ผู้อยู่เหนือโชคชะตา

ผู้อยู่เหนือโชคชะตา


             ชีวิตคนเรานั้น  ขึ้นกับว่าเจ้าของจะปฏิบัติกับชีวิตของตนอย่างไร  ถ้าทำตนเป็นผู้พ่ายแพ้สิ้นหวัง  ชีวิตก็จะมีแต่เรื่องพ่ายแพ้ไปตลอด  หากคิดหมกจมอยู่แต่กับความอาภัพอับโชค  ชีวิตคนนั้นก็มักจะเจอแต่เรื่องอาภัพอับโชคเรื่อยไป  เรื่องโชคดีและความสดใส ก็จะไม่ค่อยได้พบได้เจอเหมือนคนอื่นเขา  จะทำอะไรก็ติดหล่มความอับโชคอยู่เรื่อย  ซึ่งเป็นเพราะไปตั้ง “โปรแกรมความล้มเหลว”เอาไว้ล่วงหน้า  จะทำสิ่งใดจึงมักผิดหวังและล้มเหลวตลอด ความคิดของตัวเองไม่เคยตั้ง“โปรแกรมความสมหวัง”เอาไว้เหมือนผู้ที่เขามีความสำเร็จทั้งหลาย ผู้ที่เขาประสบความสำเร็จนั้น ก็เพราะเขาคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าความสำเร็จนั้นรอเขาอยู่เบื้องหน้า  การคิดถึงความสำเร็จอยู่เสมอ  ย่อมเกิดอานุภาพความสำเร็จขึ้นมาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


             ความคิดของคนเรานั้นจึงมีความสำคัญมาก  หากรู้เคล็ดลับข้อนี้ คนที่เคยล้มเหลวมามากสักเพียงใด เขาจะกลายเป็นคนใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน


              คนเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้ ก็ด้วยความคิดที่ดีที่เป็นกุศลของตนเอง  หากความคิดที่ดี ที่สร้างสรรค์เกิดขึ้นในใจของเขาแล้ว  เขาจะกลายเป็นคนใหม่  แม้บุคคลนั้นจะเคยอาภัพต่ำต้อยหรือชั่วช้ามาสักเพียงใด ก็จะพลิกชีวิตของตนเข้าสู่เส้นทางใหม่ เป็นชีวิตที่งดงามในบั้นปลายได้เสมอ


              มีเรื่องในญี่ปุ่นสมัยโบราณอยู่เรื่องหนึ่ง....


                     ซีนก่าย  เป็นเชื้อสายตระกูลซามูไรมาก่อน  แต่ครอบครัวของซีนก่ายมีเหตุต้องไปอยู่อาศัยเป็นคนชนบทบ้านนอก  เมื่อเริ่มเป็นหนุ่มเขาก็เริ่มใฝ่ฝันจะมีอนาคตที่ก้าวหน้ารุ่งเรืองเหมือนผู้คนทั้งหลาย  จึงมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเอโดะอันเป็นราชธานีของญี่ปุ่นสมัยนั้น


                   หนุ่มซีนก่ายมีบุคลิกรูปร่างหน้าตาดี ผิดจากชายหนุ่มทั้งหลายเพราะมีเชื้อสายที่ดีมาก่อน  และโชคชะตาก็ทำให้เขาได้เข้าไปทำงานกับท่านโชกุนผู้เป็นขุนนาง นับว่าเป็นบุญวาสนาของซีนก่ายยิ่งนัก  ขุนนางผู้เป็นเจ้านายของตนจะใช้สอยสิ่งใดหรือให้ทำการงานสิ่งใด ก็ทำได้สำเร็จเป็นที่พอใจและเป็นที่โปรดปรานของท่านโชกุนและคุณนายเสมอ  จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจทุกอย่าง  อนาคตอันสุกใสของซีนก่ายกำลังรออยู่เบื้องหน้า  มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมทั้งกลางวันกลางคืนว่า ต่อไปตนก็จะได้เป็นขุนนางกับเขาคนหนึ่ง


