ความรักที่ยั่งยืน
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ความรักที่ยั่งยืน
ใครๆล้วนปรารถนาความรักที่ยั่งยืน แต่ก็น้อยคนนักจะได้รับพรของชีวิตเช่นนั้น ทั้งชายและหญิงล้วนต่างมีความหวาดหวั่นว่าความรักของตัวเองนั้นจะไม่ยั่งยืน ต่างคนต่างสับสนและหวั่นใจอยู่เสมอ แม้จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีครอบครัว มีลูกด้วยกัน สร้างฐานะมาด้วยกัน แต่ในใจทั้งชายและหญิงต่างก็ยังหวาดหวั่นว่าความรักนั้นจะไม่มั่นคงอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ทางเพศที่หญิงชายมีต่อกันนั้น เป็นเพียงสัญชาตญาณเบื้องต้นที่ทำให้คนทั้งสองได้ผูกพันกันอย่างลึกซึ้งกว่าการรู้จักกันตามธรรมดา การแต่งงาน การมีครอบครัวที่ตามมา เบื้องลึกแล้วก็คือความต้องการที่จะผูกมัดอีกฝ่ายหนึ่งไว้ให้อยู่กับตนเพียงคนเดียว
ฝ่ายชายก็ย่อมยึดมั่นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสมบัติของเราคนเดียว ใครจะมาแตะต้องไม่ได้ ฝ่ายหญิงก็ยึดมั่นทันทีว่า ผู้ชายคนนี้เป็นของเราเพียงคนเดียว และเขาจะไปข้องเกี่ยวกับใครอีกไม่ได้ นั่นคืออุปาทานที่ทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่นกันมา ตามการหล่อหลอมของวัฒนธรรมประเพณีลัทธิศาสนาที่แตกต่างกันไป โดยต่างคิดกันว่า ต้องยึดมั่นถือมั่นให้มากเข้าไว้ แล้วความรักจะได้ยั่งยืน และนี่คือต้นตอของปัญหาครอบครัวและปัญหาความรักที่เป็นปัญหาโลกแตกตลอดมาของมนุษย์
สิ่งที่เกื้อกูลความรักให้งอกงามไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่น ความรักที่ยั่งยืนไม่ใช่เกิดจากการคอยควบคุมกำกับให้อีกฝ่ายเป็นสมบัติของเราคนเดียวเท่านั้น หรือจะต้องมีเวลาให้กันและอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็หาไม่ นั่นแทนที่จะเกิดความรักความเข้าใจ บางทีอาจเกิดความอึดอัดและเบื่อหน่ายทำลายความรักให้หมดไปอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ สิ่งนี้คือความลึกซึ้งที่ชายหญิงทั้งหลายพึงตระหนักและพิจารณา
ความรักที่ยั่งยืนนั้นต้องประกอบด้วยอิสรภาพในใจของคนทั้งสอง ความรักที่ยั่งยืนต้องมีทั้งความรักและมีอิสรภาพ ส่วนความรักที่มีแต่รักอย่างเดียว เอาแต่ครอบครองและยึดมั่นไว้กับตัว ความรักเช่นนั้นจะไม่ยั่งยืน แม้จะสวดมนต์หรือนั่งภาวนาให้ยั่งยืนสักเพียงใดก็ตาม
