ความรักสู่การภาวนา

ความรักสู่การภาวนา


            คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ความรักคืออุปสรรคของการภาวนา  หรือการภาวนาต้องตัดขาดจากความรัก คนที่ภาวนาคือคนที่เดินคนละเส้นทางกับคนที่มีความรัก  นี้คือแนวความคิดหรือความยึดถือของคนส่วนมากโดยทั่วไป  ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงมีอคติกับการภาวนาหรือกลัวการภาวนา  เพราะกลัวว่าการภาวนาจะมาทำลายความรักของตน


            การมีทัศนคติมองการภาวนาว่าเป็นปรปักษ์กับความรัก คืออุปสรรคที่สำคัญทำให้คนที่มีหัวใจที่ดีงามพลาดโอกาสจากพรอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ทำให้ชีวิตพลาดจากเส้นทางแห่งการรู้แจ้งอย่างน่าเสียดาย


           คำสอนที่ว่าความรักเป็นอุปสรรคของการภาวนา เป็นคำสอนของนักบวช เหมือนเราสอนนักเรียนให้เว้นห่างจากเพศตรงข้ามเพื่อประคองตนให้เรียนหนังสือให้จบตามขั้นตอน  ครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่ท่านต้องประคองลูกศิษย์ให้อยู่ในเพศพรหมจรรย์จนกระทั่งมีอินทรีย์เข้มแข็งคุ้มครองตนเองได้  ท่านก็ต้องสอนให้ห่างจากไฟไว้ก่อน เพราะยังเป็นคนหนุ่มที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนจนกระทั่งอยู่กับไฟหรือใช้ไฟได้โดยไม่มีอันตราย


          สำหรับคนยุคใหม่ที่มีค่านิยมมองเห็นความรักมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ควรที่จะอาศัยความรักนี้เป็นกุญแจก้าวสู่การภาวนาต่อไป  เพราะใจที่มีความรักนั้น เป็นใจที่มีพื้นแห่งความอ่อนโยน ความมีเมตตาอยู่แล้วในตัว


          หัวใจที่อ่อนโยนด้วยความรัก หากรู้จักการภาวนาด้วยแล้ว  จะพบความปีติปราโมทย์ได้ง่าย และความรักจะค่อยๆพัฒนาจากความต้องการทางเพศ ความหึงหวงห่วงอาลัย ยึดมั่นถือมั่น ความวิตกกังวลต่างๆนานา ไปสู่ความรักที่ละเอียดอ่อนและสูงค่ายิ่งขึ้น การตื่นรู้จากการภาวนา  จะทำให้เกิดความมีชีวิตชีวาและเกิดพลังสร้างสรรค์โดยอัตโนมัติ


          ที่ท่านมีคำสอนว่าความรักเป็นอุปสรรคของการภาวนา หรือว่าเป็นอุปสรรคต่อทางธรรม ก็เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อมีความรัก ก็มักจมหรือหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องเพศและความคลุกคลีกัน จนจิตไม่มีอิสระเป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นกามสุขัลลิกานุโยค ชีวิตเกิดความสุดโต่งไปในทางลุ่มหลงในกามารมณ์ จิตไม่มีความเป็นกลาง


        แต่ถ้าบุคคลใดมีสติประคองจิต ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับกระแสแห่งความต้องการทางเพศหรือมัวเมาในความรักจนเกินไป จิตจะเกิดความตื่นรู้และพบกับความสงบได้แม้อยู่ท่ามกลางความรัก นี้คือการภาวนาของผู้ที่ใช้ชีวิตในทางโลก การรู้จักน้อมนำเอาความรักดำเนินยกจิตเข้าสู่การภาวนา จะพบกับพลังแห่งความรักที่งดงามและในขณะเดียวกันใจก็สูงส่งอยู่ในทางศาสนา มีความละเอียดลึกซึ้งเคารพต่อพระรัตนตรัย


          ผู้ที่รู้จักน้อมเอาความรักสู่การภาวนา  จิตจะโน้มไปสู่ความเป็นพระโสดาบันบุคคลต่อไป กำลังสติที่เป็นธรรมชาติจะค่อยๆอบรมจิตให้เกิดสมาธิจนกระทั่งโสดาปัตติมรรคทำหน้าที่ แล้วอัปปนาสมาธิก็เกิดขึ้นในขณะนั้น เกิดเป็นมรรคสมังคีเป็นสมุจเฉทปหานครั้งแรก ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้เด็ดขาด กลายเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลในเพศคฤหัสถ์ที่ท่านกล่าวไว้นั้นเกิดได้ด้วยเหตุนี้


