อย่าตอกย้ำความผิดตัวเอง

อย่าตอกย้ำความผิดตัวเอง


              สิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายนั้น สุดท้ายก็ผ่านไปกลายเป็นอดีต ไม่เคยมีใครในโลกนี้ไม่เคยผิดพลาด เพราะนั่นเป็นความธรรมดาของปุถุชนคนทั้งหลายในโลก สิ่งใดที่ผิดไปแล้ว พลาดไปแล้ว ก็ผิดไปแล้วและพลาดไปแล้ว  ไม่หวนย้อนคืนได้ เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้คือลุกขึ้นยืนสู้แล้วตั้งต้นใหม่ นั่นแหละหนทางของผู้มีปัญญาไม่ว่ายุคใดสมัยใด  การร้องไห้คร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจไม่อาจย้อนคืนกลับสู่อดีตได้ เพราะชีวิตคือสิ่งใหม่เสมอ


              ความทุกข์ที่เกิดจากการทำผิดศีลหรือผิดธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมบีบคั้นจิตใจของผู้กระทำอย่างรุนแรงเหมือนจะทนไม่ได้หรือทนไม่ไหว เพียงแค่สำนึกผิดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่ต้องตอกย้ำความผิดของตัวเองให้บ่อยนัก เพียงสำนึกผิด เพียงสำนึกบาปในสิ่งที่ได้กระทำ แล้วตั้งต้นชีวิตใหม่ ตั้งปณิธานที่จะทำความดีและคุณค่าในชีวิตขึ้นมาใหม่  เพียงเท่านั้นหัวใจของเราก็จะได้รับพลังทิพย์และพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการนำชีวิตเข้าสู่มิติใหม่แห่งความสุขแล้ว


             เมื่อทำผิด ทำชั่ว ทำเลวประการใด  เราไม่ควรตอกย้ำความผิดนั้นกับตัวเอง จะบั่นทอนตัวเองและจะรู้สึกระทมขมขื่นมาก ให้ความผิด ความเลว ความชั่วร้ายทั้งปวงผ่านพ้นไปเหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนคืน


             จงตื่นขึ้น  ตระหนักรู้กับความจริงในขณะนี้  ใจที่กำลังถูกความทุกข์เผาลนแทบจะนั่งจะนอนไม่ได้ เราก็ตระหนักรู้ มองเข้าไปในตัวความทุกข์นั้น แม้ขณะนั้นเราอาจจะร้องไห้ไปด้วย แต่เราก็ไม่ท้อถอยที่จะเฝ้ามองดูมัน  ดูใจที่กำลังทุกข์กำลังหม่นหมองในขณะนี้  ดูน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม ดูสองขาที่กำลังก้าวเดิน  ดูใจที่กำลังแห้งผาก  อย่าไปปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงในการดูสิ่งเหล่านี้แม้จะอยู่ในท่ามกลางความทุกข์สักปานใด


             ในยุคสมัยของพวกเรานี้  เป็นยุคที่คนส่วนใหญ่มีโอกาสจะผิดพลาดในชีวิตกันได้ง่ายมาก น้อยคนนักที่จะมีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะฝ่ามรสุมและเกลียวคลื่นอันรุนแรงแห่งกิเลสได้ เราจึงมักพบแต่คนทุกข์โศกอยู่ทั่วไป  ดังนั้น สติปัญญาของแต่ละคนต้องแววไวจึงจะเอาตัวรอดท่ามกลางความเชี่ยวกรากของกิเลสได้ และหากต้านไม่ไหวจนเกิดการผิดพลาดลงไป จงรีบตั้งต้นใหม่ให้เร็วที่สุด อย่ามัวจมในอดีตเหล่านั้น นั่นแหละคือลีลาชีวิตของผู้คนสมัยนี้ที่ต้องใช้ อันคนละวิสัยกับคนสมัยก่อน ที่ท่านอยู่ในสังคมที่มีความปกติสุขกว่าเรา


