หมั่นภาวนาไว้เสมอ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
หมั่นภาวนาไว้เสมอ
ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน คิดว่าจะไปประกอบธุรกิจขยายกิจการหรือเป็นวิศวกรในโครงการสำคัญ และหลายคนก็มุ่งไปเที่ยวลาวใต้ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียง แต่ใครจะคาดคิดว่า เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่นักบินตัดสินใจผิดพลาด ผู้คนจำนวนถึง ๔๙ ชีวิตต้องมาตายพร้อมกันทั้งลำ กลางแม่น้ำโขงใกล้สนามบินปากเซ ต้องสูญเสียทุกสิ่งลาจากโลกนี้ทั้งนักบิน แอร์โฮสเตส และผู้โดยสารอย่างไม่น่าเป็นไปได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ชีวิตนี้เป็นของน้อยนัก” ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าชีวิตของตนจะจบลงในวันไหน บางคนอาจตายตอนกลางวัน บางคนตายตอนกลางคืน บางคนตายบนบก บางคนตายในน้ำ และชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ล้วนไม่มีใครกำหนดหมายได้ว่าจะต้องรอแก่เท่านั้นจึงจะตาย เพราะคนหนุ่มคนสาว และวัยรุ่น เด็กเล็กอีกมากมาย ก็ล้วนก้าวสู่ปากแห่งมฤตยูอย่างไม่มีอะไรต้านทานได้มานักต่อนักแล้ว
เราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาทในชีวิตว่ายังหนุ่มยังสาวอยู่ ไม่ประมาทว่าตนยังแข็งแรงดีไม่เจ็บป่วย ไม่ประมาทว่าชีวิตจะยังอยู่ยาวนานอีกไกล เพราะความตายย่อมมาพรากชีวิตของเราได้ทุกวินาทีเสมอ อย่างไม่มีคำแจ้งเตือน และเมื่อพญามัจจุราชจะทำหน้าที่ ก็ช่างทำหน้าที่ได้เด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์นัก มิพักจะใจอ่อนและอนุโลมให้แก่คำอ้อนวอนร้องขอของบุคคลใดเลยแม้แต่คนเดียว
ในช่วงยังมีชีวิตอยู่ เราต่างเล่นบทบาทแสดงละครโรงใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างโหดร้ายและไร้น้ำใจต่อกัน สมมุติกันว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีอำนาจ หรือเป็นผู้ต่ำต้อย สมมุติกันว่าเป็นเศรษฐีหรือยาจก เป็นไพร่เป็นผู้ดี เป็นคนมีชื่อเสียงหรือเป็นคนตกอับ เราต่างยึดมั่นถือมั่นกันอย่างจริงจังโดยลืมว่าชีวิตนี้จะต้องตายกันทุกคน ไม่มีละเว้นแม้แต่ใครเลย
จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยากไร้เป็นยาจก จะเป็นมหาเศรษฐีหรือวณิพก จะเกิดมาในตระกูลเป็นผู้ดีหรือหรือเกิดมาในตระกูลไพร่ นั่นเป็นเพียงมายาของสมมุติเท่านั้น แท้จริงแล้วเราทุกคนต่างเกิดมาเท่ากัน เพราะมีแต่ร่างกายล่อนจ้อนมาเหมือนกัน และล้วนแล้วแต่บ่ายหน้าไปสู่ความตายเหมือนกันทั้งหญิงทั้งชาย
คนเราเกิดมามีแต่ตัวล่อนจ้อนเหมือนกันและเกิดมาคนเดียว และเมื่อตายไปก็ไปแต่ตัวเท่านั้นพร้อมกับโลงหนึ่งใบและไปคนเดียว ไม่มีใครยอมตามไปด้วยแม้แต่คนเดียวแม้ปากจะพร่ำว่ารักและร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด
เมื่องานศพผ่านไป ใครๆต่างก็ค่อยลืมเลือน ไม่มีใครถอนเงินฝากในธนาคารที่อุตส่าห์เก็บไว้ในบัญชีมาทั้งชีวิตส่งไปให้แม้แต่บาทเดียว เสื้อผ้า แหวนเพชร และสิ่งของมีค่าทั้งหลายก็กลายเป็นของคนอื่น ทรัพย์สิน ที่ดิน ไร่นา ธุรกิจการค้า ตลอดทั้งภรรยาสามีสุดที่รัก เมื่อพญามัจจุราชพรากเราไปแล้ว ทรัพย์สินทั้งปวงก็ตกไปเป็นของคนอื่นหมด ภรรยาหรือสามีที่เคยซื่อสัตย์ ก็อาจไปซื่อสัตย์กับคนอื่นแทนเรา โดยที่เราไม่มีปากจะต่อว่าแม้แต่คำเดียว เพราะปากของเราถูกไฟเผาไปแล้วหรือถูกหนอนชอนไชไม่เหลืออะไรอยู่ใต้ผืนดิน
เมื่อเกิดปัญญาพิจารณามองเห็นความจริงของชีวิตนี้ ผู้ที่มีบุญบารมีสั่งสมมาข้ามภพข้ามชาติ จึงไม่ประมาทในชีวิต และย่อมตระหนักถึงคุณค่าของการภาวนาไว้เสมอ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจไว้ตอนสำคัญที่สุดในชีวิต คือวันแห่งความตายมาถึง จะได้ไม่มีความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสัจธรรมที่ต้องมาเยือนเราทุกคนเสมอหน้ากัน การเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตคือบาทฐานแห่งดวงจิตของคนที่จะก้าวสู่อริยบุคคลต่อไป
หมั่นภาวนาไว้เสมอ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติระลึกและรู้สึกตัวไว้เสมอ บ่อยๆเนืองๆ นี้คือที่พึ่งของเราที่แท้จริง จิตที่มั่นคงด้วยสติเท่านั้นจึงจะไม่หวาดหวั่นต่ออนาคตหรือความตาย เพราะจิตจะอุ่นใจว่าเรามีที่พึ่งของเราแล้ว หากแม้นโลกทั้งโลกนี้จะไม่เหลือใคร หรือแม้สมมุติว่าสามีภรรยาและบุตรธิดาที่เราหวังฝากผีฝากไข้ แต่เขาเกิดทิ้งเราไปเพราะความไม่แน่นอนของหัวใจมนุษย์ เราก็จะยังคงมีที่พึ่งเสมอ และพูดได้อย่างเต็มปากโดยอาจหาญและดวงใจที่มั่นคงว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” โดยไม่รู้สึกต้องตัดพ้อน้อยอกน้อยใจต่อบุคคลใดหรือสิ่งใด ใจของเรายังคงแนบแน่นในพระรัตนตรัยตลอดเวลา
เพราะเหตุที่มีปัญญามองเห็นว่าชีวิตของมนุษย์เป็นของไม่แน่นอน บุคคลจึงเร่งหมั่นขวนขวายบำเพ็ญกุศลคุณธรรมความดี นี้คืออานิสงส์ของการมีมรณานุสติ คนที่ไม่ประมาทในชีวิตและนึกถึงความตายด้วยความมีสติไว้เสมอ จะเป็นผู้ไม่เบื่อหน่ายต่อการสร้างบุญกุศลและคิดสร้างแต่ความดีตลอดชีวิต จิตจะดำเนินไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคลอย่างเป็นธรรมชาติ จะเป็นผู้ไม่มีความว้าเหว่ในชีวิตอีกต่อไป
คุรุอตีศะ
๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