คนที่มีความรักอย่างเต็มเปี่ยม หลังจากนั้นเขาจะต้องการความวิเวก ความเป็นส่วนตัว การได้อยู่ตามลำพัง นี้คืออิสรภาพ การอยากอยู่อย่างอิสระ ได้อยู่คนเดียวตามลำพังนี้ ไม่ใช่ว่าเขาคิดนอกใจหรือมีความรักใหม่ เพราะคนที่จะแสวงหาความรักใหม่อย่างที่ใครๆมักวิตกนั้น ย่อมเกิดเฉพาะกับผู้ที่ยังไม่มีความรักที่เต็มเปี่ยมเท่านั้น และเกิดกับคนที่ได้รับการผูกมัดหรือถูกควบคุมตลอดเวลา ส่วนผู้ที่ได้รับความรักที่เต็มเปี่ยมแล้วต่อมาต้องการอิสรภาพคือความเป็นส่วนตัวในบางครั้งนั้น ในท่ามกลางอิสรภาพของเขานั้น ย่อมอุดมด้วยความรักที่งดงามตลอดเวลา และกลับจะรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายให้เขาได้มีอิสระและได้อยู่ตามลำพัง และความซาบซึ้งที่เกิดขึ้นนี้เองที่ยิ่งเพิ่มพูนความรักในใจให้งดงามยิ่งขึ้น ความรักที่พร้อมด้วยอิสรภาพเช่นนี้แหละที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความรักต่อกันยั่งยืน โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดต้องเรียกร้องความรักที่ยั่งยืนจากฝ่ายหนึ่งอีกต่อไป
วิถีแห่งการรู้แจ้งอันเป็นภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งแห่งบรรพกาล ท่านจึงมีระเบียบการครองชีวิตที่ภูมิปัญญาของคนสมัยนี้อาจตามไม่ทันอยู่ประการหนึ่งว่า หากหญิงชายคู่ใดใช้ชีวิตร่วมกันจนเวลาผ่านไปถึง ๑๕ ปี โดยที่ไม่เคยได้พลัดพรากห่างไกลกันเกิน ๗ วันมาก่อนเลย เมื่อถึงอายุ ๓๕ (คนสมัยก่อนแต่งงานเร็ว) ต้องหาโอกาสปลีกตัวออกจากครอบครัวบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีในวันพระ แล้วความรักของทั้งสองจะยั่งยืนไปจนกระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
ปริศนาในข้อนี้ท่านบ่งบอกอะไร? ท่านบ่งบอกว่า การอยู่คลุกคลีในครอบครัวนานเกินไป จะเป็นการบ่อนทำลายความรักที่ดีงามตั้งแต่แรกแต่งงานของคนทั้งสอง แต่ความรักจะยืนนานได้ ต้องมีจากกันบ้าง เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้มีอิสระและมีโอกาสทบทวนตัวเอง ชีวิตบรรพบุรุษของเราที่ท่านรักกันยั่งยืน ก็เพราะท่านมีภูมิปัญญาอันลึกซึ้งในการดำเนินชีวิตเช่นนี้ การไปรักษาอุโบสถในวันพระของคนรุ่นก่อน จึงไม่ใช่การไปทำตามประเพณี แต่คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งในตัวเองที่ประกอบด้วยความเข้าใจว่า ความรักจะยั่งยืนและเคารพเมตตาต่อกันไปตลอดได้ จะต้องรู้จักจากกันบ้างซึ่งก็คือการบำเพ็ญบารมีในข้อเนกขัมมะ
การจากกันในบางครั้ง กลับเป็นพลังในการเพิ่มพูนความรักและความซาบซึ้งระหว่างคนทั้งสอง ความรักที่อมตะทั้งหลายในนิยายจึงมักเกิดจากความรักที่ไม่สมหวังแบบคู่ผัวตัวเมียทั่วไป ส่วนคู่ผัวตัวเมียทั้งหลายทั้งที่นอนอยู่ด้วยกันทุกคืนอยู่แล้ว กลับเรียกร้องหารักอมตะแบบในภาพยนตร์ นี้ก็เพราะมัวเอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ควบคุมคอยบังคับกันให้อยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ความรักที่โรแมนติคที่ร่ำร้องเรียกหาจึงโบยบินออกหน้าต่างไป และรอคอยวันจะกลับมาใหม่เมื่อเธอและเขามีความเข้าใจใหม่ว่า “ในท่ามกลางความรักนั้น บางครั้งก็ต้องการอิสรภาพ ไม่ว่าชายหรือหญิง เธอทั้งหลายจงโปรดเข้าใจด้วยนะ”