            ผิดก็ผิดไปแล้ว  ก็เพียงสำนึกผิด แล้วตั้งทำสิ่งที่ถูกใหม่  เพียงเท่านี้หัวใจของเราก็จะแช่มชื่นและมีความหวังขึ้นมาแล้ว  ทำไมจะต้องมามัวเสียเวลาและเสียพลังในการตอกย้ำว่าเราเลวเราผิดอยู่อีกเล่า


            ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มไม่เคยผิดพลาดเลย  แต่คือคนที่ไม่ว่าจะพลาดล้มลงสักกี่ครั้ง แต่ก็พยายามลุกขึ้นเสมอต่างหาก


            พระเจ้าอโศกมหาราช ก่อนที่พระองค์จะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชมพูทวีป พระองค์ก็ทรงเคยทำความผิดพลาดอันใหญ่หลวงมาแล้ว โดยประหารพี่น้องของพระองค์เองถึงหนึ่งร้อยคนเพื่อขึ้นครองราชย์ ต่อมาเสด็จไปทำสงคราม เห็นศพทหารและศพผู้คนที่ล้มตายเป็นแสนเพราะพระองค์เป็นต้นเหตุก็ทรงสลดพระทัย จนกระทั่งเมื่อทรงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะสามเณรน้อยนิโครธผู้มีปัญญา ซึ่งพระมารดาอุ้มท้องหลบหนีออกจากวังมาเพื่อรักษาทารกในครรภ์เมื่อตอนต้นรัชกาล ต่อมาพระองค์กลายเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ สร้างวัดถึง ๘๔,๐๐๐ วัด และทรงอุปถัมภ์การทำสังคายนาครั้งที่สาม เป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียมเป็นที่กล่าวขวัญถึงเกียรติคุณของพระองค์จนกระทั่งทุกวันนี้


            คนที่เคยผิดพลาดมาก่อน หากกลับตัวกลับใจมาสร้างคุณงามความดี อาจทำความดีได้อย่างยิ่งใหญ่ดุจพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงเป็นตัวอย่างแต่ครั้งอดีตก็ได้ เพียงแต่ขอให้เกิดแรงบันดาลใจและเกิดศรัทธาต่อความดีและบุญกุศลอย่างมั่นคง


           จะทุกข์จะโศกสักเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและแก่ใคร จงสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นด้วยการทำบุญทำกุศลให้มากกว่าที่ผ่านมา ทานที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจมาก่อน ก็จงหมั่นสร้างทานบารมีให้มากขึ้น ศีลที่ไม่เคยเห็นคุณค่าหรือเคยดูหมิ่นสมัยยังหลงระเริง ก็จงหันมารักษาศีลดูบ้าง แม้ไม่ได้ถึงห้าข้อ ได้สักข้อสองข้อก็ยังดี แล้วจะเห็นผลแห่งการรักษาศีลที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสงบสุขขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งถ้ามีโอกาสนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลแปดได้ จิตใจจะยิ่งมีพลังมากขึ้น จะเป็นทั้งการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาที่เราทำด้วยตัวเอง


            อย่ามัวจมอยู่กับความทุกข์ อย่ามัวจมอยู่กับอดีต จงมีสติตระหนักรู้ที่กายขณะนี้ ที่ใจขณะนี้ไว้เสมอ นั่นแหละคือหนทางที่ความทุกข์ในใจจะลดดีกรีลงไป การภาวนาคือยารักษาโรคใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โรคทางกายรักษาให้หายด้วย medicine ส่วนโรคทางใจนั้นต้องรักษาด้วยวิธีของพระพุทธเจ้าคือ meditation เท่านั้น มีสติระลึกรู้กาย มีสติระลึกรู้ใจไว้เสมอ นั่นแหละคือการรักษาโรคใจของตัวเองด้วยหมอคือตัวเอง


คุรุอตีศะ
๑  กันยายน  ๒๕๕๖