ก้าวสู่ยุคใหม่

ก้าวสู่ยุคใหม่


               ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เราต้องวิ่งอยู่ตลอดเวลา......เหมือนหลายคนที่ต่างพากันวิ่ง  ในเมื่อเรารู้เคล็ดลับแล้วว่า บางครั้งการรู้จักพักในช่วงจังหวะและเวลาอันเหมาะสม  กลับจะทำให้ถึงหลักชัยได้เร็วกว่า  และไม่อ่อนล้าจนเกินไป


               นี้มิใช่คำแนะนำเพื่อให้เป็นผู้พ่ายแพ้  แต่คือคือวิธีของผู้ชนะที่จะได้รับทั้งปีติ ได้รับทั้งความสำเร็จต่างหาก  


               มักจะมีแต่คำสอนหรือคำพูดที่เร่งเร้า กระตุ้นให้เราวิ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา  แต่ลืมไปว่า ชีวิตที่แท้จริง ไม่มีใครจะวิ่งได้ตลอดเวลา  และการรู้จักหยุดพักบ้างเมื่อถึงเวลา  ก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่า การวิ่งไปข้างหน้าเช่นกัน


              ชีวิตเป็นของเรา  ไม่ใช่ของคนที่มาเร่งเร้าให้เราวิ่ง  เหตุใดเราจึงต้องตกเป็นทาสความต้องการของเขา  เขาอาจมีความสุขที่เห็นเราออกวิ่งตามแรงยุของเขา  แต่ตัวเขาอาจนั่งดีดลูกคิดอยู่ในร่มอย่างสบาย  คำนวณผลกำไรและรายได้จากการวิ่งอันแสนเหน็ดเหนื่อยของเราอยู่ก็ได้  นี้แหละคือความเป็นไปของชีวิตนักวิ่งทางไกลทั้งหลาย ที่น้อยนักจะมีเวลาได้คิด  เพราะส่วนใหญ่ก็ตั้งหน้าเอาแต่วิ่งอย่างเดียวแทบทั้งนั้น  หากวันใดมีผู้เตือนให้คิด  วันนั้นจะคือวันเปลี่ยนชีวิตที่แสนอัศจรรย์


               ชีวิตนี้จะน่าอยู่และน่ารื่นรมย์  ก็เมื่อรู้จักวิ่งในเวลาที่ควรวิ่ง และก็รู้จักหยุดเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม  ผู้ที่เอาแต่วิ่งตลอดเวลา ก็อาจล้มลงและขาดใจตายก่อนจะถึงจุดหมาย  ส่วนผู้ที่พักนานเกินไป ก็จะจมลงสู่ความเกียจคร้านและสูญสิ้นพลังสร้างสรรค์  


               ออกวิ่งในเวลาที่สมควรวิ่งและก็วิ่งให้เต็มที่เต็มกำลัง  และเมื่อสมควรหยุดพัก ก็หยุดได้ทันทีโดยปราศจากการลังเลไม่พะวงต่อสิ่งใด นั่นแหละคือศิลปะของผู้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่  ทั้งทรงพลังและน่ารื่นรมย์.........

 

                ..... โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่....


                 ทุกสิ่งบนโลกใบนี้กำลังเปลี่ยนไป  เรากำลังก้าวจาก”ยุคถิ่นกาขาว” เข้าสู่”ยุคชาวศิวิไลซ์” เราทั้งหลายต่างตกอยู่ท่ามกลางสภาพของ”ยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่าน” พึงดำรงสติให้ตั้งมั่นไว้เสมอ  การเมือง สังคม  ศาสนา  อารยธรรม กำลังเปลี่ยนไป  ตามคติทางตะวันตกเรียกยุคที่กำลังเกิดขึ้นนี้ว่า “ยุคราศีกุมภ์” ซึ่งมนุษย์จะต้องพึ่งตนเอง และสู่วิถีแห่งการรู้แจ้งหรือเข้าถึงสัจธรรมได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง  ไม่ใช่พึ่งอำนาจจากภายนอกเหมือนยุคที่ผ่านมา  ศาสนาที่นำพามนุษย์ให้เข้าถึงความจริงอันเที่ยงแท้และสอนให้มนุษย์สำนึกในคุณค่าในตนเอง จะเป็นศาสนาที่เป็นหลักใจหรือเป็นที่พึ่งของมนุษยชาติ


                 วันที่  ๒๑  ธันวาคม  ๒๕๕๕  ที่แตกตื่นกันว่าจะเป็นวันสิ้นโลกนั้น  แท้จริงแล้วคือ “วันสิ้นยุค” ต่างหาก  คือการสิ้นยุคราศีมีน  ที่คนพึ่งอำนาจพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากภายนอกได้สิ้นสุดลงแล้ว  ต่อจากนี้คือยุคแห่งราศีกุมภ์ที่มนุษย์ทั้งหลายจะเข้าถึงการรู้แจ้งด้วยตนเอง เป็นยุคที่ผู้คนบนโลกใบนี้ต้องใช้พุทธภาษิตในข้อที่ว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ  ตนแล เป็นที่พึ่งของตน” จึงจะผ่านพ้นไปสู่ยุคใหม่ด้วยความสวัสดี และสร้างสรรค์สังคมยุคใหม่ป็นยุคชาวศิวิไลซ์ตามคติของไทย


