เพียงได้ก้าวเดินบนผืนดิน
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เพียงได้ก้าวเดินบนผืนดิน
นานนักแล้วที่ใจดวงนี้ระหกระเหินเพราะแรงแห่งทะเยอทะยาน เพราะเคยได้รับการดูถูกเหยียดหยามและต่ำต้อย สองมือน้อยๆที่บากบั่นและฟันฝ่า ช่วยถักทอสิ่งต่างๆในชีวิตขึ้นมา จนบัดนี้พอจะพูดได้เต็มปากว่า ไม่อายใครอีกแล้ว
นับแต่ความดูถูกเหยียดหยามของผู้คนเริ่มหายไป สิ่งใหม่ที่ไม่เคยว่าจะได้พบคือความทะนงตัวและกลัวว่าจะกลับไปยากจนอีก กลับมาเบียดเบียนหัวใจแทน ตอนใครต่อใครดูถูก กายและใจนอนหลับง่ายและหลับสนิทเสมอ แต่เมื่อความดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้มาเยือน กลับมีแต่ความวิตกกังวลและนอนผวามาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยๆ
ตอนฉันมีเจ้ารถเครื่องสองล้อสับปะรังเคคู่ชีพคันเก่า สายตาของใครๆที่มองมาแม้จะมีแววสมเพชและดูถูกในความยากจน แต่ก็มีแววแห่งความจริงใจและไร้ความริษยาใดๆให้พอชื่นใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้นับแต่ฉันออกรถญี่ปุ่นสี่ประตูคันใหม่และเป็นคันแรกในชีวิต แววตาที่เคยเป็นมิตรและจริงใจกลับหายไป เหลือแต่แววตาแห่งความไม่สบายใจของผู้คนเหล่านั้นเกิดขึ้นแทน นักปราชญ์ท่านใดพอจะอธิบายไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ได้บ้างหนอ....
ตอนเป็นเด็ก พ่อและแม่รวมทั้งพี่สาวบอกว่าฉันเป็นคนสมองทึบ แล้วให้ฉันมีหน้าที่ไปเลี้ยงควาย ส่วนพี่สาวคนสมองดีทั้งหลายต่างพากันไปโรงเรียน ทุกคนได้เรียนหนังสืออ่านหนังสือเก่ง ส่วนฉันเก่งในการเลี้ยงควายและต้อนควายเข้าคอก อ่านใจของควายออกได้ว่าวันนี้อยากไปกินหญ้าแถวไหน แต่อ่านหนังสือไม่ออกจนบัดนี้ พี่สาวได้แต่งงานกับคนดี มีลูกเรียนจบปริญญาทั้งสามคนและมีรถยนต์รุ่นใหม่ขับกันทุกคน ส่วนฉันผู้รู้แต่วิชาเลี้ยงควายแต่ไม่รู้วิชาหนังสือ ต้องมาเรียนวิชาขายไก่ย่างเพื่อเลี้ยงลูกที่เรียนไม่จบแม้ ปวช. แต่งงานตั้งสองครั้งต้องเลิกกัน เพราะฉันไม่มีความรู้ว่านอกจากการนอนด้วยกันแล้ว หน้าที่ของความเป็นภรรยายังมีอีกตั้งมากมาย ก็ฉันอ่านหนังสือไม่ได้ จะให้ฉันมีความรู้จากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ใครๆสู้ฉันไม่ได้ก็คือส้มตำไก่ย่างที่ฉันไปแอบมองเขาทำอยู่เป็นเดือนแล้วแอบลักเอาสูตรเขามา และอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันมียิ่งกว่าใครคือการเจียมตัวและความจริงใจแก่ผู้คน ส่วนความอดทนนั้นคือปรมาจารย์ที่คอยเป็นเพื่อนและให้กำลังใจในการสู้ชีวิตแก่ฉันเสมอมา....
ตอนเป็นเด็กนักเรียนครูคัดเลือกให้ฉันเป็นดรัมเมเยอร์ แต่ฉันบอกครูว่าฉันทำหน้าที่อันมีเกียรตินั้นไม่ได้ เพราะฉันมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่แม่มอบหมายไว้ คือหลังจากเลิกเรียนต้องไปซอยหยวกกล้วยเพื่อเลี้ยงหมู ต่อมามีคนบอกว่ากรุงเทพมหานครคือเมืองสวรรค์ชั้นฟ้าชวนฉันให้ไปทำงาน ฉันต้องจากบ้านพร้อมทั้งปาดน้ำตาเพื่อขึ้นรถไปแสวงหาอนาคต งานแรกที่มิใช่การเลี้ยงหมูและไถนาก็คืองานเสิร์ฟน้ำและล้างจาน สิบสองปีต่อมาฉันกลายเป็นผู้จัดการมีลูกน้องคอยรับคำสั่งตั้งหลายคน ในขณะที่พี่น้องทุกคนต่างแต่งงานมีความสุขในครอบครัว ส่วนฉันมัวแต่ดูแลพ่อแม่และพี่ชายที่พิการ เงินเดือนแต่ละเดือนก็ส่งไปบ้าน ไม่มีหัวใจและเวลาให้กับหนุ่มและแก่ทั้งหลายที่เข้ามาติดพัน ฉันทำงานเลี้ยงพ่อแม่และช่วยเหลือทุกคนเสมอ ต่อมาพี่ชายที่แต่งงานที่มีความสุขมานาน ก็ขอให้ฉันช่วยเหลือกิจการบางอย่างโดยบอกว่า ฉันเป็นคนโสด เป็นคนไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระอะไร แม้ฉันจะเอะใจว่าทำไมมีแต่พวกเขาที่มีภาระกันมาก แต่ฉันก็สุขใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปลดเปลื้องภาระให้กับพวกเขา เพียงได้มีโอกาสช่วยเหลือใครได้ ชีวิตแต่ละวันก็ยิ่งใหญ่สำหรับฉันแล้ว....
