอ  การข่มขู่พี่ท้อปให้อยู่ในอำนาจและความต้องการได้คือความสุขของฉันอย่างหนึ่ง

 

             เมื่อฉันและโกลเด้นอายุได้ประมาณห้าเดือน  ได้เกิดวิกฤติครั้งสำคัญในชีวิต  คือมีเจ้าเสือกับครอบครัวและบริวารที่เจ้าของย้ายบ้านหนีไปแล้วปล่อยทิ้งไว้ที่โรงทานคอยรังควานข่มเหง  ฉันเองและโกลเด้นไม่เคยรู้จักความโหดร้ายของโลกนี้มาก่อน  เพราะเคยได้รับแต่ความรักความเมตตามาเสมอ  ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาทำร้ายและเบียดเบียน

 

             วันนั้นหลังจากปีใหม่ไม่นาน  ขณะฉันวิ่งตามจักรยานอันเป็นเบนซ์คู่ใจของแม่  พอคล้อยหลังจากโรงทานได้สักครู่เพื่อจะไปทานอาหารที่แม่กำลังขับเบนซ์สองล้อบรรทุกไปอยู่นั้น  เจ้าเสือและสมุนบริวารได้อาศัยความเป็นอันธพาลวิ่งจู่โจมเข้ากัดอย่างรวดเร็ว  ทำให้น้องโกลเด้นหนังข้างหลังขาดเหวอะหวะ  ส่วนฉันก็บาดเจ็บไม่น้อย  ฉันได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า สัตว์สี่ขาพวกนี้แม้จะหน้าตาเผ่าพันธุ์เดียวกับฉัน แต่ก็ไว้ใจไม่ได้

 

           วันนั้นฉันได้เห็นน้ำตาของแม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักลืมตามาดูโลก  แม่ตระกองกอดน้องและกอดฉันเหมือนกับลูกคนหนึ่งและทำกับฉันเหมือนฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งฉันซึ้งใจมาก  แต่ฉันพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ จึงได้แต่มองตาละห้อยถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

           แม่ได้พาฉันไปรักษากับสัตวแพทย์ในตลาด  ในวันนั้นฉันได้ขึ้นนั่งบนรถของน้ากะปุ๊กลุกที่ใจดีมาก น้าได้อนุญาตให้แม่พาฉันนั่งบนตักแล้วเปิดกระจกรถ รีบเร่งพาน้องโกลเด้นที่บาดเจ็บสาหัสและพาฉันไปหาหมอ โดยที่น้ากะปุ๊กลุกไม่มีความรังเกียจในความเป็นสัตว์สี่ขาของฉันเลยแม้แต่น้อย  ฉันได้อาศัยรถคันนี้ไปหาหมอหลายครั้งจนบาดแผลหายดี  แม้ฉันจะกล่าวขอบคุณอะไรไม่ได้  แต่ฉันก็ขอกระดิกหางอันสวยงามของฉันแสดงความกตัญญูและความขอบคุณต่อเจ้าของรถคันนี้ทั้งครอบครัวตลอดมา

 

            ปกติแล้ววัดแห่งนี้ก็ไม่ค่อยมีใครมาเท่าไหร่นัก  เพราะหลวงพ่อที่แสนมีพระคุณล้นเหลือที่อนุญาตให้แม่นำฉันและน้องมาเลี้ยงอยู่ในวัดได้ท่านไม่ค่อยรับแขก  ดังนั้นบริเวณวัดอันกว้างใหญ่นี้ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราสามคนพี่น้องช่วยกันดูแลอารักขามาตลอด  แต่ก็แปลกมนุษย์พวกนั้นวันดีคืนดีไม่รู้มาจากไหน  พอมาเห็นฉันนอนบนศาลาก็พากันมาไล่  ทำยังกับว่าตัวเองอยู่ในวัดตลอดเสียอย่างนั้น  แท้ที่จริงนั้น  บางคนตั้งหลายเดือนกว่าจะโผล่หน้า  และเวลามาก็เอาแต่หน้าเหี่ยวๆที่อมทุกข์มา  แต่เวลาสนุกสนานเฮฮาก็พากันไปพัทยา ไปภูเก็ต ไปบางแสน  ไม่เห็นพากันมาหาหลวงพ่อแม้แต่คนเดียว  ฉันล่ะมันเขี้ยวและหมั่นไส้มนุษย์พวกนี้นัก

 

              บางครั้งหลวงพ่อลงรับแขกช่วงเวลามีการปฏิบัติธรรมตามกำหนดที่ระบุไว้  คนเหล่านี้ก็ไม่เห็นโผล่หน้ามา อ้างว่ามีธุระต้องไปส่งลูกบ้างล่ะ ต้องไปงานแต่งงานบ้างล่ะ  ต้องไปอบรมสัมมนาบ้างล่ะ แต่จะโผล่หน้ามาตามใจตัวเองยามหลวงพ่องดรับแขก  เหมือนกับว่าหลวงพ่อเป็นพนักงานต้อนรับบนโรงแรมที่จะต้องต้อนรับพวกเขาได้ทุกเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงตามความพอใจของเขา

 

              ถ้าหลวงพ่อไม่สั่งกำชับพวกฉันไว้ว่าทำตัวให้เรียบร้อย  อย่าทำร้ายใคร  ฉันคงอดใจไม่ได้ ต้องได้งาบเหล่าไฮโซผู้อวดร่ำอวดรวย อวดเกียรติอวดยศไปหลายคนแล้ว  เพราะบางคนนั้นแต่งตัวสวยๆแต่งชุดราคาแพงๆ แต่ใจข้างในนั้นซับซ้อนมีเล่ห์กลยิ่งนัก  แต่แม้ฉันจะหมั่นไส้สักเพียงใด ก็ระงับใจได้เพราะฉันก็พยายามรักษาศีลของฉันเหมือนกัน  เผื่อฉันจะได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์ในชาติใหม่ แล้วฉันจะทำแต่ความดีอย่างเดียว

 

             ในท่ามกลางผู้คนที่หลากหลาย  แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่มาด้วยน้ำใสใจจริง  อย่างป้าคนหนึ่งที่มาจากกรุงเทพฯ  ฉันกับพี่ท้อปก็ไปนอนอารักขาให้ตลอดคืนด้วยความเต็มใจ  นอกจากจะทำตามคำสั่งของแม่แล้ว ฉันเองก็มีความเต็มใจด้วย  ที่ได้นอนอารักขาและได้เสนอหน้าทำความดีความชอบตามนิสัยที่ชอบโอ้อวดที่ติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน  ฉันเองและพี่ท้อปก็อาศัยความซื่อบริสุทธิ์ตามสัญชาตญาณ  สัมผัสกระแสดวงจิตของคุณป้าได้ว่ามีใจบริสุทธิ์และรักสถานที่แห่งนี้ด้วยใจจริง  แต่ก็เคยกัดกันเป็นที่อับอายขายหน้ามาครั้งหนึ่ง ที่ต่างไม่ยอมกันในการเสนอหน้าประจบแสดงความดีความชอบ  พี่ท้อปโมโหเผลอสติกัดฉันจนตกน้ำมาแล้ว

 

            แม้ฉันจะอดทนได้ต่อคนที่มาที่นี่อย่างฉาบฉวย  มาเอาประโยชน์ฟังธรรมสบายใจแล้วก็หายไป พอไม่สบายใจก็มาใหม่ แล้วก็หายหน้าไปเป็นปกติ  แต่สิ่งที่ฉันแทบจะทนไม่ได้ก็คือ พอฉันเข้าไปนั่งในศาลาด้วย คนเหล่านั้นก็พากันมารุมด่าและรุมไล่อย่างไม่มีการเคารพและให้เกียรติกันเลย

 

           ฉันก็แปลกใจว่าทำไมฉันนั่งด้วยไม่ได้  ทั้งที่คนพากันมานั่งก็มีแต่คนใจบุญและสวยๆทั้งนั้น  ฉันเองก็อยากนั่งด้วยตามนิสัยเจ้าชู้ที่ติดตัวมา  แต่พวกเขากลับพากันมาก่นด่าและขับไล่ไสส่งเหมือนฉันเป็นคนอื่นเสียอย่างนั้น  ช่างไม่เคยคิดสักนิดกันเลยว่า แต่ละวันนั้น  เป็นใครกันเล่าที่คอยเฝ้าวัดและเฝ้าศาลาหลังนี้ตลอดมา

 

           ที่น่าเดือดดาลและรำคาญที่สุดก็คือ ชาวบ้านที่มาหาปลา เหมือนจงใจจะแกล้งเข้ามายั่วโทสะใกล้ๆ  ฉันก็ตะโกนถามออกไปว่า “เฮ้ย! ที่นี่เขตวัดนะโว้ย  ให้ไปหากันที่อื่น”  แต่พอตะโกนออกไป เสียงของฉันกลับดังว่า “โฮ่ง โฮ่ง!”  คนพวกนั้นก็ไม่เข้าใจเสียอีก  แต่ฉันก็พยายามเห่าให้นานที่สุด จนพวกนั้นหนีไปเอง

 

