รักที่สูงส่ง
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
รักที่สูงส่ง
ในสมัยเป็นนักเรียนมัธยม เคยอ่านหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่งคือ “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพา ได้อ่านเรื่องราวความรักระหว่างคุณหญิงกีรติซึ่งยังอยู่ในวัยสาว แต่ต้องมาใช้ชีวิตเป็นภรรยาของท่านเจ้าคุณซึ่งมีอายุเข้าสู่วัยชราแล้ว เป็นการแต่งงานโดยไม่ได้เกิดจากความรักที่แท้จริงในจิตใจ ต่อมาได้พบกับ”นพพร” ซึ่งเป็นนักเรียนนอกที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วเกิดเป็นความรักที่ซาบซึ้งระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว
แต่ด้วยมีกำแพงประเพณีและศีลธรรมอันดีขวางกั้นระหว่างคนทั้งสอง ทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ จนต่อมานพพรมีครอบครัวจนเข้าสู่วัยกลางคน โดยไม่เคยเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งจากสตรีผู้สูงศักดิ์ว่ามีใจรักให้แก่ตน จนกระทั่งบั้นปลายชีวิตของคุณหญิงซึ่งอายุสั้นกว่าคนทั่วไป ได้มอบภาพเขียนที่วาดด้วยฝีมือตนเองให้แก่นพพรก่อนจะตาย ภาพนั้นเป็นภาพที่มีฉากหลังเป็นน้ำตกมิตาเกะที่ทั้งสองเคยมีโอกาสนั่งคุยกันอย่างมีความสุข นพพรก็ติดภาพนั้นไว้ข้างฝาภายในห้องรับแขกภายในบ้าน
ใครๆเข้ามาเป็นแขกในบ้าน ต่างก็บอกว่าภาพนั้นไม่เห็นจะมีฝีมือในการวาดภาพอะไร ทำไมต้องเอามาติดโชว์ไว้ข้างฝา นพพรก็ได้แต่คิดในใจว่าภาพนั้นดูไม่มีราคาไม่มีฝีมืออะไร แต่เรื่องราวชีวิตของคนสองคนที่อยู่ “ข้างหลังภาพ”นั้นสำคัญและยิ่งใหญ่ที่บอกใครไม่ได้ และภาพเขียนภาพนั้นได้เป็นแรงบันดาลใจให้นพพรอุทิศตนให้แก่สังคม ด้วยความซาบซึ้งใจที่คุณหญิงผู้สูงศักดิ์ แม้จะมีความรักมีกิเลสเช่นเดียวกับคนทั้งหลาย แต่ก็รักษาความสูงส่งแห่งความรัก รักษาความเป็นกุลสตรีและเกียรติยศไว้ได้จนวันตาย
สมัยที่อ่านนวนิยาย”ข้างหลังภาพ”เรื่องนี้ยังเป็นเด็ก แต่อ่านจบแล้วสมองหนักอึ้งเต็มไปด้วยแง่มุมให้ชวนคิดมากมาย อ่านแล้วแทนที่จะสบายใจเหมือนนิยายรักทั่วไป แต่จะมีคำถามอยู่ในใจอยู่คนเดียวว่า “ความรักแบบนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่” ทั้งคุณหญิงและนพพรทำถูกหรือไม่ที่ประพฤติตนสนิทสนมกันแบบนั้น เป็นคำถามที่เอาความผิดความถูกมาเป็นหลัก เป็นหลักปรัชญาที่เอาไปวินิจฉัยความรัก และก็ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริงตลอดมาจนกระทั่งออกบวช
เมื่อบวชได้สี่พรรษา ขณะนั้นเป็นเดือนพฤศจิกายนอากาศเริ่มเย็น ขณะทำกรรมฐานจิตเกิดความสงบมีความสุขอยู่บนภูเขาสู่ทางภาคอีสาน หลังจากเจอช้างป่าประจันหน้าแล้วรอดชีวิตมาได้ วันหนึ่งอยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องข้างหลังภาพนี้ขึ้นมา จึงได้ขอโอกาสถามพระอาจารย์ในป่าขึ้นว่า “ทำไมคนสองคนนี้จึงรักกันได้ ทั้งที่ฝ่ายหญิงก็มีสามีแล้ว และก็อยู่ในฐานะอันประกอบด้วยเกียรติยศ มีความเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่กลับมารักชายหนุ่มซึ่งยังไม่มีอนาคต”
