เป็นตัวของตัวเอง

เป็นตัวของตัวเอง


            มนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักยภาพเฉพาะตัวเองอยู่แล้ว แต่เพราะไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองในข้อนี้ เราจึงพากันระทมขมขื่นทุกคืนและวัน และต่างก็โทษกันว่าอีกฝ่ายทำให้ตัวเองทุกข์ สามีก็โทษภรรยา ส่วนภรรยาก็โทษสามี  ลูกก็โทษพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่ก็โทษลูก  พระก็โทษโยม ส่วนโยมก็โทษพระ ต่างฝ่ายต่างกันไปมา โดยไม่มีใครยอมโทษตัวเอง


              ถ้าใครเกิดสติปัญญาขึ้นมาแล้วหันมาโทษตัวเอง พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตนเอง เห็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดของตัวเองขึ้นมาวันใด นั่นคือ รุ่งอรุณแห่งความสุขได้ฉายฉานเข้าสู่ชีวิตของเขาแล้ว  การรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมที่ได้ผลจริงยิ่งกว่าเห็นเทวดาหรือระลึกชาติได้  เพราะอะไรเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ากับการรู้จักว่าตัวเองคือใคร?!


               เราอยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่แบบคนนั้นคนนี้ แต่ลืมไปว่าเรายิ่งใหญ่อยู่ทุกวันเมื่อเดินเข้าบ้านแล้วลูกวิ่งเข้ามากอด แล้วภรรยาส่งแก้วน้ำยิ้มให้ แล้วเราจะนั่งจะนอน จะเอกเขนกตรงมุมไหนของบ้านอันเป็นอาณาจักรของเราก็ได้ นโปเลียน โปนาปาร์ต ที่ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่รบชนะเกือบทั่วยุโรปและเกือบยึดประเทศรัสเซียได้ ผลสุดท้ายก็พ่ายแพ้ยับเยินแล้วถูกคนนำไปปล่อยเกาะจนสิ้นชีวิตในเกาะเล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรจริง ความยิ่งใหญ่จริงก็คือชีวิตที่นอนกระดานสามสี่แผ่นในเถียงนากลางทุ่งอย่างผาสุกแบบหลวงปู่สรวง โดยที่ใจไม่รู้สึกว่าแพ้ชนะต่อสิ่งใดต่างหาก  ใจของพระอริยเจ้าที่ไม่รู้สึกว่าขาดแคนสิ่งใด นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่จริง


               เคยมีผู้ถามอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา หลังจากที่ไอสไตน์ได้นับรางวัลต่างๆมากมายและประสบความสำเร็จอย่างไม่มีใครเทียบว่า “หากท่านไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วเลือกไปประกอบอาชีพหรือทำงานอย่างอื่น ท่านจะเลือกทำอาชีพอะไร?” ไอน์สไตน์ตอบว่า “ผมจะเป็นช่างประปา”


               เหตุใดไอน์สไตน์เลือกจะเป็นช่างประปาหากไม่ทำหน้าที่นักวิทยาศาสตร์? เหตุผลก็คือ  งานช่างประปาไม่ต้องใช้สมองฝั่งซ้ายที่ต้องใช้ความคิดและเคร่งเครียดตลอดเวลา  สำหรับชีวิตของไอน์สไตน์นั้นทั้งชีวิตอยู่แต่กับการวิจัยแสวงหาเหตุผล ไม่ค่อยได้รับความปลอดโปร่งใจ ใจไม่ค่อยได้อยู่กับเนื้อกับตัว ไอน์สไตน์แม้จะมีชื่อเสียงก้องโลกและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครเทียบได้ แต่ภายในจิตใจของไอน์สไตน์เขารู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ค่อยรู้สึกสงบสุข ความสุขของไอน์สไตน์ก็คือนอนแช่น้ำในอ่างแล้วเล่นฟองสบู่ไปโดยไม่จำกัดเวลา อันเป็นช่วงเวลาที่สมองฝั่งขวาเริ่มทำงาน เขาจะสั่งภรรยาไว้ว่าห้ามเรียกเขาในขณะที่เขาอยู่ในห้องน้ำเด็ดขาด เคยมีแขกคนสำคัญไปนั่งรอไอน์สไตน์เกือบครึ่งวันกว่าที่เขาจะออกมาจากห้องน้ำหลังจากอยู่ในนั้นจนพอใจแล้ว และเขาก็มักจะค้นพบอะไรหลายสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกในขณะที่เขาเล่นฟองสบู่ในห้องน้ำนั้นเอง ดังนั้น เขาจึงสั่งห้ามใครรบกวนเขาเด็ดขาดเมื่ออยู่ในห้องน้ำ  ฝ่ายภรรยาก็ได้แต่ขอโทษแขกขอโทษแล้วขอโทษเล่าที่เขาต้องรอไอน์สไตน์ด้วยความกระวนกระวายหลายชั่วโมง ในบั้นปลายชีวิตเขาพยายามค้นหา “พระเจ้าที่แท้จริง” หรือ “ความจริงอันสูงสุด”ด้วยสูตรคณิตศาสตร์  สุดท้ายก็ล้มเหลว แล้วเขาก็พูดว่า “สิ่งที่ฉันกำลังค้นหาอยู่ตลอดมานี้  บางทีคำตอบอาจจะมีอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา”  