          ชีวิตของฉันในวันนี้  ฉันก็มีความสุขตามอัตภาพ  เคยเหงาและเศร้าอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งน้องโกลเด้นจากไปไม่มีวันกลับ ฉันกับพี่ท้อปจึงอยู่กันเรื่อยมาด้วยความปรองดองกว่าเดิม เพราะเรามีกันเพียงแค่นี้ ฉันได้กินอิ่มและมีคนเอาอาหารอร่อยมาฝากอยู่เสมอไม่รู้จักความอดอยาก  มีความลำบากบ้างก็ตรงที่ไม่มีสาวควงเหมือนเจ้าหมีและเจ้าเสือบ้านหน้าวัด   หลวงพ่อพูดกับฉันว่า “ถ้าอยากกลับมาเกิดเป็นคนอีก ให้ถือพรหมจรรย์  อย่าไปมีอะไรกับเจ้าแดง เจ้าด่าง เจ้าสำลีหน้าวัด”  ฉันก็เชื่อฟัง แม้จะมีความคึกคักบ้าง แต่ก็พอทนได้  เพราะแม่จับฉันทำหมันกลายเป็นหมาขันทีตั้งแต่ฉันเริ่มโตเป็นหนุ่มตอนอายุหกเดือน

 

          ในฤดูกาลแต่งงานของเหล่าสี่ขาเมื่อเดือนสิบที่ผ่านมา  ฉันประคองตัวรอดพ้นได้อย่างหวุดหวิด เพราะแม้ฉันจะไม่ไปเที่ยวเตร่ซุกซนข้างนอก สำรวมในศีล  แต่ก็ยังมีเจ้าแดงที่น่ารัก และเจ้าสำลีผิวขาวนวลแสนสวย เข้ามาทอดสะพานถึงในวัด  ฉันเองไม่ถนัดแม้จะพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงรอดตัวมาได้

 

         ส่วนพี่ท้อปนั่นสิ  ตบะแตกต้องเสียตัวให้สาวน้อย สาวแก่ แม่หม้ายเหล่านั้น  จนผอมโซและล้มป่วยต้องถูกพาไปหาหมอให้ฉีดยารักษา  พี่ท้อปของฉันต้องงุ่นง่านฟุ้งซ่านวิ่งไปวิ่งมาในวัดเหมือนบ้าคลั่งอยู่เกือบเดือน เพราะตรอมใจที่ไปหานางสำลีและนางด่างผู้มีเจ้าของคอยหวงแหนไม่ได้  ฉันเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะเราเป็นหมาวัด ไม่ใช่หมาบ้าน  จึงไม่มีบริวารที่จะไปแย่งชิงนางอันเป็นที่รักมาให้พี่ท้อปสมใจได้  แต่สุดท้ายฤดูกาลอันโหยหวนก็ผ่านไป พี่ท้อปทำใจได้  สำรวมจิตใจมีสติขึ้นมาใหม่ พ้นจากการตรอมใจมากินข้าวปลาอาหารเหมือนเดิมแล้ว  นี่แหละหนาที่พระท่านว่า อานุภาพแห่งความรักย่อมทำให้คนดีก็ได้ ทำให้บ้าก็ได้

 

          ความในใจของฉันมีมากมาย  แต่สำหรับช่วงนี้ฉันขอพูดถึงความในใจเพียงเท่านี้ก่อน  และในท้ายที่สุดนี้ ฉันขอส่งใจมายังท่านทั้งหลายผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้  ท่านทั้งหลายนั้นโชคดีมากที่ได้มีโอกาสรักษาศีล ฟังธรรมและปฏิบัติธรรม   ส่วนตัวฉันผู้มีนามว่า “ซิลเวอร์”นี้ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์แสนรู้ประสาและน่ารักสักเพียงใด  แต่เวลาขึ้นศาลาฟังธรรมทีไรฉันจะง่วงนอนแล้วหลับทุกครั้ง เพราะอำนาจโมหะที่ครอบงำจิตสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิดที่พระพุทธองค์ตรัสว่า จะไม่มีทางฟังธรรมเข้าใจได้

 

         ฉันเองก็เพิ่งเข้าใจว่ามันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ  เมื่อมาเป็นซิลเวอร์ในชาตินี้ ฉันจะเข้าใจแต่เรื่องกิน เรื่องนอน และการเสพกามตามสัญชาตญาณของสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น  ส่วนธรรมะอะไรต่างๆนั้นจะผ่านหูฉันไปเฉยๆ

 

        ฉันจึงพยายามมีศีลไม่ยอมทำร้ายใคร เมื่อเกิดมาใช้ชาติหมดอายุลงวันใดแล้วเกิดใหม่  ขอให้บุญกุศลที่ฉันสั่งสมไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ได้ส่งผลให้ดวงจิตของฉันก้าวขึ้นสู่ภพภูมิอันบริสุทธิ์  ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วฉันจะบวชตลอดชีวิตไม่ยุ่งเกี่ยวกับหญิงใดอีกเลย  ขอให้ทุกคนจงเอาใจช่วยฉันด้วยเถิด

 

                                                                                        คุรุอตีศะ

                                                                              ๑๐  พฤศจิกายน  ๒๕๕๖