              เมื่อวิปัสสนาญาณ ๑๖ ทำหน้าที่สมบูรณ์  ทำให้จิตบุคคลนั้นเปลี่ยนจากปุถุชน กลายเป็นพระอริยบุคคล หากไม่มีภาระการมีสามีภรรยาหรือมีภาระจำเป็นในทางโลก บางท่านก็ออกบวชเพื่อบำเพ็ญมรรคในเบื้องสูงต่อไป แต่บางท่านก็ครองเพศฆราวาสต่อไปซึ่งคู่ครองอาจไม่รู้ว่าจิตของท่านไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปอีกแล้ว แต่บางท่านวาสนาบารมีสร้างมามีหน้าที่เพื่อค้ำจุนพระศาสนา ท่านอาจสละทางโลกครองเพศเป็นนักบวชอันเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการเป็นพุทธบุตรอย่างแท้จริง


              ดังนั้น สำหรับบางท่านที่รู้ใจของตนเองดีว่า เมื่อเกิดมาเราก็รู้สึกมีหิริโอตตัปปะคือกลัวบาปกลัวกรรมโดยเป็นเองตั้งแต่เด็ก    ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนแต่ใจก็น้อมไปในทางอยากสร้างบุญสร้างกุศล มีความรู้สึกลึกๆว่ายังมีอะไรประเสริฐกว่าการมีผัวมีเมีย มีลูกมีหลานมีบ้านมีช่องเพียงแค่นี้ หากใครมีความรู้สึกอย่างนี้แสดงว่าในอดีตชาติเราเคยรู้จักการบำเพ็ญภาวนามาก่อนแล้ว หากชีวิตของเราในปัจจุบันจะมีคู่ครองแล้วหรือยังเป็นโสดอยู่ก็ตาม จงอย่ามัวประมาทวิ่งตามกระแสปุถุชนคนทางโลกอยู่ แม้จะยังมีภาระหน้าที่ในทางโลก แต่จงหมั่นบำเพ็ญภาวนาไว้เสมอ อย่าให้สูญเสียโอกาสแห่งการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้


           ความรักที่นำไปสู่การภาวนานี้ ไม่จำเป็นต้องมีคู่เสียก่อนจึงจะภาวนาได้ แต่คือการมอบหัวใจของเราให้สำนึกรู้คุณและมอบความรักสู่โลกใบนี้และสรรพสิ่ง มองเห็นความงดงามและคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ดำรงจิตอยู่กับความเมตตา อ่อนโยน มีเมตตาอยู่เสมอ ทั้งแก่มนุษย์และสัตว์ มีความรักได้แม้กับต้นไม้ใบหญ้าและก้อนดินหรือสายน้ำ  หลังจากนั้นความรักในหัวใจของเราจะเลื่อนชั้นและสูงส่งขึ้น กลายเป็นความรักแห่งพุทธะ ซึ่งงดงาม ประณีต และสูงส่งกว่าความรักธรรมดาแบบหญิงชายทั่วไปอย่างเทียบกันไม่ได้


             เอาหัวใจที่งดงามด้วยความรักนี้ ดำเนินสู่การภาวนา ก้าวสู่มรรคาของพระอริยเจ้า  สำหรับเราทั้งหลายที่ยังต้องว่ายวนอยู่คลื่นกระแสแห่งชาวโลก  เราจงรู้จักเปลี่ยนพลังความรักไปสู่การภาวนา แล้วเราจะพบว่าน้ำตาที่เคยไหลหลั่งอยู่เป็นประจำในชีวิตของเรา  น้ำตานั้นจะค่อยเหือดหายไปทีละน้อยและจางหายไป


           หัวใจของเราจะเริ่มเป็นดอกบัวที่ค่อยๆแย้มกลีบบานอยู่กลางดวงใจ  แล้วหัวใจของเราจะแข็งแกร่งสามารถอยู่ได้ในทุกฤดูกาลทั้งความสุขและความทุกข์ หัวใจของเราจะยิ้มรับได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสมหวังหรือความผิดหวัง เพราะเราทราบชัดและอุ่นใจแล้วว่า เราได้สมบัติอันล้ำค่าคือพระธรรมนี้สถิตไว้ในดวงใจของเราแล้ว


คุรุอตีศะ
๒๐  ตุลาคม  ๒๕๕๖