                ความจริงอันสูงสุดนั้นไม่อาจค้นหาหรือพบได้ในภายนอก การค้นหาความจริงแบบวิทยาศาสตร์ย่อมค้นพบได้แต่วัตถุหรือรูปธรรมในภายนอกเท่านั้น ส่วนสัจธรรมอันสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ผู้ที่แสวงหาความจริงจะค้นพบได้ที่ภายในใจของตนนี่เอง เพราะนี้คือวิทยาศาสตร์แห่งนามธรรม แต่ในภาษาทางศาสนาเราเรียกสิ่งนี้ว่า “ธรรม”


                ผู้แสวงหาความจริงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อันดับแรกคือ ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จิตต้องเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ของสังคม มีความเป็นตัวของตัวเอง นั่นก็คือการดำเนินชีวิตด้วยความมีสติ ดำรงความรู้ ตื่น เบิกบาน วิถีเช่นนี้เรียกว่า “ชีวิตพระ” หรือ “ชีวิตของภิกษุ คือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร” ความเป็นพุทธที่แท้จริงนั้นคือความอิสระ เบิกบาน แต่มีความเข้าใจและดำเนินชีวิตไปด้วยความสอดคล้องกับชาวโลก


               ดังนั้น “ชีวิตพระ”ที่เป็นเนื้อแท้นั้นจึงไม่ใช่การโกนผม ห่มเหลืองเท่านั้น นั่นเป็นเพียงเครื่องแบบซึ่งใครมีเงินจะซื้อหาเอามาสวมใส่ก็ได้ เหมือนเครื่องแบบตำรวจทหาร ความเป็นพระที่แท้จริงคือใจที่สงบ ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ดำเนินชีวิตประจำวันด้วยสติปัญญา ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเพศเป็นพระหรือใส่กางเกงเป็นฆราวาส ไม่ว่าเพศกำเนิดจะเป็นชายหรือหญิง เราทั้งหลายจงรู้จักพระเช่นนี้ให้มากๆ แล้วศาสนาจะก้าวพ้นจากความอับเฉาแล้วรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่เมื่อก้าวสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ตามคำทำนาย


                พุทธศาสนาสอนคนให้มีสติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ให้เป็นทาสต่อสิ่งใด จงรู้คุณค่าของตัวเอง อย่ามัวแต่เลียนแบบคนอื่น อยากเป็นเหมือนคนอื่น นั่นคือปล่อยให้ปมด้อยได้ยึดครองหัวใจของเราแล้ว ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นช่างต่อท่อประปาด้วยความเบิกบานและภูมิใจที่ทำให้น้ำไหลได้ ก็เป็นความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเช่นเดียวกัน


             ขายแกงถุงวันนี้ได้กำไรตั้ง ๓๐๐ บาท ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เสี่ยใหญ่ขายข้าวสารได้กำไรหนึ่งล้านเช่นกัน สานสุ่มไก่สำเร็จหลังจากพากเพียรสานมาตั้งสามวัน ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันกับข้าราชที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับแปด เป็นพนักงานขนขยะไปเทและเผาอย่างเรียบร้อยแล้วกลับมาทานข้าวกับน้ำพริกปลาทูที่บ้านกับภรรยา ก็สุขสำราญยิ่งกว่า ส.ส.ทะเลาะกันในสภาเป็นไหนๆ  นี่แหละคือคุณค่าในชีวิตของเราที่เราทั้งหลายมักมองข้ามไป


             ทะเลาะกันกับคนที่นอนข้างกันทุกวัน ก็ยังดีที่ยังอุตส่าห์มีคนมาทะเลาะด้วย ทำให้โลกนี้มีสีสัน สุดท้ายก็ละทิฐิมานะต่อกันได้แล้วมานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม สวรรค์ก็อยู่ตรงหน้า และวิมานก็คือบ้านเรานี้เอง  ยังมีสิ่งดีๆมากมายในชีวิตที่เรามองข้ามไป


            มองดูสายลมที่พัดผ่านไป   นอกจากนำความสดชื่นมาให้แล้ว สายลมยังคอยสอนเราว่า อย่าได้ยึดติดหรือหมายมั่นต่อสิ่งใด สิ่งใดผ่านเข้ามาแล้วสิ่งนั้นก็ผ่านไป จงทำใจให้สบายและผ่อนคลายอยู่เสมอ แล้วชีวิตจะโปร่งเบา อิสระ และสดชื่นดุจเดียวกับสายลม  จงขอบคุณชีวิตที่ให้อะไรแก่เรามามายจนมิอาจจะตอบแทนคุณได้แม้เพียงเศษเสี้ยว  ขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ทำให้เราได้เป็นเราเช่นวันนี้


คุรุอตีศะ
๒๔  สิงหาคม  ๒๕๕๖