กำลังใจท่ามกลางมรสุม

กำลังใจท่ามกลางมรสุม

 

             กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ในการเป็นมนุษย์แท้  คือกำลังใจของมนุษย์ผู้หนักแน่นและมั่นคงอยู่ได้ท่ามกลางมรสุม  ชีวิตที่ไม่เคยเผชิญมรสุมจะเป็นชีวิตที่แข็งแกร่งไม่ได้เลย  ผู้ที่เคยผ่านความยากแค้นและผ่านมรสุมของชีวิตมาแล้วเท่านั้น  จึงจะไม่หวั่นเกรงต่อความทุกข์ยากอีกต่อไป  การได้ผ่านความทุกข์ยากและน้ำตามาก่อน  จะทำให้ได้สัมผัสความเป็นมนุษย์และเห็นใจคนอื่นได้อย่างจริงใจ


             ความดีที่ทำแล้วจะทำให้เกิดอานิสงส์สูงสุดและเต็มเปี่ยม คือความดีที่กระทำท่ามกลางใครๆต่างหมดกำลังใจทำความดีกันอีกแล้ว  เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ใครๆก็อยากทำความดี ในเมื่อใครๆเขาก็ทำ  แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่มีพลังใจแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดทำความดีต่อไป  ในเมื่อใครต่อใครก็ไม่อยากทำความดี  พลังใจเช่นนี้คือพลังใจของมหาบุรุษ ของผู้เกิดมาบำเพ็ญสร้างสรรค์บารมีและช่วยเหลือชาวโลก  กำลังใจเช่นนี้จะยังมีอยู่และมั่นคงเสมอ แม้ยืนอยู่ท่ามกลางมรสุม


             ในท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด  ก็ยังมีแสงหิ่งห้อยพอเป็นเพื่อน  แม้ไม่มีแสงเดือนและแสงดาวเหมือนทุกคืน  ในท่ามกลางความเลวร้ายนานา  สิ่งที่มีค่าและความดีงามก็ยังมีอยู่  โลกใบนี้ไม่เคยมีแต่สีดำหรือสีเทาแต่อย่างเดียว


             หญิงชาวรัสเซียคนหนึ่ง กับลูกสาววัย ๒ ขวบ  ๖ เดือน  มีปัญหาชีวิต เงินที่สะสมไว้เกิดหมด ทางฝ่ายสามีจึงต้องเดินทางกลับประเทศรัสเซียด่วน  ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร  ลูกศิษย์ผู้ดูแลวัดห้วยปลากั้ง ต.แม่ยาว  อ.เมือง จ.เชียงราย จึงแนะนำให้เข้าไปขออาศัยพักพิงในวัด  ท่านพระครูพบโชคก็รับอุปการะหญิงชาวรัสเซียกับลูกน้อยให้อยู่อาศัยพักพิงชั่วคราว เนื่องจากที่วัดมีที่พักสำหรับคนเร่ร่อนและเด็ก โดยให้ช่วยงานในโรงทาน  ให้ที่พัก ให้อาหารแก่แม่ลูกอ่อนชาวต่างประเทศด้วยความเมตตา  หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปสามีจึงโอนเงินจากรัสเซียมาให้  เธอจึงอุ้มลูกน้อยมาลาพระครูและผู้คนในวัดห้วยปลากั้งด้วยความซาบซึ้งใจถึงกับร้องไห้  ซาบซึ้งและขอบคุณในความมีน้ำใจของคนไทยและทุกคนในวัดที่ดูแลเธอและลูกเป็นอย่างดีเหมือนเป็นญาติคนหนึ่ง  และบัดนี้เธอก็พ้นมรสุมของชีวิตแล้ว


