คุณค่าของคน

คุณค่าของคน


            ทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง  ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ประจำตัว  ซึ่งคนอื่นไม่มีทางที่จะเหมือนได้  แต่เพราะไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของตนเองที่แต่ละคนมีอยู่  เราจึงพยายามจะเป็นเหมือนคนอื่น  และนับแต่ที่เราคิดว่าจะต้องให้เท่าเทียมคนอื่น หรือพยายามจะให้เหมือนคนอื่น  ความสงบสุขภายในจิตใจของเราก็หมดไปนับแต่นั้น  


              หากจิตใจของเราใสสะอาด  ไม่มีบาดแผลในใจจากความรู้สึกว่าด้อยกว่า  หัวใจของเราย่อมไม่มีความสนใจว่าคนอื่นจะคาดหวังอะไรจากเรา  ใจดวงนี้ย่อมไม่มีภาระหรือความหนักอกหนักใจจากการต้องคอยแบกเอาความคาดหวังจากใครๆ มาอยู่บนบ่าของตัวเอง  เพียงแค่มีชีวิตให้สอดคล้องกับปัญญาหยั่งรู้ของตัวเอง ปัญญาญาณของตัวเอง และเชาวน์ปัญญาที่เป็นธรรมชาติของตัวเอง  นั่นต่างหากคือวิถีทางที่มนุษย์ทั้งหลายควรจะเป็น  มนุษย์ผู้มีสุขภาวะสมบูรณ์ย่อมไม่มีปมด้อย


             ที่เราทั้งหลายดิ้นรนไขว่คว้าทะเยอทะยานจนต้องกลัดกลุ้มและวิตกกังวลอย่างมากมาย  ก็เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เราคิดว่าจะได้ จะมี จะเป็น เหล่านั้น จะมาทำให้ชีวิตและหัวใจของเราได้รับการเติมเต็ม  ซึ่งก็คือเราทุกคนต่างดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆเพื่อมาชดเชยปมด้อยในใจของเรานั่นเอง


            หากใจของเราไม่มีปมด้อย เราจะไม่มีวันพยายามเป็นคนที่เหนือกว่า  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น  เด่นกว่าคนอื่น  ถือไพ่เหนือกว่าคนอื่น หรือควบคุมคนอื่น  มีเพียงคนที่เจ็บป่วยหรือทุกข์ทรมานจากปมด้อยเท่านั้น ที่ต้องการอำนาจหรือพยายามจะควบคุมหรืออยู่เหนือคนอื่น


            ไม่มีใครปรารถนาที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่นเพื่อพิสูจน์ตัวเอง  เพราะมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะทำเช่นนั้น  การที่เรามีชีวิต  หายใจ  และทำในสิ่งที่เราต้องการด้วยความรู้สึกที่อิสระและเบิกบานนั่นก็เป็นการพิสูจน์ที่เพียงพอแล้ว  เพียงเท่านั้นเราก็ได้สร้างเครื่องหมายของตัวเองขึ้นมาแล้ว  เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเราไม่ใช่ของผู้อื่น  จงจำไว้ว่าแม้แต่ลายนิ้วโป้งของเราก็ยังไม่เหมือนใครในโลกนี้  แล้วความเป็นตัวเราจะไปเหมือนใคร  หรือจะให้ใครจะมาเหมือนเราได้อย่างไร


           เมื่อตระหนักถึงคุณค่าในความเป็นตัวเอง  ปมด้อยทั้งหลายย่อมอันตรธานหายไป  เพราะความเป็นตัวเรานั้นมีคุณค่ามากจนอะไรก็มาแทนที่ไม่ได้  คนที่ใจของเขาปราศจากซึ่งปมด้อย  จะแสดงออกซึ่งพลังแห่งการสร้างสรรค์ออกมา  และคนที่ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆไว้ในโลกเท่านั้นจึงจะได้รับรสแห่งปีติและความเบิกบาน  เสมือนหนึ่งรางวัลหรือการแสดงน้ำใจจากโลกใบนี้ที่มอบให้บุคคลนั้น


           มนุษย์ผู้มีปมด้อยในใจเท่านั้นที่ต้องการมีอำนาจ ต้องการเป็นนักการเมือง เป็นประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีความเต็มเปี่ยมในตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ฐานะใดก็สามารถแสดงออกซึ่งความสร้างสรรค์และมอบความสุขให้ผู้คนได้เสมอ  เขาอาจเป็นนักดนตรี นักเต้นรำ จิตรกร  หรือช่างไม้  โดยคนผู้ปรารถนาอำนาจหรือต้องการอยู่เหนือคนอื่นอาจมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามหรือมองข้ามพวกเขาไป  แต่ถ้าถามว่าในดวงใจของบุคคลชนิดใดจะมีความสุขสงบหรือมีความร่าเริงเบิกบานมากกว่ากัน  และชีวิตของคนที่เขาได้ร่ายรำหรือใช้ชีวิตอย่างเบิกบานไปตามความปรารถนาในหัวใจเช่นนั้น ย่อมเป็นการใช้ชีวิตที่แท้จริง และไม่มีการเสแสร้งหรือมีความเจ้าเล่ห์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่อย่างใด จิตใจของเขาย่อมสะอาดกว่า จริงใจกว่า และงดงามกว่าเสมอ  