                   แต่ต่อมาชีวิตก็เล่นตลกกับซีนก่ายผู้กำลังฝันหวานกับอนาคตข้างหน้า  เพราะคุณนายของท่านโชกุนนั้นไม่ได้โปรดปรานหรือไว้วางใจซีนก่ายตามธรรมดาแบบมาตรฐานของคุณหญิงคุณนายทั่วไปที่เขาทำกัน  แต่ไปไว้วางใจจนถึงขั้นให้หนุ่มซีนก่ายผู้โชคดีแต่กำลังจะโชคร้าย ให้ทำหน้าที่สนองความใคร่ของตนอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย  ตอนแรกก็ลักลอบประพฤติมีชู้ไปตามประสาแรงกิเลสตัณหาซึ่งย่อมไม่เลือกหน้าแก่ใครๆ ไม่ว่าคนชั้นสูงหรือคนชั้นต่ำ  จนกระทั่งต่อมาหนุ่มซีนก่ายกับคุณนายก็ถูกท่านโชกุนจับได้คาหนังคาเขาในวันหนึ่ง


                   แรงโทสะหรือความโกรธสุดขีด ย่อมทำให้คนเราขาดสติ และฝีมือการใช้อาวุธแม้จะเชี่ยวชาญมาก่อนสักเพียงใดก็หมดประสิทธิภาพได้ ท่านเหวี่ยงดาบเข้าใส่หนุ่มซินก่ายอย่างขาดสติและคลุ้มคลั่ง แต่ก็ถูกหนุ่มซีนก่ายผู้มุ่งรักษาชีวิตของตนให้รอดสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดหมด  พยายามปัดป้องด้วยสารพัดวิธี  ในขณะนั้น คุณนายผู้ถูกสามีจับได้คาหนังคาเขาก็คิดว่า เมื่อถูกเขาจับได้แล้วเช่นนี้  ชีวิตของตัวเองก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว จึงตัดสินใจคว้าดาบที่อยู่ข้างฝา ฟันท่านโชกุนทางข้างหลังล้มลงขาดใจตายด้วยน้ำมือของตัวเอง


                    อดีตคุณนายและหนุ่มซีนก่าย ผู้มาได้คุณนายในทันทีทันใดโดยตนเองยังไม่ได้เป็นขุนนาง ก็พากันเก็บข้าวของตามแต่จะพาติดตัวไปได้ พากันหนีไปตายเอาดาบหน้า อยู่ในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  จำต้องพากันหนีไปให้ไกลจากเมืองหลวงให้มากที่สุด


                   ต่อมาเงินและทรัพย์สินที่ติดตัวก็หมดลง  ซีนก่ายก็เริ่มออกขอเขากินบ้าง  บางครั้งก็เริ่มประกอบอาชีพย่องเบาและลักขโมยคนอื่นเขาบ้าง เพื่อมาเลี้ยงดูคุณนายต่อชีวิตกันไปวันๆ และบัดนี้คุณนายผู้เคยมีสง่าราศีและสวยงามเพราะเคยอุดมสมบูรณ์ตอนอยู่เป็นคุณนายของท่านโชกุน  เมื่อมาอยู่กับซินก่ายที่ต้องลักขโมยเขากินเพื่อความอยู่รอด  อดีตคุณนายก็ไม่เหลือความงดงามอะไรให้น่าชื่นชมอีก


                  ด้วยความทุกข์ยากไม่อาจจะอยู่ด้วยกันได้  ซินก่ายผู้เป็นหนุ่มน้อยที่ยังไม่ประสาต่อโลก แต่ต้องกลายมาเป็นสามีแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ทิ้งคุณนายหนีไป  ต่างคนต่างไปคนละทางเพราะอยู่ไปก็มีแต่ความตกต่ำไม่มีทางเจริญ  หนุ่มน้อยซีนก่ายหนีระเหเร่ร่อนไปไกลแสนไกล จากคนกำลังมีอนาคตกลับกลายเป็นคนไร้อนาคตและหมดอนาคตเสียแล้วทุกทางในตอนนี้  การหาเลี้ยงท้องแค่ตามลำพังท้องของตัวเองก็ยังพอเป็นไปได้ ซีนก่ายใช้ชีวิตซัดเซพเนจรอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีความหวังใดๆเหลืออยู่อีก ขอมีอาหารยาไส้และมีลมหายใจพร้อมที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว  จนกระทั่งลงไปทางใต้ของญี่ปุ่นแล้วเข้าไปอาศัยอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง


                 เมื่อมาอาศัยอยู่ในวัดตามประสาคนอนาถา แต่ขึ้นชื่อว่าวัดก็ย่อมให้สิ่งที่ดีงามแก่ผู้คนไม่มากก็น้อย หนุ่มซีนก่ายผู้ไม่เคยสนใจศาสนาไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อน  เมื่อตนพลอยได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ท่านอาจารย์อบรมพุทธบริษัทบ่อยๆ  แม้ตนจะไม่ได้ตั้งใจฟังธรรมฟังการอบรมสั่งสอนแต่อย่างใด แต่ผสมโรงฟังร่วมกับคนอื่นไป รอเวลาจะได้ทานอาหารในโรงทานเท่านั้น แต่ก็ได้ซึมซับรับเอาพระธรรมเทศนาเข้ามาสู่จิตใจโดยไม่รู้ตัว  ซีนก่ายก็เริ่มเข้าใจชีวิตทีละน้อยจนมากขึ้นตามลำดับว่า  คนเรานี้จะดีหรือชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับสติของใครจะเข้มแข็งกว่ากันนี้เอง  ตัวเรานี้กับคุณนายต้องสร้างบาปสร้างกรรมพบกับความทุกข์ยากอันแสนสาหัส ก็เพราะการขาดสติ หลงใหลไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแท้ๆ จึงพากันจมลงสู่ชีวิตที่ตกต่ำได้ถึงเพียงนี้


               หนุ่มซีนก่าย จากคนซัดเซพเนจรมาอยู่วัดเพียงเพื่ออาศัยเลี้ยงชีพ  ตอนนี้ก็เกิดสติปัญญาขึ้นมามองเห็นความไร้ค่าไร้แก่นสารของชีวิตที่ผู้คนทั่วไปมักปล่อยให้ไหลไปตามกระแสกิเลสเหมือนตัวเราผู้ผิดพลาดมาแล้ว ความคิดที่ชั่ว ย่อมนำชีวิตตกต่ำไปสู่ที่ชั่ว  ความคิดที่ดี ย่อมนำไปสู่สิ่งที่ดี ที่สูงขึ้น เราควรมุ่งหน้าเปลี่ยนชีวิตของเราใหม่ให้เป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่าที่เป็นมา  ซีนก่ายจึงบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา


               พระภิกษุซีนก่ายได้ประพฤติวัตรปฏิบัติครองตนอย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม  ชดเชยความผิดพลาดและความล้มเหลวในอดีต  มีความสงบร่มเย็นในสมณวิสัย เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ในแดนธรรม  ต่อมาท่านจาริกธุดงค์ไปถึงถิ่นกันดารอันไม่มีความเจริญ คือจังหวัดบูเส็นของประเทศญี่ปุ่น  ณ ดินแดนแห่งนั้นผู้คนอาศัยอยู่กันด้วยความยากลำบาก  และตรงบริเวณที่ท่านพำนักอยู่นั้นเป็นภูเขาที่กางกั้นระหว่างคนที่อยู่หลังเขากับคนที่อยู่ในเมือง  ผู้คนที่เดินไม่ระวังได้พลาดตกเขาตายมาหลายคนแล้ว  ทางเดินที่แคบต้องเดินเรียงหนึ่งทีละคนเท่านั้น  ทั้งอันตรายทั้งลำบาก  ท่านได้มองเห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างจับใจ


              ในที่สุดท่านได้ตัดสินใจสกัดภูเขาทำเป็นอุโมงค์เพื่อให้ชาวบ้านเดินทางสะดวกและปราศจากอันตราย ท่านตัดสินใจทำคนเดียวโดยไม่ได้บอกใคร  เพราะบอกไปก็คงไม่มีเขาเชื่อและยอมร่วมมือแน่  เมื่อท่านตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะสกัดภูเขาทั้งลูกสร้างอุโมงค์ให้คนเดินเชื่อมต่อกันได้ ตอนเช้าหลังจากออกบิณฑบาตและฉันอาหารเสร็จแล้ว  ท่านก็ลงมือสกัดหินเจาะภูเขาทั้งลูกทีละน้อยๆด้วยมือของตน   เมื่อมีชาวบ้านหรือคนผ่านมาถามท่านว่ากำลังทำอะไร  พอท่านบอกว่ากำลังเจาะอุโมงค์สร้างทางเดิน  ชาวบ้านก็พากันหัวเราะเยาะ พร้อมกับมองด้วยความไม่ค่อยไว้วางใจ ว่าพระรูปนี้จะยังมีสติดีเหมือนคนทั่วไปหรือเปล่า