             แสงหิ่งห้อยแห่งความดีงามคือความเมตตาและน้ำใจของเจ้าอาวาสและคนในวัดห้วยปลากั้ง  แม้จะไม่ได้เป็นวัดโด่งดังและเป็นที่รู้จักของใครๆ  ก็เป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ท่ามกลางจิตใจของผู้คนที่เสื่อมศรัทธาจากคุณความดีเพราะการเสพข่าวเรื่องหลวงปู่เณรคำ  เสียงหิ่งห้อยเพียงเท่านี้ก็มีคุณค่าแล้ว  แม้จะไม่ได้เป็นพระอาทิตย์เหมือนหลวงปู่เณรคำสมัยที่ยังมีเชื่อเสียงและคนเคารพศรัทธา  ความเป็นพระคือความเมตตาการุณย์ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก หลวงพ่อและคนในวัดก็ทำให้ประจักษ์แก่คนทั้งหลายแล้ว วัดของหลวงพ่อไม่ได้ใหญ่ได้โตและใครๆก็มีแต่ผ่านเลยไปเมื่อเจอป้ายวัดว่า “วัดห้วยปลากั้ง”  ไม่ได้เป็นวัดป่า ไม่ได้เป็นวัดดัง ไม่มีใครร่ำลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระอริยะ  แต่การเกื้อกูลคนทุกข์ยากด้วยใจที่เมตตาคือใจที่เป็นพระ นั้นย่อมเป็นที่ซาบซึ้งใจแก่ทุกคนทุกชาติ ทุกศาสนาอย่างแน่นอน


           ในขณะที่คนทั้งประเทศพากันดูแต่ข่าวหลวงปู่เณรคำและหลวงพ่อมิตซูโอะ แล้วก็มีแต่ความเศร้าหมองทั้งใบหน้าและจิตใจ  เมื่อดูแล้วก็หมดกำลังใจและอยากเลิกทำบุญ  แต่หลวงพ่อวัดห้วยปลากั้งและลูกศิษย์กลับเป็นที่พึ่งให้กับคนต่างชาติต่างศาสนา  ดำรงหน้าที่ของความเป็นพระและมีเมตตาหยิบยื่นเกื้อกูล  ลองพิจารณาดูเถิดว่า คนประเภทไหนจะน่ายกย่องกว่ากัน  ถ้ารักศาสนากันจริง ก็ไม่ใช่เอาแต่ดูข่าวแล้วก็นั่งหน้าเศร้าแล้วไม่ทำอะไร  แต่ควรมีกำลังใจในการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนกันไปตามฐานะและตามเหตุการณ์ที่เข้ามาถึงเฉพาะหน้าอย่างวัดห้วยปลากั้งนี้  จึงจะควรแก่การเรียกว่า ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า


          สิ่งต่างๆเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป  หลวงปู่เณรคำท่านเคยส่องแสงสว่างเหมือนพระอาทิตย์ให้คนรู้จักทั้งประเทศ  เมื่อถึงคราลาลับก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่เป็นธรรมดา  แต่ก็อย่าลืมสุภาษิตโบราณที่ว่า “ไม้ล้มยังพอข้ามได้ แต่คนล้มอย่าเพิ่งข้าม” เป็นอันขาด ลองทำหมายเหตุในสมุดบันทึกไว้ก็ได้  วันนี้นักข่าวที่นำเสนอข่าว  ทีวีช่องใดที่เสนอข่าวอย่างเอามันเข้าว่า  หนังสือพิมพ์ หน่วยงานต่างๆที่มีความสุขกับการเสนอข่าวหรือในการจัดการหลวงปู่เณรคำ อีก ๕ ปีข้างหน้าคนอ่านข่าวและทีวีช่องเหล่านี้ก็จะไม่หลงเหลืออยู่แบบหลวงปู่เณรคำในวันนี้เช่นเดียวกัน  ก็เหมือนเรื่องราวในอดีตที่มากมาย ที่บัดนี้ก็สิ้นสูญและสลายไปหมดแล้ว  เพราะการนำเสนอข่าวใดๆที่เป็นไปในทางเสียหายต่อศาสนา  แม้เรื่องนั้นจะเป็นจริงและคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นความดี แต่ก็จะมีกรรมติดตัวทั้งแก่ครอบครัวและอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน  สำนักข่าวทั้งหลายก็จะมีอันต้องล่มสลายไปแบบเดียวกับหลวงปู่เณรคำนั่นแหละ  เพราะการโพนทะนาความชั่วร้ายของคนอื่นอย่างมีอคติ  ย่อมมีกรรมติดตัวผู้กระทำเสมอ