              ความสร้างสรรค์ทุกชนิดสามารถจะมีได้ทั่วไปในโลก  พลังแห่งการสร้างสรรค์ที่เปล่งประกายออกมาจากดวงใจที่งดงามแต่ละดวงจะทำให้โลกใบนี้งดงามและอบอุ่น  ไม่มีใครต้องแข่งขันกับใคร  เพียงแต่ทุกคนสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น  เป็นความยินดีและเบิกบานของทุกคน  ความเบิกบานยินดีไม่ได้มาจากการแข่งขันกับใคร  ความเบิกบานยินดีไม่ได้มาจากการเป็นที่หนึ่ง  ความเบิกบานยินดีมาจากการได้ทำสิ่งนั้นๆด้วยมือน้อยๆของเราประดับไว้ในโลก  คุณค่าของคนและความยิ่งใหญ่ของชีวิตควรเป็นเช่นนี้


               ท่านอับราฮัม ลินคอล์น  เมื่อได้กลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ขณะนั้นบิดาของท่านยังเป็นช่างทำรองเท้า  และเป็นธรรมดายิ่งนักที่คนมีอัตตาตัวตนจะต่อต้านเป็นอย่างยิ่งกับการที่ลูกช่างทำรองเท้าได้กลายเป็นประธานาธิบดี ประเทศสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นเพิ่งตั้งประเทศใหม่ๆยังเพิ่งเริ่มต้นในการใช้ระบอบประชาธิปไตยแต่ยังไม่ลงตัว สมัยลินคอล์นนั้นเทียบได้ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ ของไทย  คนในยุคนั้นส่วนใหญ่อพยพไปจากประเทศอังกฤษและยังถือตัวว่าเป็นชนชั้นสูง พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นสิทธิโดยกำเนิดของพวกเขาเท่านั้นที่จะได้อยู่ในตำแหน่งทางการเมือง ลูกชายช่างทำรองเท้าหรือจะมีสิทธิเช่นนั้นได้ นั่นคือความคิดของคนอเมริกันยุคแรกก่อนจะพัฒนามาสู่วิถีใหม่เช่นที่เราเห็นทุกวันนี้  ประธานาธิบดีลินคอล์นนี้เองเป็นผู้สร้างมิติใหม่และทำให้สหรัฐอเมริกากลายมาเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในเวลาต่อมา


               ท่านลินคอล์นเข้าไปกล่าวคำปราศรัยในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ระหว่างกล่าวคำปราศรัยมีชายคนหนึ่งลุกขึ้น เขาเป็นพวกชนชั้นสูงที่ร่ำรวยมาก เขากล่าวขึ้นว่า “ท่านประธานาธิบดี  ท่านคงไม่ลืมว่าบิดาของท่านเคยทำรองเท้าให้กับครอบครัวของผม” และวุฒิสมาชิกทุกคนในสภาก็พากันหัวเราะคิกคักเพราะคิดว่าพวกเขาได้ทำให้อับราฮัม ลินคอล์นเป็นตัวตลก


               แต่ลินคอล์นเป็นคนประเภทที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวกล้าหาญแตกต่างจากคนทั่วไป  ลินคอล์นมองชายผู้นั้นและกล่าวว่า “ท่านครับ ผมทราบดีว่าบิดาของผมเคยทำรองเท้าให้กับครอบครัวของท่านและคงจะมีอีกหลายคนในที่นี้ด้วย...เพราะบิดาของผมรู้เทคนิควิธีทำรองเท้าที่ไม่มีใครอื่นทำได้  บิดาของผมท่านเป็นนักสร้างสรรค์ รองเท้าที่ท่านทำไม่ใช่รองเท้าธรรมดา  เพราะว่าท่านได้ทุ่มเทจิตวิญญาณของตัวเองลงไปในรองเท้านั้นด้วย  ผมอยากถามท่านว่าท่านเคยบ่นเรื่องรองเท้าหรือไม่ เพราะผมรู้วิธีทำรองเท้าใส่เอง  หากท่านมีข้อตำหนิ  ผมสามารถทำรองเท้าคู่ใหม่ให้ท่านได้  แต่เท่าที่ผมทราบมา ยังไม่เคยมีใครบ่นเรื่องรองเท้าของบิดาของผมเลย  บิดาของผมท่านเป็นอัจฉริยะและเป็นนักสร้างสรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วผมก็ภูมิใจในตัวบิดาของผมมาก...”