ท่านพระอาจารย์ในป่าท่านตอบว่า “รักก็คือรัก ไม่ขึ้นกับเหตุผลหรือกฎเกณฑ์ของสังคมที่คนทั้งหลายพากันยึดว่าดีว่าชั่ว นี้คืออานุภาพของวัฏฏสงสารที่ยากจะเข้าใจ ในวันหนึ่งข้างหน้าลูกจะต้องไปเป็นพระในเมือง ได้ช่วยเหลือคลี่คลายปัญหาทางใจของผู้คน ที่พวกเขาจะมีความรักและการใช้ชีวิตที่สับสนซับซ้อนเช่นนี้อีกจำนวนมาก การจะช่วยพวกเขาได้ ต้องเข้าใจความลี้ลับของกฎแห่งกรรมที่มนุษย์ทุกคนมีลีลาแตกต่างกันไป บางกรณีอย่าเอาศีลธรรมไปตัดสินเขาในขณะนั้น เพราะเขามีความทุกข์จากความรักมากพอแล้ว เขาต้องการน้ำทิพย์คือธรรมะชโลมใจ มากกว่าจะได้ยินใครมาคอยตัดสินชีวิตของเขาว่าดีหรือเลว จงใช้เมตตากับคนในยุคต่อไปให้มาก เพราะใจของผู้คนในอีกยี่สิบปีข้างหน้า จะโหยหาทั้งความรักและความดี”
ต่อมาได้อ่านนวนิยายเรื่อง “ลูกทาส” ของรพีพร จากห้องสมุดสโมสรนายทหาร เพียงพลิกอ่านสองสามหน้าก็ประทับใจในสำนวนและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ เรื่องลูกทาสนี้อ่านแล้วประทับใจมาก จนเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเป็นเนติบัณฑิตไทยเหมือนพระยารัตนอรรถชัยซึ่งเป็นเนติบัณฑิตรุ่นแรกสมัยปี พ.ศ. ๒๔๔๑ และประทับใจในความเป็นกุลสตรีของคุณน้ำทิพย์ที่มีทั้งปัญญา มีทั้งความกล้าหาญ กล้ายืนอยู่บนความถูกต้องพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่าง และมีน้ำใจรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะผ่านเหตุการณ์และพบกับความวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตสักกี่ครั้งก็ตาม
ในที่สุด ความรักที่สูงส่งของคนทั้งสอง ทำให้เจ้าแก้วซึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ย ได้กลายเป็นพระยารัตนอรรถชัยในเวลาต่อมา ความรักระหว่างคุณน้ำทิพย์กับเจ้าแก้วนี้เป็นตัวอย่างของความรัก ที่ทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์ที่ชัดเจนมาก อันเป็นตัวอย่างชีวิตที่เป็นพลังสร้างสรรค์ในทางโลก
ชีวิตของคนๆหนึ่งนั้น คนที่โชคดีคือคนที่ได้รู้จักกับความรักที่นำพาชีวิตของตนไปสู่ความสูงส่ง เป็นความรักที่เป็นพลังให้หัวใจทั้งสองดวงรวมเป็นหนึ่งในการทำประโยชน์และสร้างสรรค์สิ่งดีงามขึ้นมา อย่างเช่นเจ้าแก้ว จากที่เคยต่ำต้อยเป็นเพียงทาส แล้วต่อมาได้กลายเป็นพระยา เป็นตุลาการดำรงความยุติธรรม มีเกียติยศอันสูงส่งต่างจากฐานะเดิมของตนราวฟ้ากับดินเช่นนั้นได้ ก็เพราะอาศัยอานุภาพแห่งความดีและความรัก