          แต่ในยุคสมัยที่คนส่วนใหญ่ชอบสนใจความชั่วร้ายและความวิบัติล่มจมของคนอื่นเป็นนิสัยนี้  เราก็ต้องยอมรับความจริงกันต่อไปว่าในยุคของพวกเรานี้ช่างอาภัพนัก  ช่างได้ยินได้ฟังแต่เรื่องเลวร้าย  เรื่องดีไม่ค่อยได้ยินกับเขาเลย  เราก็ต้องพากันกอดคอยอมรับชะตากรรมด้วยกัน  ในฐานะที่พากันเกิดมาในยุคนี้ ที่เรื่องดีๆไม่ค่อยได้ยินและไม่ค่อยได้เห็น  การได้ฟังข่าวดูข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ จะมีผลทำให้ผู้คนใยยุคนี้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากันมากและโรงพยาบาลจิตเวชจะต้องรับผู้ป่วยหนักขึ้นเป็นสองเท่า เพราะข่าวอะไรเล่าจะทำร้ายจิตใจผู้คนให้ยับเยินยิ่งไปกว่าข่าวที่เสียหายในทางศาสนา  เพราะชีวิตของมนุษย์ที่จะดำรงความสุขอยู่ได้ก็ด้วยการมีศรัทธาอย่างใดอย่างหนึ่ง  หากถูกทำลายศรัทธา จิตใจของเขาจะล่มสลายในทันที


          ดังนั้น เราจึงต้องมีสติในเรื่องนี้  ต้องรักษาจิตใจของเราไว้ให้สำคัญกว่าอย่างอื่น  เพราะหลังจากข่าวใหญ่เรื่องหลวงปู่เณรคำผ่านไป ก็จะต้องเกิดวิบากกรรมครั้งใหญ่ในบ้านเมืองตามมา  เพราะจิตใจของผู้คนกำลังอ่อนแอเพราะหมดศรัทธาต่อศาสนาและความดี ก็เป็นช่องให้วิบากกรรมที่รอคอยอยู่ได้เคลื่อนเข้ามาแทนที่  เมื่อใดใจของผู้คนไร้ศาสนาและเกิดลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ถึงคราต้องเกิดภัยพิบัติและความวุ่นวายในบ้านเมือง  ผู้ที่จะอยู่รอดได้จึงจะต้องไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย  ต้องเป็นผู้มีกำลังใจมั่นคงอยู่ได้แม้ท่ามกลางมรสุม


         ในชีวิตของคนๆหนึ่งอย่างเพิ่งสรุปว่าใครดีใครชั่ว จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายของคนๆนั้น  ใครบางคนที่สังคมเคยยกย่องว่าดีแสนดี ต่อมาก็ปรากฏความชั่วร้ายในเวลาต่อมาก็มี  ในขณะที่บางคนสังคมตราหน้าว่าเป็นคนเลวร้ายตลอดมา เมื่อความจริงเปิดเผยออกมา  กลับกลายเป็นว่าเป็นผู้ที่เสียสละและมีความอดทนให้คนต้องเข้าใจผิดเป็นเวลาเนิ่นนาน  ชีวิตของคนเราจึงต้องดูกันไปนานๆ  อย่ามัวเอาแต่ฮือฮาตามกระแสในช่วงเวลาสั้นๆ  การตัดสินอะไรตามกระแสมักทำให้เราต้องพบกับความเสียใจที่เอากลับคืนไม่ได้มาหลายครั้งหลายหน  ผู้เป็นบัณฑิตแท้จึงต้องมีความสุขุมและไม่หวั่นไหวไปตามกระแสจนเสียความยุติธรรม  ที่เขาต้องมีศาลสถิตยุติธรรมไว้ก็เพื่อให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ตั้งสติ ค่อยพิจารณาใครผิดใครถูกไปทีละขั้นตอน หากเอาตามตำรวจอย่างเดียวทุกคนที่ถูกจับก็ต้องติดคุกหมด  ท่านจึงต้องมีศาลให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสอธิบายเหตุผลอย่างมีสติไม่ใช้อารมณ์  