ด้วยความไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ผู้หญิงบางคนที่ได้สามีดี ตั้งใจทำงานสร้างฐานะ อยู่แต่บ้านตลอด ก็ยึดมั่นว่าเขาจะต้องอยู่แต่กับเราตลอดเหมือนเดิม และไม่ยอมให้เขาไปไหน จะไปเที่ยวเตร่คบหาเพื่อนฝูงก็ไม่ได้ เพราะเคยชินว่าเขาอยู่แต่บ้านอยู่แต่กับเราเท่านั้น ผู้ชายที่มีพื้นจิตที่ดีมาก่อนบางคน ดั้งเดิมอาจไม่คิดอยากไปเที่ยวเตร่ดูนักร้องเข้าคลับเข้าบาร์มาก่อน แต่ต้องการอยู่ห่างจากภรรยาบ้าง อยากไปรักษาศีลในวัด ได้มีโอกาสทบทวนตัวเองบ้าง ฝ่ายภรรยาถูกชาวบ้านยุแหย่ว่า “อย่าให้ไปวัดนะ เดี๋ยวเขาหนีไปบวช เธอจะต้องอยู่คนเดียวนะ” ก็ไขว้เขวไปกับคำชาวบ้าน ทั้งที่ความจริงนั้นชาวบ้านเขาอิจฉาตัวเองที่ได้สามีเป็นคนดี ก็เลยไม่ยอมให้สามีไปนอนวัด ทำทุกวิถีทางให้สามีอยู่บ้านอยู่กับตัวเอง ซึ่งก็จะทำได้เพียงระยะหนึ่ง
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความอดทนความเก็บกดของเขาถึงขีดสุด เขาก็จะไม่ยอมฟัง เขาจะดิ้นรนหาอิสรภาพจนได้ แต่คราวนี้เขาอาจจะไม่ไปหาอิสรภาพแบบเงียบๆในวัดอีกแล้ว แต่จะไปที่ใหม่ อันมีแสงสีวิไล พร้อมกับกับมีดนตรีขับกล่อมซึ่งน่าเพลิดเพลินหลงใหลกว่าความเงียบในวัดนักหนา หลังจากนั้นฝ่ายหญิงก็อาจคร่ำครวญว่า “คนดีๆทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นึกว่าเป็นคนดี ที่แท้ก็....” โดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือผลกรรมที่ตนเองไม่ยอมให้เขาสร้างสมเนกขัมมะบารมีตามแบบภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล เขาเลยไปเที่ยวสวรรค์ชมนางฟ้าแทน
ส่วนผู้ชายบางคนได้ภรรยาที่ดี เป็นแม่บ้านแม่เรือน ก็หลงภูมิอกภูมิใจว่าภรรยาของเราเป็นคนดี ก็หวงให้อยู่แต่กับบ้าน โดยไม่รู้ความลึกซึ้งของชีวิตว่า สตรีที่เป็นกุลสตรีหรือเป็นคนดีนั้น ก็เพราะบิดามารดาและบุญกุศลเก่าก่อนปรุงแต่งมาดีก่อนที่เธอจะมาทนทุกข์อยู่กับเรา ในใจของเธอนั้นต้องอดทนอดกลั้นมากนักในการต้องมาปรนนิบัติรับใช้เรา ทั้งที่แต่ก่อนนั้นเธอไม่เคยรับใช้ใครมาก่อนแม้แต่พ่อแม่ของเธอเองสำหรับบางคน
ความเก็บกดในการที่กลัวว่า “สามีจะไม่รักเราอย่างยั่งยืน” ก็อดทนไม่ปริปากบ่นเพื่อให้สามีรักเธอมากๆ เพราะธรรมดาว่าผู้หญิงทุกคนล้วนหวาดหวั่นอยู่เสมอว่าผู้ชายจะทอดทิ้งเธอไป ก็เลยพยายามเอาอกเอาใจโดยหวังฝากชีวิตนี้ไว้กับเขาคนเดียว วิสัยกุลสตรีหรือสตรีที่ดีทุกคนล้วนคิดและรู้สึกเช่นนี้
