ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ

ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ


        ในยุคสมัยใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอ  พุทธบริษัทไม่มีความลึกซึ้งและเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของคำสอน  พระสงฆ์มุ่งลาภยศเงินทองและความเป็นใหญ่  ฆราวาสมุ่งความก้าวหน้าในอาชีพและความอยู่รอดของตนเอง  ไม่สนใจศึกษาคำสอนอันเป็นเนื้อแท้  โดยคิดว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องของพระ ตนมีอาหารมีเงินไปทำบุญถวายท่านก็พอแล้ว  และพระก็สนใจแต่ว่าญาติโยมจะถวายอะไรให้แก่ตน ก็มีหน้าที่ให้ศีลให้พรไป  ส่วนญาติโยมจะเข้าใจในชีวิตหรือเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องหรือไม่  ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรนัก  เมื่อฆราวาสก็คิดว่าตนเองมีหน้าที่เอาเงินทองเอาสิ่งของมาถวายท่านก็พอแล้ว  และพระก็คิดว่าเมื่อโยมถวายของแล้วก็ให้ศีลให้พรไปก็พอแล้ว  เพราะพูดธรรมะอะไรไปจะขัดใจเขาและเขาก็ไม่ได้ต้องการธรรมะอะไร  เพียงต้องการมาทำบุญพอให้สบายใจเท่านั้นเขาก็กลับบ้านไปทำมาหากินเหมือนเดิมแล้ว  ในยุคสมัยนั้น  แสดงถึงกาลสมัยที่พระพุทธศาสนาได้ตกต่ำถึงที่สุด  เพราะทั้งพระและฆราวาสต่างยกเอาวัตถุสิ่งของเงินทองซึ่งเป็นของต่ำสุดอยู่เหนือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์


          ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา  ไม่ได้วัดที่คุณค่าของเงินทองหรือโบสถ์วิหารใหญ่โต  แต่วัดจากการที่พุทธบริษัทศึกษาและเข้าใจในคำสอนที่แท้จริงได้อย่างมั่นคงเพียงใด  ลาภสักการะและโบสถ์วิหารเป็นเพียงสิ่งสุดท้ายแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่ปรากฏไว้แก่ชนรุ่นหลังเท่านั้น


           หากเอาวัตถุเงินทองและโบสถ์วิหารนำหน้าโดยที่ทั้งพระทั้งโยมต่างยังเข้าไม่ถึงคำสอน  จะทำให้ปิดกั้นคำสอนที่แท้จริงโดยอัตโนมัติ  เพราะความเจริญรุ่งเรืองในคำสอนจะต้องเกิดขึ้นก่อนวัตถุ  หากความเจริญทางวัตถุเกิดขึ้นก่อน  ความเจริญในคำสอนหรือความเจริญทางจิตใจ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้  เพราะความสะดวกสบายจะทำลายความเป็นผู้อดทนต่อคำสอนไปโดยปริยาย เพราะการฝึกคนต้องฝึกด้วยความลำบาก  จึงจะสำเร็จ  ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมะก็ต้องผลิบานจากความลำบากเช่นกัน


          เรามักได้ยินข่าวหรือได้ไปร่วมงานพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่หลวงตาของสายวัดป่ากันอยู่เสมอ  แต่ก็มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเท่านั้นที่งานศพของท่านมีเกียรติ  แต่หลวงปู่มั่นผู้เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ สังขารของท่านไม่ได้มีงานพระราชพิธีเพลิงศพอันยิ่งใหญ่เหมือนลูกศิษย์ชั้นหลังแต่อย่างใด  แล้วถามว่าอะไรคือความยิ่งใหญ่อันแท้จริง  นั่นแหละคือตัวอย่างของความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา  แม้แต่หลวงปู่พุทธทาสภิกขุก็เช่นเดียว  เป็นบุคคลสำคัญของโลก  แต่ก็ไม่มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ  มีแต่ลูกศิษย์พากันแบกหามกันไปเผาอย่างเรียบง่าย  นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา


        ในยุคสมัยที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ลุ่มหลงในลาภสักการะและตำแหน่งยศศักดิ์  และฆราวาสก็สนใจแต่เรื่องทำมาหากินหันหลังให้กับศาสนา  ในยุคสมัยนั้นผู้คนจะสนใจในอิทธิปาฏิหาริย์  จะเป็นมงคลตื่นข่าว  ใครเล่าลือว่ามีผู้วิเศษหรือพระอรหันต์อยู่แห่งใด ก็จะแห่แหนพากันไป  เพราะหลักที่ใช้ยึดเป็นที่พึ่งภายในใจที่แท้จริงของแต่ละคนไม่มี  จึงต้องอาศัยคำโฆษณาเป็นสำคัญ  โดยใช้หลักคิดที่ว่า ที่ใดคนไปมาก ที่นั่นต้องดีแน่นอน  นี้เพราะไม่ได้ศึกษาคำสอนไว้เป็นหลักชีวิตของตนเอง  จึงต้องอาศัยพวกมากลากไปเข้าไว้ก่อน  อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ามีคนแบบเดียวกันกับเราจำนวนมาก  ในยุคสมัยที่ผู้คนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดที่พึ่งทางใจ  เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย  ย่อมจะเกิดผู้วิเศษ ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้หยั่งรู้ฟ้าดินขึ้นมากมายเป็นธรรมดา


                 พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจึงทรงตรัสถึงปาฏิหาริย์  ๓  อย่างไว้ด้วยกัน  ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า ปาฏิหาริย์ต่างๆนั้น  เรารู้จักเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคืออิทธิปาฏิหาริย์  ส่วนอีกสองอย่างเราไม่ค่อยได้ยิน  เราควรมาสนใจปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เพื่อเป็นหลักดังนี้


                ๑.อิทธิปาฏิหาริย์  คือการแสดงฤทธิ์ต่างๆได้เป็นที่อัศจรรย์  เช่น หายตัวได้  เสกสิ่งของต่างๆได้ รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เนรมิตสิ่งของต่างๆได้ เป็นต้น คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักปาฏิหาริย์ในข้อนี้กันอยู่แล้ว และมักจะชอบเพราะน่าทึ่งดี


                ๒.อาเทศนาปาฏิหาริย์  คือการดักใจคนได้เป็นที่อัศจรรย์  ทำนายทายทักให้คนทึ่ง ให้คนอัศจรรย์และเกิดความนับถือตนเอง  คนจะได้มองว่าตนเองเป็นผู้วิเศษเหนือใครๆ


                ๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์  คือการพร่ำสอนบุคคลอื่นให้เข้าใจชีวิตเข้าใจธรรมะจนเขามีที่พึ่งภายในของตนเองได้เป็นที่อัศจรรย์

 
              ในบรรดาปาฏิหาริย์  ๓  อย่างนี้  พระพุทธองค์ทรงรังเกียจปาฏิหาริย์สองอย่างข้างต้น  แต่ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ข้อที่สามคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นสิ่งประเสริฐ  และทรงส่งเสริมให้พระสาวกทั้งหลายแสดงปาฏิหาริย์ข้อนี้ให้มากๆ  เพราะจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลอันแท้จริงแก่ชาวโลก


              ด้วยเหตุนี้ในบรรดาพระอรหันต์ ๔ ประเภทดังที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้  พระพุทธองค์จึงทรงยกพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ แตกฉานในการแสดงธรรมให้คนเข้าใจธรรมะได้ ว่า เป็นพระอรหันต์ชั้นสูงสุด คือสูงกว่าพระอรหันต์ประเภทอภิญญาหก หรือพระอรหันต์ประเภทได้วิชชาสาม เพราะการแสดงธรรมคือการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง  พระอรหันต์ทั้งหลายสืบศาสนามาจนถึงพวกเราทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยการแสดงธรรมแก่ผู้สมควรได้รับธรรมะทั้งสิ้น


