เพียงได้มีชีวิตอยู่

เพียงได้มีชีวิตอยู่


              คนเรานั้น  ล้วนมีความทุกข์ระทมขมขื่นกับความผิดหวังต่างๆนานา  สิ่งเคยหวังว่าจะได้ กลับไม่ได้  สิ่งที่คาดหมายไว้ กลับไม่เป็นไปตามที่หวัง  ทุกคนล้วนมีใบหน้าหมองคล้ำและเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวลครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะหัวใจของเราต่างเอาไปฝากไว้กับสิ่งในภายนอกอันไม่แน่นอน


            “เพียงการได้มีชีวิตอยู่” คือของขวัญอันล้ำค่าที่เราทุกคนล้วนมองข้ามตลอดมา  เหตุใดเราจึงต้องเอาสิ่งที่มีค่าสูงสุด คือตัวชีวิตของเรานี้ ไปแลกค่ากับสิ่งอันเป็นของภายนอกอย่างมากมายถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ?


            เหตุใดเราจึงต้องเอาเรื่องทรัพย์สินเงินทองและสิ่งที่คาดว่าจะได้ในอนาคต มากำหนดชะตากรรมของตนเอง ?  เหตุใดเราจึงเอาสิ่งอันเป็นของภายนอกที่นับวันจะแตกสลาย  มาอยู่เหนือชีวิตและหัวใจของเรา ?


            เพียงได้มีชีวิต เดินเหินไปมาได้อย่างอิสระและเดินไปบนผืนโลกอย่างสง่า ด้วยขาและเท้าทั้งสองข้าง เพียงเท่านี้ ชีวิตของเราก็ไม่มีอะไรต้องขาดทุนอีกแล้ว  สองมือของเรายังมี  สองเท้าก็เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่จะก้าวเดิน  นี้คือพรอันยิ่งใหญ่ที่ชีวิตได้มอบให้แก่เรามาแล้วตั้งแต่วันลืมตาดูโลก


            อย่าลืมสิ่งอันยิ่งใหญ่และสิ่งสำคัญสูงสุดที่อยู่คู่กับเราเสมอมา  แม้ว่าเราอาจจะลืมเขาไปแล้ว  สิ่งนั้นก็คือ “การได้มีชีวิตอยู่และลมหายใจของเรา”

 
            ขอให้เราจงตระหนักรู้และระลึกถึงความสำคัญของการมีชีวิตอยู่และลมหายใจนี้ไว้เสมอ แล้วจักรวาลจะดึงดูดสิ่งดีงามเข้ามาสู่ชีวิตของเรา  จักรวาลจะเปลี่ยนสิ่งที่พลาดหวังในวันนี้ ให้กลายเป็นความสมหวังที่เปี่ยมด้วยพลังในวันหน้า


            แม้สิ่งของและผู้คนในภายนอกอาจจะนำความผิดหวังมาให้เรา  แต่เราก็ยังมีคนที่เรารักและรักเราอยู่เคียงข้างเสมอทั้งในยามสมหวังและยามผิดหวัง  เพียงเท่านี้เราก็เกินกว่าจะขอบคุณสวรรค์และจักรวาลทั้งมวลที่มอบของขวัญอันมีค่านี้ให้แก่ชีวิตของเรา


           เพียงได้มีชีวิตอยู่ในวันนี้และยังมีลมหายใจอยู่เป็นเพื่อน  สำหรับหัวใจที่ไม่เคยสิ้นหวัง  ย่อมสามารถเนรมิตสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาใหม่ ทดแทนสิ่งเก่าที่ผ่านเลยไปได้เสมอ  


          จงยินยอมให้ทุกสิ่งผ่านเลยไป  ในเมื่อถึงเวลาที่สิ่งนั้นถึงกาลเวลาจะต้องผ่านไปแล้ว  ไม่ควรยื้อยุดฉุดฉวยต่อสิ่งใด  ให้เขาผ่านเลยไปอย่างอิสระ ดุจสายน้ำและสายลม