             วันเวลาผ่านไปถึง ๓๐ ปี ท่านซีนก่ายผู้เป็นบุรุษใจสิงห์ ซึ่งนั่งสกัดหินเจาะภูเขาทั้งลูกตั้งแต่หนุ่ม จนบัดนี้อายุได้ห้าสิบปี  และก่อนที่งานเจาะอุโมงค์จะสำเร็จลง  วันหนึ่ง มีซามูไรคนหนึ่งที่ติดตามหาซีนก่ายมานานได้ปรากฏตัวขึ้น  ได้ถามท่านว่า ท่านคือซีนก่ายที่เคยอาศัยบ้านโชกุนในเมืองหลวงหรือไม่  เมื่อท่านตอบว่าใช่ บุรุษผู้นั้นก็ชักซามูไรออกมา พร้อมกับบอกว่า เขาคือบุตรชายของท่านโชกุนกับคุณนายที่ซีนก่ายเคยทำงานรับใช้อยู่ด้วยเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว ตอนท่านโชกุนตายนั้นเขายังเล็ก  ความแค้นที่พ่อต้องตายเพราะซีนก่าย ทำให้เขาไปฝึกวิชาดาบจนช่ำช่องและตามหาตัวซีนก่ายมาทั่วดินแดนญี่ปุ่น  บัดนี้ถึงเวลาที่เขาจะฆ่าซีนก่ายให้สมกับความแค้นแล้ว  จงรับเอาความตายเถิด


           ท่านซีนก่ายผู้มั่นคงดุจภูเขาหิน ที่ท่านพากเพียรเจาะอุโมงค์ตามลำพังมาตั้งแต่หนุ่มจนอายุห้าสิบ  มองเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น  ได้เอ่ยกับหนุ่มซามูไรผู้กำลังหมายเอาชีวิตของท่านว่า “ เธอจะฆ่าเรา  เราก็ยินดีให้เธอฆ่า  แต่งานเจาะภูเขาที่กำลังจะใกล้สำเร็จแล้วนี้  หากเราตายไป ใครเล่าจะทำต่อ  ขอให้เธอไว้ชีวิตของเราก่อน เพื่อเจาะอุโมงค์ต่อไป   วันใดงานของเราสำเร็จแล้ว เรายินดีจะให้เธอบั่นคอของเราเมื่อนั้น”


          บุรุษหนุ่มผู้ใช้เวลามาทั้งชีวิตเตรียมตัวมาเพื่อจะล้างแค้นให้พ่อ เมื่อมาเจอความใจสิงห์องอาจไม่หวาดหวั่นต่อความตายผิดกับคนทั้งหลายของท่านเข้า   ก็เกิดความลังเลและก็มองเห็นความจริงว่า งานนี้ถ้าไม่ใช่ท่านซีนก่ายหรือไม่มีท่านแล้ว ย่อมไม่มีใครมาทำต่อเป็นแน่  จึงตอบตกลงยอมให้ท่านทำงานเจาะอุโมงค์ต่อไป แล้วก็ถือดาบนั่งเฝ้าดูท่านสกัดหิน  เพราะกลัวท่านจะหลบหนีหรือลอบทำร้ายตน