ฉันสละการงานในทางโลกออกมาใช้ชีวิตในเพศนักบวช จากที่มีคนคอยยกมือไหว้และโค้งคำนับ แต่บัดนี้มีแต่คนแก่ที่ตะบันหมากพูดจาเสียงดังก้มกราบไปตามประเพณี จากเคยสั่งอาหารในเซ็นทรัลได้ตามใจปาก มาบัดนี้กว่าจะได้ฉันก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นของโปรดก็จนบวชได้ตั้งห้าพรรษา วันหนึ่งไปธุดงค์ในป่าทางภาคเหนือ ต้องสะพายกลดสะพายบาตรออกจากป่าเพื่อมาขึ้นรถในตัวเมืองด้วยธุระจำเป็นบางอย่าง ต้องเดินบิณฑบาตตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงสิบโมงก็ยังไม่ได้อาหารแม้แต่ข้าวทัพพีเดียว จนตัดสินใจว่าวันนี้คงจะดื่มน้ำเปล่าประทังความหิวตามที่เคยฝึกมา พอเดินหันหลังกลับได้เพียงสามสี่วา ก็ได้ยินเสียงรถยนต์จอดอย่างกะทันหันแล้วมีเสียงเปิดประตูรถพร้อมทั้งเสียงเรียกตามหลังว่า “ ขอนิมนต์ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ” แล้วก็มีผู้ชายกับผู้หญิงที่มีลักษณะดีทั้งคู่ใส่อาหารจนเต็มบาตร คนทั้งสองออกรถเก๋งคันใหม่ป้ายแดงมาเมื่อวาน ซื้อของเตรียมไว้ใส่บาตรสำหรับเช้าวันนี้แต่มัวนอนตื่นสาย จึงตระเวนหาพระเพื่อใส่บาตรรอบเมืองอย่างหมดหวัง ไม่คิดว่าจะยังมีพระเดินบิณฑบาตสายขนาดนี้หลงเหลืออยู่ หลายวันก่อนฉันได้ยินข่าวว่าเจ้าคณะอำเภอท่านออกรถคันใหม่ ท่านมีความสุขจากการมีรถคันใหม่ไปแล้ว แต่ฉันมีความสุขใจในการเดินและเป็นนกอิสระตามเดิม ท่านมีความสุขจากการออกรถ ส่วนฉันมีความสุขจากการมีกลดคันใหม่ที่คนถวายมาเช่นกัน เราต่างมีความสุขที่ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน รถยนต์ยี่ห้อดีที่สุดและทันสมัยของฉันที่รับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ตลอดมา คือสองขาที่ก้าวเดินตามรอยพระพุทธองค์...
ฉันทำงานที่ทรงเกียรติอย่างหนึ่งซึ่งต้องไปตั้งแต่เช้าตั้งแต่หลายคนยังไม่ตื่น งานของฉันจะรอไปทำงานตอนแปดโมงครึ่งตามเวลาราชการไม่ได้ และเสื้อผ้าอย่างดีรองเท้าคัชชูขัดมันก็ไม่ใช่เครื่องแบบที่จะมามีสิทธิ์แตะต้องกายฉัน ส่วนผมเผ้าที่หวีเรียบแปล้พร้อมเจลหรือน้ำมันใส่ผมที่ใครๆนิยมก็ไม่มีสิทธิ์อีกเช่นกัน เพราะฉันต้องใส่หมวกทุกวัน นั่งตากลมตระเวนไปทั่วถนนเทศบาล ใครๆต่างไม่อยากมองหน้าฉันแต่ชอบส่งเสียงดังลั่นว่า “ช่วยเอาอันนี้ไปทิ้งให้ด้วย” แล้วก็เดินปัดก้นเข้าบ้านไป แม้ใครๆจะมองสิ่งที่ฉันทำว่าต่ำต้อยและเป็นงานที่ไร้เกียรติแต่ก็ขาดฉันไม่ได้ก็แล้วกัน เมื่อวานท่านเสี่ยใหญ่ยังมาทักทายพร้อมทั้งฝากขยะไปทิ้งเลย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันภาคภูมิใจและกระหยิ่มในความทรงเกียรติในงานของฉันได้อย่างไร....
ความสูงส่งหรือต่ำต้อยไม่ใช่วัดคุณค่าด้วยอาชีพ การงาน หรือเงินทอง แต่วัดจากความสูงส่งในจิตใจของแต่ละคนต่างหาก คนเก็บขยะหากทำด้วยความรู้สึกที่ต่ำต้อย เขาย่อมต่ำต้อย แต่หากเขาทำด้วยสำนึกที่ว่า เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้บ้านเมืองสะอาดตาและให้ความสุขแก่ทุกคนที่สัญจรไปมา งานของเขาในขณะนั้นย่อมเป็นงานที่สูงส่งนัก การนั่งในรถเก๋งคันงามที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มหรือเพราะทะเลาะทุ่มเถียงกันในรถ ไหนเลยจะเท่ากับความเบิกบานใจของพระผู้เดินเท้าเปล่าเพื่อภิกขาจาร ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่มีความพอใจในตัวเองขณะนี้
เหตุใดต้องวิตกกังวลและเศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หากย้อนไปถึงวันที่ลืมตาดูโลก สิ่งที่ได้ที่มีทุกวันนี้ก็มากเกินพอ เพียงมีชีวิตอยู่และได้ก้าวเดินไปบนผืนดินอันกว้างใหญ่มั่นคงและอบอุ่นถึงเพียงนี้ ยังจะมีสิ่งใดขาดแคลนในชีวิตอีกเล่า
คุรุอตีศะ
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