         น้ำในสระที่ไม่มีทางไหลออก  เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็หมักหมมและส่งกลิ่นโคลนที่เน่าเหม็น  แต่น้ำในแม่น้ำและลำคลอง ย่อมไหลไปอย่างอิสระเสมอ น้ำจึงใสเย็นและเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา


        ชีวิตที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น  คอยแต่จะไขว่คว้าและทะเยอทะยาน  ย่อมเปรียบเหมือนน้ำในสระ ซึ่งมีแต่ทางตันไม่พบทางออก  ไม่นานน้ำที่เคยสะอาดก็ส่งกลิ่นเหม็นและแห้งขอดเป็นธรรมดา


         แต่ชีวิตของพระอริยะ  คือชีวิตที่พร้อมจะสละออก และไม่ยึดมั่นต่อสิ่งใด เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะผ่านไป  ก็ปล่อยวางให้สิ่งนั้นผ่านไปโดยไม่ดันทุรังและฉุดไว้สนองอัตตา  ชีวิตของท่านจึงเลื่อนไหล มีชีวิตชีวา และอิสระไม่เคยขาดหายต่อความสุขในชีวิต  ดุจเดียวกับการไหลของสายน้ำที่ไหลไปตลอดเวลา ทำให้กลายเป็นแม่น้ำลำคลอง ที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ สัตว์  พืชพรรณทั้งหลายให้มีชีวิตชีวา อย่างไม่มีวันเหือดหาย


         ขอให้เราได้คุกเข่าและก้มศีรษะลงจรดผืนดิน  ด้วยความสำนึกรู้คุณที่แม่พระธรณีนี้ยอมให้สองเท้าของเรานี้ได้เหยียบย่ำเสมอมา  ตั้งแต่ฝ่าเท้าของเราเท่าฝาหอย  จงสำนึกรู้คุณและขอโทษที่เราเอาแต่อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็นมาตลอด จนลืมแม่พระธรณีที่เราเดินเหยียบย่ำอยู่ทุกวัน


        จงสำนึกรู้คุณแม่พระคงคาที่เราได้อาศัยดื่มกิน ชำระล้างและสร้างผลประโยชน์ต่างๆให้แก่ชีวิตของเราเสมอมา  จงสำนึกรู้คุณแม่พระอัคนีที่ให้ความร้อน ความอบอุ่น และช่วยปรุงอาหารให้เราบริโภคอยู่ทุกวัน  จงสำนึกรู้คุณแม่พระพาย  ที่ช่วยปัดเป่าความร้อนความอบอ้าว และให้เราได้มีอากาศหายใจอยู่ทุกวินาที


        เราได้พลาดต่อสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตไปมากแล้ว  จงหันกลับมาสำนึกรู้คุณต่อลมหายใจและสิ่งรอบข้างที่อยู่รอบตัวเราให้มากขึ้น  


          ขอบคุณที่เรายังมีคนที่อยู่ข้างๆที่ยังเป็นเพื่อนเราอยู่เสมอทั้งในยามหัวเราะหรือร้องไห้   อย่างน้อยเราก็ยังมีใครบางคนที่ยืนเคียงข้างเราเสมอทั้งยามสมหวังและยามผิดหวัง


           ขอบคุณยิ่งนักที่วันนี้ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่  เพียงข้าพเจ้าได้ชื่นชมกับชีวิตและตระหนักถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของลมหายใจในขณะนี้  เพียงเท่านี้หัวใจของข้าพเจ้าก็เปี่ยมด้วยความหวัง และมีภูมิคุ้มกันอันแข็งแกร่งทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว


           ขอบคุณทุกคน ทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่ง  ที่ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่ในวันนี้


คุรุอตีศะ
๑๕  ตุลาคม  ๒๕๕๖