                  ยุคราศีกุมภ์นี้  แท้จริงแล้วก็คือ “ยุคแห่งการแสวงหาการรู้แจ้ง”  เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์กับศาสนาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน  พุทธศาสนาจะเป็นที่พึ่งของชาวโลก  เป็นยุคที่ชาวโลกส่วนใหญ่ต้องการความรู้แจ้งในสัจธรรมและตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง  คนจะเริ่มหันหลังให้เกจิอาจารย์ ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์แบบที่เป็นมานับพันปี  ผู้ที่จะถ่ายทอดคำสอนสู่คนยุคใหม่ แม้จะทรงอภิญญาและมีอิทธิปาฏิหาริย์ภายในตน  ก็จะไม่นำออกใช้หลังจากยุคเปลี่ยนผ่านได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จะมุ่งสอนหลักสัจธรรมความจริงเป็นหลัก ซึ่งก็คืออริยสัจ ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นเอง


                 วัยรุ่นหนุ่มสาวที่หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ในขณะนี้  อีกสิบปีข้างหน้าสังคมที่เราเห็นอยู่จะเปลี่ยนไป  เพราะพวกเขาจะเลิกให้ความสนใจทางเพศและจะแอนตี้เรื่องทางเพศเสียเอง  แล้วจะต้องการความเคร่งครัดในศีลธรรมขึ้นมาแทน  แต่คนที่จะมีอิทธิพลในการกำหนดค่านิยมและสร้างบรรทัดฐานทางสังคมในอีกสิบปีข้างหน้า  จะต้องมีพื้นฐานแห่งคุณธรรมและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตั้งแต่ในวันนี้  มิฉะนั้นจะไม่มีพลังสร้างสรรค์ใดๆในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลกและเพื่อนมนุษย์


                ด้วยเหตุนี้  ในช่วงเวลานี้จึงเป็นสถานการณ์ “วัดใจ วัดบารมี” ของมนุษย์แต่ละคนว่าจะตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตนไปในทิศทางใด  ผู้ที่ปล่อยตัวตามกระแสที่เชี่ยวกรากของกิเลสโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม คุณธรรม ก็จะถูกกระแสคลื่นพัดจมหายไป จะมีชีวิตที่ล้มเหลวไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปสู่ทางที่ดีงาม  ส่วนผู้ที่มีบุญบารมีที่สร้างสมไว้มั่นคงมาดี จะเป็นผู้รอดและปลอดภัย ก้าวสู่ยุคใหม่อย่างปลื้มปีติและสง่างาม  บางศาสนาจึงเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “วันพิพากษา” เพราะเป็นวันเวลาที่มนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง  ผู้มีบุญบารมีก็จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่เส้นทางแห่งการรู้แจ้งในยุคใหม่


              ผู้ที่มีบุญสร้างมาดี มีหิริโอตตัปปะเป็นพื้นนิสัยของตนมาแต่เดิมอยู่แล้ว  จึงไม่ควรประมาทในชีวิตในช่วงแห่งยุคของการเปลี่ยนผ่าน  แม้จะทุกข์ยากประสบปัญหาหนักหนาเพียงใด  จงดำรงสติและมั่นคงในคุณธรรมความดีไว้เสมอ  แม้บางครั้งอาจจะน้ำตานองหน้า  การบำเพ็ญคุณธรรมความดีนั้น มิใช่จะบำเพ็ญกันได้ง่าย  มิฉะนั้น คนก็ต้องเป็นคนดีกันหมดทั้งโลก  จงซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมภายในใจของตน  แล้วจะไม่ต้องนึกเสียใจในภายหลังแน่นอน  ทุกคนจงเป็นตัวของตัวเองไว้เถิด


             เมื่อสี่สิบปีก่อน ผู้คนยังทำไร่ทำนาและใช้ควายไถนากันให้เห็นโดยทั่วไป  แต่บัดนี้ในท้องทุ่งหลายแห่งกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมหรือโรงงาน ไม่มีควายไถนาให้เห็นอีกแล้ว ฉันใด  ในยุคต่อไปอีกเพียงยี่สิบปี  สังคมบ้านเมืองจะเปลี่ยนไป ฉันนั้น  การเรียนปริญญาในมหาวิทยาลัยจะเริ่มหมดความหมาย แต่จะเกิดค่านิยมใหม่ที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น  ดังนั้น เราทั้งหลายจึงควรพากเพียรภาวนา เจริญสติสัมปชัญญะให้เข้มแข็งเพื่อก้าวสู่ยุคใหม่ อันเป็นยุคแห่งการรู้แจ้ง ที่คนทั้งหลายสนใจใฝ่หาคุณธรรม มากกว่าที่จะสนใจในเกียรติ อำนาจ หรือทรัพย์สินเงินทองอย่างที่เห็นในปัจจุบัน  คนในยุคนั้นจะสนใจความสุขทางใจ


คุรุอตีศะ
๒๓  กันยายน  ๒๕๕๖