             หน้าที่ตำรวจก็ต้องจับคนที่คิดว่าจะเป็นผู้ร้าย  ส่วนศาลก็ต้องให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ห้ามสรุปไว้ล่วงหน้าว่าคนที่ตำรวจจับมานั้นเขาทำผิดจริง  ต้องให้อัยการทำหน้าที่พิสูจน์ให้เห็นความจริงว่าจำเลยกระทำความผิดจริงๆ จึงจะตัดสินไปตามกระบวนการ  ถ้าศาลไปตั้งธงไว้ล่วงหน้าว่าคนที่ถูกกล่าวหาต้องเป็นคนกระทำผิดแน่นอน  ไม่นานศาลสถิตยุติธรรมก็จะต้องล่มสลายไม่สามารถยืนยงคู่สังคมได้อย่างทุกวันนี้  สถาบันอื่นก็เช่นกัน  แม้แต่สถาบันนักข่าวหรือสถาบันสงฆ์ หากสูญเสียความยุติธรรม  ก็ต้องมีอันล่มสลายไปเหมือนอย่างอื่น  และอาจต้องมีการปฏิรูปพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่ในประเทศไทย  เหมือนสมัยรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๕ ตามมา เหมือนการปฏิรูปการเมือง การศึกษา ที่เราทำกันตลอดมาถึงสี่สิบปีนั้นเอง


             อย่าไปใส่ใจความชั่วร้ายและความล่มสลายความแตกดับของคนอื่นจนเกินไปนัก  ต้องย้อนถามตัวเองกันด้วยว่าที่อยากให้เขาล่มจมและแตกดับเป็นเพราะมีจิตส่วนลึกอิจฉาริษยาเขาหรือเปล่า  หรืออยากให้ไม่มีใครมีคุณธรรมยิ่งกว่าตัวเรา ยิ่งพระสงฆ์องคเจ้าผู้ปฏิญาณครองเพศพรหมจรรย์  ยิ่งมีข่าวเสียหายกลับเป็นที่ชอบใจ  เพราะจะได้พูดกันได้ทั่วไปว่าแท้ที่จริงแล้วพระก็ไม่ได้ดีจริงอะไรก็พอๆกับตัวเรา  ดังนั้น การที่เราประพฤติตัวหมกมุ่นในสิ่งต่างๆอยู่นี้ย่อมไม่เป็นความผิดหรือเสียหายอะไร  จึงพากันพออกพอใจติดตามข่าวความล่มจมของหลวงปู่เณรคำกันทั้งบ้านทั้งเมือง  แต่ถ้าหากเราติดตามข่าวอย่างมีสติ และให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกระบวนการตามปกติธรรมชาติ  โดยไม่มีอคติหรือรู้สึกยินดีกับการเห็นความล่มจมของใคร มโนกรรมย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น  และความล่มจมแบบที่ท่านได้ประสบ ก็จะไม่มีวันได้พบหรือเกิดแก่ชีวิตและครอบครัวของเรา


             คำโบราณกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของคนเรานั้น ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน”  เราจึงควรมีจิตพลอยยินดีกับความได้ดีของคนอื่น  แต่เมื่อเขาประสบความล่มจมเดือดร้อน ควรตั้งจิตอุเบกขาเมื่อเราไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยอะไรเขาได้  อย่าได้เหยียบย่ำหรือซ้ำเติมใครๆที่เขาผิดพลาดหกล้มหรือล่มจมเป็นอันขาด  เพราะเราเองก็อาจมีวันพลาดเหมือนอย่างเขา จะประมาทในชีวิตย่อมไม่ได้ ดังนั้น แม้จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในสังคมสักเพียงใด สิ่งสำคัญคือพึงรักษาใจของเราให้อยู่ในคลองของกุศล  อย่าให้อิทธิพลของเรื่องราวและข่าวสารต่างๆดึงใจของเราให้ตกต่ำลงไปได้   คนอ่านข่าว คนเสนอข่าว เขาทำหน้าที่ของเขาแล้วเขาก็ได้เงินได้ทองได้ผลงานของเขาไป  และมีเงินสร้างบ้านหลังใหญ่ๆอยู่สุขสบายกว่าเรา แต่ตัวเรานี่สิดูข่าวอ่านข่าวแล้ว ต้องทุกข์เศร้าหมดกำลังใจ แล้วใครบ้างเล่ามาร่วมแบกความทุกข์ใจให้เรา  ดังนั้น ไม่ต้องไปสนใจข่าวคราวความล่มจมของใคร  แต่ให้สนใจและเอาใจใส่หัวใจของตัวเราขณะนี้ให้มีความแจ่มใสและสดชื่นไว้เป็นดีที่สุด  จงมีพลังใจแม้อยู่ท่ามกลางมรสุมไว้เสมอ


คุรุอตีศะ
๑๔  กรกฎาคม  ๒๕๕๖