              ตอนนี้แหละวุฒิสมาชิกทุกคนเงียบกริบ  พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าอับราฮัม  ลินคอล์นเป็นคนประเภทไหน  เขาได้ทำให้เรื่องการทำรองเท้าเป็นศิลปะและการสร้างสรรค์อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แล้วเขาก็ภาคภูมิใจเพราะบิดาของเขาทำงานได้ดีมาก  จนไม่เคยได้ยินเสียงลูกค้าคนไหนบ่นเลยแม้แต่คนเดียว  และแม้ตอนนี้เขาได้เป็นประธานาธิบดีแล้วก็ตาม  เขาก็ยังพร้อมที่จะทำรองเท้าให้อีกคู่ หากมีเสียงบ่น


             นี้คือหัวใจของบุคคลที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย  แม้ในวันไปรายงานตัวเป็นประธานาธิบดีนั้นลินคอล์นจะยากจนไม่มีแม้แต่เงินจะตัดชุดสูท  เพื่อนๆต้องช่วยกันเรี่ยไรออกเงินให้ลินคอล์นไปตัดชุดสูท  แต่ลินคอล์นก็ยังแสดงถึงความซื่อสัตย์อย่างยากนักจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลก คือเขาเอาเงินที่เหลือจากการจ่ายค่าตัดชุดสูทนั้นไปคืนให้เพื่อนอีกด้วย โดยบอกว่าเขาขอรับเอาแต่ชุดสูทเท่านั้นก็พอแล้วและขอขอบคุณทุกคนที่มีน้ำใจ


             นี้คือมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  ที่แม้จะยากจนทรัพย์สินภายนอกสักเพียงใด แต่หัวใจไม่เคยมีปมด้อยและมีแต่ความเต็มเปี่ยมตลอดเวลา  และบุรุษผู้นี้แหละทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกามีเกียรติยศและศักดิ์ศรีและกลายเป็นมหาอำนาจต่อมา  เพราะเป็นต้นแบบแห่งคุณธรรม จริยธรรม ทำให้ทั่วโลกยอมรับระบอบประชาธิปไตยตามสหรัฐอเมริกาจนทุกวันนี้  


             ลูกช่างทำรองเท้าได้กลายเป็นประธานาธิบดี เพราะแรงบันดาลใจต้องการจะเลิกทาสให้หมดไปจากทวีปอเมริกา อันมีสาเหตุมาจากความสะเทือนใจที่มีทาสนิโกรคนหนึ่งวิ่งหนีเจ้านายมาทั้งโซ่  มากอดขาลินคอล์นซึ่งขณะนั้นเป็นกุลีแบกของรับจ้างในตลาดพร้อมทั้งร่ำไห้อ้อนวอนให้ลินคอล์นช่วย  แต่ลินคอล์นช่วยอะไรไม่ได้  จึงตั้งความปรารถนาเพื่อจะเป็นประธานาธิบดี แล้วก็ทำได้สำเร็จในที่สุด และผลจากการเลิกทาสในทวีปอเมริกาครั้งนั้นเอง  เป็นมูลเหตุสำคัญและแรงผลักดันให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทยทรงประกาศเลิกทาสในเวลาต่อมาในแผ่นดินสยาม


             คุณค่าของคน  แท้จริงแล้วหาใช่จะวัดกันที่ความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออำนาจวาสนาใดๆไม่  แต่วัดกันที่หัวใจและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นลินคอล์นนี้ต่างหากเล่า  ลูกช่างทำรองเท้าได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่สร้างคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ให้แก่ชาวโลก  นี้คือคุณค่าอันแท้จริงของคน  แต่บุคคลชั้นสูงที่ร่ำรวยที่ดูหมิ่นเหยียดยามลินคอล์นในวันนั้น ไม่มีคุณค่าใดให้ใครกล่าวถึงและแม้แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่ปรารถนาจะจดจำชื่อไว้แต่อย่างใด


            ช่างทำรองเท้า หากทำงานด้วยใจรักและเบิกบาน มีความใส่ใจลงไปในงานอย่างเต็มที่  ไม่สนใจอดีต ไม่พะวงสิ่งที่จะมาในอนาคต  มีเพียงความตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะนั้น  นั่นคือเขาได้ปฏิบัติธรรมอย่างเยี่ยมยอด  ในขณะนั้นเขาไม่รู้สึกว่าต่ำต้อยใดๆ  และก็ไม่ปรารถนาจะยิ่งใหญ่เหมือนใครๆ  ใจของเขาย่อมสงบสุข  แม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือความยิ่งใหญ่ใดๆในสายตาชาวโลก ย่อมไม่มีความหมายสำหรับเขาในขณะนั้น  เพราะชีวิตของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว  ชีวิตของเขาไม่มีเมื่อวาน ไม่มีพรุ่งนี้  มีแต่วันนี้และขณะนี้ที่กำลังเลื่อนไหลไป  นั่นคือชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายพยายามจะบอกแก่ชาวโลก


คุรุอตีศะ
๓๐  กรกฎาคม  ๒๕๕๖