เหมือนอย่างนวนิยายเรื่อง “บ้านทรายทอง” ความใสซื่อไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ใจต่อทุกคนทำให้ “พจมาน” ซึ่งเป็นเด็กสาวบ้านนอกที่เคยซุกซนเหมือนเด็กผู้ชายไปตามประสา เป็นเหมือนเด็กกะโปโลธรรมดาคนหนึ่ง สามารถทำให้อธิบดีหนุ่มผู้เป็นคุณชายที่ครองโสดมาจนอายุ ๔๐ ปี พลิกจิตใจสละภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดีที่คอยแต่จะสวมหน้ากากเข้าหากันในวงสังคม กลับมาทุ่มเทและมอบใจให้เด็กสาวพจมานที่ใครๆพากันตราหน้าว่าไพร่ จนเป็นที่อิจฉาริษยาของสตรีชั้นสูงทั้งหลาย ที่ปรามาสชายกลางว่าใฝ่ต่ำเอาเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นคู่ชีวิตได้อย่างไร
ความจริงแล้วชายกลางไม่ได้ใฝ่ต่ำแต่คือชายผู้ใฝ่คุณธรรม มองคนที่คุณธรรมมากกว่าความสวยหรือความเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล คือผู้ชายที่มีปัญญามองเห็นสัจธรรมว่า ความเป็นผู้ดีนั้นหากไม่เกิดจากน้ำใสใจจริง ก็เป็นเพียงมารยาเสแสร้งไม่ได้เป็นความดีอะไร และเกียรติยศความสูงส่งของคนนั้นก็ไม่ขึ้นกับชาติตระกูลเสมอไป หากบุคคลใดมีความจริงใจ มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และมีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่เคยคิดร้ายกับใคร บุคคลนั้นก็เป็นผู้ดีและเป็นคนสูงส่งได้ไม่จำเป็นต้องอาศัยชาติตระกูล ละครเรื่องนี้จึงอมตะ
หลายคนบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครน้ำเน่า แต่ความจริงแล้วหากพิจารณาให้ดี จะเห็นปรัชญาชีวิตอันลึกซึ้งอยู่มากมาย หลายคนดูอยู่หลายครั้งหลายเวอร์ชั่น ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าชายกลางมารักพจมานได้อย่างไร และทำไมพจมานเด็กสาวกะโปโลจึงได้มีวาสนาเป็นศรีภรรยาของคุณชายผู้เพียบพร้อมสูงส่งทั้งเกียรติยศและคุณธรรมเช่นนั้นได้
พจมานมีบุญวาสนาถึงเพียงนั้นได้ก็เพราะ “ใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาและความกตัญญู” คุณสมบัติข้อนี้คือความเหนือกว่าที่พจมานมี แต่สตรีผู้ดีหรือชนชั้นสูงเหล่านั้นไม่มี คุณธรรมข้อนี้ที่มีอยู่ในตัวพจมานยิ่งกว่าใครๆ เกิดอานุภาพอันยิ่งใหญ่ชักนำความรักอันสูงส่งดีงามมาสู่ชีวิตของพจมาน ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและดวงจิตที่กตัญญู คือแก้วสารพัดนึกของพจมาน ที่แม้บุรุษอาชาไนยและฐานะสูงส่งสักเพียงใดก็ต้องมอบใจให้
เคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่า “จิตที่ไร้เดียงสานี้มีอานุภาพในตัวเอง เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า” จิตตัวนี้จะอยู่เหนือเงินทอง เหนือเกียรติยศ เหนือตำแหน่งฐานะใดๆ เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพ หากใครรู้จักรักษาจิตที่ไร้เดียงสานี้ไว้ได้และเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับด้วยสติปัฏฐาน เขาจะเป็นพระอริยบุคคลก่อนตายในชาตินี้
