จังหวะก้าวของชีวิต

จังหวะก้าวของชีวิต


            ชีวิตของคนเราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน  ล้วนแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น ที่เป็นตัวผลักดันให้เป็นไป  สิ่งแวดล้อม แรงจูงใจ เจตนาและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในขณะใด อันเป็นจังหวะที่ย่างก้าวของชีวิตแต่ละคนนั้น จะกลายเป็นความพลิกผันหรือความเปลี่ยนแปลงอันสำคัญต่อชีวิตใดชีวิตหนึ่งสมอ


            ในทางโหราศาสตร์ เราเรียกผลแห่งเจตนาและการตัดสินใจเลือก “จังหวะก้าวของชีวิต” ที่แต่ละชีวิตตัดสินใจแตกต่างกันไปเช่นนี้ว่า “พรหมลิขิต” คือเสมือนหนึ่งมีพระพรหมซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดของศาสนาพราหมณ์เป็นผู้ขีดเส้นชีวิตให้แต่ละคนเลือกเส้นทางของชีวิตเป็นไปเช่นนั้น เพราะปรากฏอยู่หลายครั้งว่า บางทีเจ้าของชีวิตเองก็ไม่ได้มีเจตนาในตอนต้นว่าจะให้เป็นไปอย่างนั้นแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นไปนอกเหนือความคาดคิด นอกเหนือเจตนาได้บ่อยๆ  คนทั่วไปจึงมักเชื่อเรื่องพรหมลิขิตและเชื่อคำทำนายของโหราศาสตร์


            ส่วนในทางพระพุทธศาสนา ได้ปฏิเสธอำนาจของพระเจ้าหรือพระพรหมว่าไม่มีอำนาจมาลิขิต หรือบงการชีวิตของมนุษย์ให้เป็นไปตามใจของใครแต่อย่างใด แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่คอยบงการชีวิตให้ทุกคน มีลีลาของชีวิต ตลอดทั้งทำผิดหรือทำถูก ทำดีหรือทำชั่ว สำเร็จหรือล้มเหลว แตกต่างกันไปต่างๆนั้น คือ “กรรมลิขิต”ต่างหาก คือสิ่งที่แต่ละคนกระทำไว้เองทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ผลักดันชีวิตให้แต่ละคนมี “จังหวะก้าวของชีวิต”แตกต่างกัน การจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนให้ดีขึ้นจึงต้องสร้างกรรมดีในปัจจุบัน ไม่ใช่การรอคอยโชคชะตา


           หลายคนอาจจะเคยสังเกตว่า บางครั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของเรา ก็เกิดจากการตัดสินใจที่ดูเหมือนเล็กน้อยและธรรมดาในตอนนั้น หากไม่ตัดสินใจแบบนั้น ชีวิตในวันนี้ของเราก็อาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่กำลังเป็นอยู่นี้ก็ได้


         สิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เราตัดสินใจเช่นนั้น ก็คือกรรมที่เรากระทำไว้ในอดีต  ที่เป็นพลังผลักดันให้เรามีความโน้มเอียง มีแรงบันดาลใจ และตัดสินใจเลือกที่จะทำสิ่งนั้นลงไป  แทนที่เราจะตัดสินใจเลือกทำในสิ่งอื่น  กรรมของเรานั่นเองที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้เราตัดสินใจทำในสิ่งนั้น แทนที่จะตัดสินใจแบบอื่น


         ดังนั้น ผู้ที่มีศรัทธาใน”กรรมลิขิต” จึงได้เปรียบผู้ที่มัวปล่อยชีวิตล่องลอยไปตามพรหมลิขิตที่เอาแต่รอคอยโชคชะตา ก็ตรงที่จะมีพลังชีวิตและพลังสร้างสรรค์สิ่งดีงามอยู่เสมอ เป็นผู้ไม่ทอดอาลัยกับชีวิต เพราะรู้ดีว่า ชีวิตจะดีจะชั่ว ก็ขึ้นกับตนเองนี้ที่ลิขิตขึ้นเอง ดังนั้น เมื่อปรารถนาจะพบชีวิตที่ดี ก็ต้องหมั่นสร้างกรรมดีไว้เสมอ


            ชาวพุทธที่แท้จริง จะเชื่อมั่นในกรรมลิขิต มากกว่าจะไปสาละวนกับพรหมลิขิต เพราะพรหมลิขิตนั้นจะมีอิทธิพลและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักการเจริญสติหรือไม่รู้จักวิปัสสนาเท่านั้น


            พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จะไม่ใส่ใจกับพรหมลิขิตหรือให้คำทำนายใดๆมามีอิทธิพลต่อชีวิตของท่านอีกแล้ว แม้ว่าคำทำนายนั้นจะถูกต้องและแม่นยำก็ตาม เพราะท่านเชื่อมั่นในผลของกรรมว่า ที่ตนได้รับผลแห่งกรรมดีหรือผลแห่งกรรมชั่วทุกวันนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ตนเองกระทำไว้ทั้งสิ้น