         อยู่กันไปหลายวัน หลายเดือน  จนเป็นปี  จากที่คอยระแวงว่าท่านจะทำร้ายหรือหลบหนีไป  กลับไม่เห็นท่านทำอะไรนอกจากสกัดหินอย่างจดจ่อทั้งวันทั้งคืน  ต่อมาก็เริ่มทักทายปราศรัยพูดคุยกัน  ต่อมาอยู่ว่างๆไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองช่วยท่านสกัดหิน  กินด้วยกัน   อยู่ด้วยกัน  นอนด้วยกัน  สกัดหินด้วยกัน ชายหนุ่มได้ซึมซับเอาความมั่นคงและความสงบทีละน้อย  และซึมซับเอาความเข้มแข็ง ความเป็นบุรุษใจเพชรจากท่านซีนก่ายโดยอัตโนมัติ  จนวันเวลาผ่านไปถึงสองปี  งานสกัดหินเจาะภูเขาทั้งลูกทำเป็นอุโมงค์เชื่อมหนทางถึงกันที่ท่านบากบั่นทำมา ๓๐ ปีนั้น ก็สำเร็จลง  (ปัจจุบันอุโมงค์ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ที่เกิดด้วยอานุภาพของใจที่ถึงธรรมะนี้ อยู่ที่จังหวัดบูเส็น  ในประเทศญี่ปุ่น  เป็นอุโมงค์ขนาดกว้าง ๓๐  ฟุต  สูง  ๒๐  ฟุต  ยาว ๒,๒๘๐ ฟุต คือประมาณค่อนกิโลเมตร หรือยาวประมาณครึ่งหนึ่งของอุโมงค์ถ้ำขุนตาลของประเทศไทย)


         หลังจากงานเจาะอุโมงค์สำเร็จลง ท่านซีนก่ายได้หันไปพูดกับหนุ่มซามูไรขึ้นว่า “เราได้ทำภูเขาให้เป็นอุโมงค์เชื่อมถึงกันสำเร็จแล้ว  งานของเราได้จบลงแล้ว  บัดนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะได้ทำงานของเธอด้วยการบั่นคอของเราให้ขาดออกจากกันตามความตั้งใจเดิมของเธอได้แล้ว” แล้วท่านก็ยื่นคอของท่านออกไปรอรับคมดาบ


         ชายหนุ่มได้เห็นดังนั้น  ก็ทรุดลงกราบกับพื้นพร้อมกับร่ำไห้น้ำตาไหลพรากแล้วพูดว่า “หลวงพ่อจะให้ผมบั่นศีรษะของคนที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไรเล่าครับ?!!!...”  


         ชีวิตของคนเรา จะดีหรือชั่ว  จะสูงส่งหรือตกต่ำ ก็ขึ้นกับความคิดของเรานี้เอง ความขาดสติ หรือชีวิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนสติหรือฝึกฝนธรรมะในวัยรุ่น ทำให้ชีวิตของท่านซีนก่ายได้ตกต่ำอย่างถึงที่สุด


         และเมื่อท่านได้เกิดใหม่ในแดนธรรม ได้ฝึกฝนสติและขัดเกลาตนเองด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา  ท่านก็ได้ตายจากคนเก่า กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เป็นผู้มีสติมั่นคงอันสมบูรณ์


          จิตชนิดใดเล่า ที่ทำให้ท่านเจาะภูเขาอยู่คนเดียวโดยไม่ท้อถอยหรือทอดทิ้งไปกลางคัน เป็นเวลาถึง ๓๐ ปี ทำงานต่อเนื่องกันไม่คำนึงถึงอดีตและอนาคต   จิตชนิดใดเล่าที่ท่านไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวาดหวั่นต่อความตายแม้ศัตรูหมายจะเอาชีวิตอยู่เบื้องหน้า  แล้วต่อมายังสามารถกลับเปลี่ยนจิตของศัตรูให้มาเป็นมิตรและเป็นศิษย์ของตนได้เช่นนี้  หากมิใช่จิตของบุคคลผู้บรรลุธรรม!  นี้คือชีวิตของผู้ยืนอยู่เหนือดี เหนือชั่ว  เป็นชีวิตของผู้ยืนอยู่เหนือโชคชะตาและพรหมลิขิตใดๆ


          ขอให้เราเอาชีวิตของท่านซีนก่ายนี้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อหล่อหลอมน้อมเอาความเป็นบุรุษใจสิงห์มาสู่ใจของเรา ชีวิตเช่นนี้ควรแก่การสรรเสริญและควรแก่การบูชา  นี้คือของชีวิตของผู้ที่ “มืดมา สว่างไป” หรือชีวิตของคนประเภท “ต้นคด  ปลายตรง” นับเป็นชีวิตของบัณฑิตควรแก่การเคารพบูชาโดยแท้


คุรุอตีศะ
๖  ตุลาคม  ๒๕๕๖