ความเก็บกดที่อธิบายให้ใครฟังไม่ได้แม้แต่สามีของตัวเองเช่นนี้แหละ ที่ทำให้ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ครอบครัวอย่างเต็มที่มาแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอจะมีความรู้สึก “อยากไปวัด” การอยากไปวัดของเธอนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือ “ต้องการมีความอิสระ อยากมีเวลาเป็นส่วนตัว” ที่ไม่ใช่เรื่องครอบครัวที่แสนจำเจทุกคืนทุกวันนั้นบ้าง แต่เมื่อเอ่ยปากขออนุญาตสามี สามีบางคนก็เห็นแก่ตัวและขาดความเข้าใจก็ไม่ยอม หวงไว้ให้อยู่แต่ในบ้าน ต่อมาไม่นานผู้หญิงที่เคยอ่อนโยนน่ารักเหล่านี้ บางคนจะเริ่มก้าวร้าว ไม่เคารพเชื่อฟังเหมือนก่อน บางคนจะเกิดความฉุนเฉียวโมโหร้ายอย่างที่คนรอบข้างไม่เคยคิดว่าจะเกิดมาก่อน บางคนจะเริ่มมีอาการประสาทหลอน บางคนต้องเริ่มรู้จักโรงพยาบาลจิตเวช บางคนจะเริ่มเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะและมีโรคภัยมาเยือน
เหตุผลก็คือ ความงดงามแห่งสมองฝั่งขวาที่เธอเคยมีตั้งแต่ก่อนแต่งงานได้ถูกทำลายไป จากการอดทนและเก็บกดจากความเครียดและความโกรธความไม่พอใจต่างๆตลอดมา นับตั้งแต่มาใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้าที่ชาวโลกเขาแสวงหากันนักหนาที่เรียกว่า “สามี” เธอได้ใช้พลังของเธอเพื่อครอบครัวจนพลังเหลือน้อยเต็มที
พื้นฐานเดิมของสตรีเพศนั้นจะถนัดในการใช้สมองฝั่งขวามาแต่กำเนิด ดังนั้นผู้หญิงจึงมีลางสังหรณ์เหนือกว่าผู้ชาย ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงชอบโหราศาสตร์และเชื่อถือสิ่งลี้ลับ หากให้ผู้หญิงตัดสินใจในเรื่องคับขันเรื่องใดที่ผู้ชายคิดไม่ออกแล้ว และขณะนั้นจิตของเธอมีอิสระในการตัดสินใจ เธอจะตัดสินใจไม่พลาดและน่าทึ่งอยู่เสมอ ผู้ชายที่รู้คุณค่าความพิเศษของสตรีในข้อนี้ จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้เร็วผิดจากคนอื่น น่าเสียดายที่คุณสมบัติข้อนี้ของสตรีได้ถูกทำลายไป ด้วยระบบการศึกษาที่เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์และการเรียนหนังสือสูง ผู้หญิงสมัยนี้จึงรู้จักใช้เหตุผลได้มาก แต่จะขาดความสุขในจิตใจและรู้สึกโหยหาความรักผิดจากสมัยก่อน ความเบิกบานแจ่มใสของสตรีที่ขาดหายไป ก็เพราะสมองฝั่งขวาของเธอถูกทำลายโดยสังคม
ดังนั้น ความรักที่ยั่งยืน จึงต้องเข้าใจสภาพแห่งเพศที่แตกต่างกัน เมื่อมีรักอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจแล้ว จงอย่าลืมว่า บางครั้งหัวใจที่เปี่ยมด้วยรักก็ต้องการอิสรภาพด้วย อย่าตกใจที่บางครั้งคนที่เรารักต้องการอยู่เงียบๆคนเดียว หรืออยากไปวัด อยากไปหาเพื่อนฝูง จงส่งเสริมให้เขาหรือเธอได้ดื่มด่ำกับอิสรภาพในขณะนั้นอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นความรักจะกลับมาหาเราอย่างเพิ่มทวีคูณ นี้คือวิถีแห่งความยั่งยืนของความรักโดยแท้
คุรุอตีศะ
๔ กันยายน ๒๕๕๖