          ชาวพุทธที่แท้จริง ที่จะมีศรัทธามั่นคงและเข้มแข็งนั้น จะต้องมีความมั่นคงใน “กัมมัสสกตาศรัทธา” คือมีความเชื่อมั่นในกรรมลิขิตว่า ทุกคนทุกชีวิตไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนแล้วแต่มีกรรมเป็นของๆตน ไม่มีใครล่วงพ้นกรรมไปได้  เพื่อความไม่ประมาท เพราะไม่รู้ว่าในอดีตนั้นตนเองทำกรรมดีกรรมชั่วอะไรไว้บ้าง ชีวิตในปัจจุบันนี้จึงขอทำแต่กรรมดีไว้เสมอ ผู้ที่มั่นคงในกรรมดี จะส่งผลให้ดวงชะตาเดิมของตนเปลี่ยนไป


          โหราจารย์ผู้ชำนาญจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะทำนายดวงชะตาของผู้ที่ปฏิบัติธรรม เพราะมักจะทำนายผิดพลาด  เนื่องจากพระอริยบุคคลหรือผู้ที่เจริญสติ ผู้เจริญวิปัสสนา หรือผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น ท่านจะกลายเป็นผู้อยู่เหนือดวงชะตาเดิม  ลัคนาตามพื้นดวงชะตาเดิมไม่สามารถนำมาใช้ทำนายให้แม่นยำได้อีก


          “จังหวะก้าวของชีวิต” ซึ่งมีผลตามมาในภายหลังแก่ชีวิตของแต่ละคนนั้น ก็คือกรรมหรือการกระทำของเราเองที่ทำให้เป็นไป ดังนั้น การตัดสินใจอย่างใดลงไป เราจึงต้องกล้าเผชิญและยอมรับผลแห่งการตัดสินใจนั้นโดยไม่คิดบ่ายเบี่ยง ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องใด  ก็แก้ไขแล้วตั้งต้นใหม่ ด้วยความมั่นใจว่าสักวันกรรมดีที่เรากำลังสั่งสมกระทำบำเพ็ญตลอดมานี้ จะพลิกสถานการณ์ให้สิ่งที่ร้ายกลับกลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน


           กัมมัสสกตาศรัทธา คือความเชื่อในความที่สัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน จะทำให้ไม่เป็นผู้หวั่นไหวต่อการได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ การสรรเสริญหรือนินทาว่าร้าย ความสุขหรือความทุกข์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่นานก็ผ่านไป ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน


          ชีวิตของปุถุชนยังต้องว่ายวนและขึ้นลงตามคำทำนายของโหราศาสตร์ ชีวิตยังต้องล่องลอยและเป็นไปตามโชคชะตา เพราะว่ายังไม่มีความเชื่อมั่นในกรรมดี  หากวันใดบุคคลนั้นเกิดมั่นใจในกรรมดี ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ชนิดที่คนทั่วไปอดอัศจรรย์ใจไม่ได้  นี้คืออานิสงส์แห่งการประพฤติกรรมดี


         ส่วนชีวิตของพระอริยบุคคล ท่านให้เกียรติต่อโหราศาสตร์ อันเป็นศาสตร์ประจำของชาวโลก แต่ชีวิตของท่านไม่ขึ้นกับโหราศาสตร์อีกแล้ว และหากเป็นไปได้ ถ้าท่านมองเห็นใครที่พอจะมีวาสนาเป็นผู้อยู่เหนือโหราศาสตร์ได้แล้ว ท่านย่อมชี้ทางประเสริฐให้แก่ผู้นั้น เพราะเป็นเส้นทางที่ประเสริฐและอิสระเบิกบาน


         ดังที่เรามักจะเห็นพระปฏิบัติ พระป่า หลวงปู่ หลวงตา ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ท่านจะไม่พูดถึงโหราศาสตร์ นอกจากการคอยย้ำพร่ำสอนให้ทุกคนมีสติไว้เสมอในทุกปรากฏการณ์  เพราะนั่นคือที่พึ่งอันแท้จริงของบุคคลนั้น ที่เหนือกว่าคำทำนายหรือโชคชะตาใดๆ  การให้ธรรมทานของท่าน ย่อมเหนือกว่าการให้สิ่งใดๆในโลก


         จังหวะก้าวของชีวิตของใครๆ ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามีสติรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง จังหวะที่กำลังจะก้าวไปนั้น ย่อมผิดพลาดน้อยที่สุด ก้าวผิดบ้าง ก้าวถูกบ้าง เป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป


         ผู้ที่เลือกเส้นทางของชีวิตที่ประกอบด้วยธรรม จังหวะก้าวของชีวิตของผู้นั้นมักพบกับความอัศจรรย์ของชีวิตอยู่เสมอ และผู้นั้นจะไม่เคยต้องเสียใจในภายหลังเลยแม้แต่น้อย


คุรุอตีศะ
๒๔  ตุลาคม  ๒๕๕๖