ความรักที่สูงส่ง จะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลนั้นเจริญก้าวหน้า หากเป็นสามีภรรยาก็จะรักและเคารพนับถือกันจนวันตาย วีรบุรุษวีรสตรีทั้งหลายแม้บางท่านไม่มีคู่ครองมีครอบครัวเหมือนคนทั่วไป แต่ท่านจะมีความรักที่สูงส่งเช่นนี้เป็นพลังใจให้ท่านเสมอ
และเพราะเหตุที่ท่านไม่ต้องสูญเสียพลังในการที่จะต้องสร้างฐานะครอบครัวหรือใช้ชีวิตหมกมุ่นแต่ในเรื่องครอบครัวแบบคนทั่วไป ท่านจึงมีโอกาสใช้พลังแห่งความรักนี้สร้างสรรค์ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ดังที่เราทั้งหลายได้รับอานิสงส์จากความเสียสละของท่าน ซึ่งมีตัวอย่างอันมากมายให้เห็นอยู่ในทั่วทุกมุมโลก
ความรักอันสูงส่งที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยของ “ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล” ทำให้เธอไม่ยอมแต่งงานกับชายผู้เป็นขุนนางสูงศักดิ์ที่ครอบครัวของเธอจัดหาให้ แม้ถูกจับขังไว้เธอก็หนีจนได้ เพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลาทั้งหมดอุทิศตนแก่คนเจ็บไข้แทนที่จะมัวแต่คอยรับใช้สามีเพียงคนเดียว
ในที่สุดพลังแห่งความรักและยิ่งใหญ่ของเธอ ทำให้เธอกลายเป็น “ผู้ให้กำเนิดวิชาพยาบาล” ของคนทั้งโลก ทำให้อาชีพพยาบาลที่คนสมัยนั้นเคยดูหมิ่นว่าเป็นอาชีพต่ำต้อย กลายเป็นอาชีพที่มีเกียรติในเวลาต่อมา และในบั้นปลาย เธอก็มีชีวิตที่แสนอบอุ่นท่ามกลางลูกสาวที่สวมชุดขาวทั่วทั้งโลกโดยไม่ต้องมีสามี และจากโลกนี้ไปอย่างสง่างามดุจเทพเจ้าหรือเทพีในวัย ๙๐ ปี
หากชีวิตของเราในปัจจุบันเรามีสามีภรรยา เราก็พึงมีความรักที่สูงส่งนี้ไว้มากๆ แล้วความทุกข์จากการครองคู่จะน้อยลงไปและสงสารกัน เข้าใจกันมากขึ้น เอาความไร้เดียงสาสมัยรักกันใหม่ๆกลับคืนมา แล้วจะพบสวรรค์ในครอบครัวแม้ว่าวัยและร่างกายของเราจะร่วงโรยตามกาลเวลา
หากเราเป็นคนโสด เราก็เอาอย่างพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ไนติงเกล หรือแม่ชีเทเรซ่า ที่มีเมตตาและมีความเป็นแม่คอยโอบอุ้มค้ำจุนช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากโดยไม่จำเป็นต้องอุ้มท้องใคร แต่จะทุ่มเทจิตใจและมอบความรักให้แก่มวลมนุษย์และศาสนาไปจนร่างกายสังขารนี้จะแตกดับ
รักที่สูงส่งนี้ เมื่อมีในใจของใคร จะทำให้จิตใจมีพลังและมีความหวังในชีวิตอยู่เสมอ สติและสมาธิจะอยู่คู่กับคนนั้นแม้ไม่ต้องนั่งภาวนา ชีวิตจะมีปีติและมีกำลังใจอยู่ตลอดเวลา
นี้คือพลังแห่งความรักที่ช่วยค้ำจุนโลกใบนี้ตลอดมา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา เมตตาคือความรัก เป็นธรรมช่วยค้ำจุนโลก” ความรักที่สูงส่งเช่นนี้ ย่อมมีความเป็นอมตะและมีอานุภาพมาก เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้แก่มนุษยชาติและเป็นกำลังใจให้แก่อนุชนคนรุ่นหลังอย่างไม่มีวันตาย
คุรุอตีศะ
๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