               หากไม่มีผู้แสดงธรรม คำสอนย่อมเสื่อมสูญไป  ส่วนการแสดงฤทธิ์นั้นมีผลได้อย่างมากเพียงแค่ให้คนเลื่อมใสศรัทธา และอาจเลื่อมใสศรัทธาเฉพาะตัวผู้แสดงฤทธิ์เท่านั้น  คนอาจไม่สนใจในพระธรรมคำสอนหรือไม่ได้ให้ความสำคัญในพระพุทธเจ้าก็ได้  แต่ถ้าบุคคลใดเข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงธรรม  บุคคลนั้นย่อมเคารพทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้อย่างบริบูรณ์  ดังนั้น พระอรหันต์ผู้แตกฉานในธรรมประเภทปฏิสัมภทัปปัตโตจึงหาได้ยากมาก และเป็นพระอรหันต์ประเภทชั้นสูงสุด  พระอรหันต์ประเภทนี้ท่านก็มีฤทธิ์ได้  แต่ท่านเลือกแสดงฤทธิ์ประเภทอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือการสอนคนให้เข้าใจในธรรมะมากกว่า  เพราะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองและเป็นการจรรโลงพระศาสนายิ่งกว่าการแสดงฤทธิ์ให้คนแตกตื่น


              การแสดงฤทธิ์ย่อมมีผลให้คนแตกตื่น และเกิดความทึ่ง ความอัศจรรย์ใจแก่ตัวผู้แสดง  แต่การแสดงธรรม ย่อมมีผลให้ผู้คนเกิดสติเกิดปัญญา  อันทำให้เขามีความเป็นตัวของตัวเอง  ไม่ต้องมัวไปพึ่งสิ่งอื่นหรือพึ่งผู้วิเศษในภายนอก  การแสดงฤทธิ์ทำให้คนอื่นตกเป็นทาสหรือตกอยู่ในอำนาจของตน  แต่การแสดงธรรม ทำให้เขาพ้นจากความเป็นทาส พบความอิสระและเบิกบาน  พึ่งตนเองได้ไม่ต้องพึ่งผู้วิเศษในภายนอก  การแสดงธรรมจึงยิ่งใหญ่กว่าการแสดงฤทธิ์เพระเหตุนี้


                ความเป็นพุทธศาสนิกชนจึงตัดสินกันที่ความเป็นผู้รู้  ความเป็นผู้ตื่น  ความเป็นผู้เบิกบาน  ไม่ได้ตัดสินที่การมีวัดใหญ่ๆหรือมีเงินมากๆ  สิ่งนั้นต้องมาทีหลัง คือหลังจากเกิดคุณธรรมภายใน  เมื่อพร้อมทั้งคุณธรรมภายใน  เข้าใจในพระธรรมคำสอน  พบกับความอิสระเบิกบานภายใน  แล้วความเจริญทางวัตถุย่อมตามมาเป็นรูปธรรมในภายหลังแม้ไม่ต้องการ  การสร้างวัดที่แท้จริง จึงต้องสร้างวัดภายในเสียก่อน  จึงค่อยสร้างวัดภายนอกทีหลัง  พระศาสนาของพระองค์จึงจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี สมดังพุทธทำนาย


                หากเราเป็นผู้หนึ่งที่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว  จงอย่าใส่ใจต่ออิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทศนาปาฏิหาริย์คือการทำนายทายทักให้มากนัก  เพราะเป็นบ่อเกิดให้ตกเป็นทาสและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลในด้านต่างๆได้  การแสดงฤทธิ์แลการทำนายทายทักแม้จะมีได้จริง แต่ที่ผู้นำมาใช้ส่วนใหญ่ก็มีเจตนาให้มีลาภและสักการะเสียเป็นส่วนมาก เว้นเสียแต่ลาภสักการะที่เกิดด้วยบุญบารมีที่บริสุทธิ์แท้จริง  ที่ท่านไม่มีเจตนาแสดง แต่เกิดด้วยอำนาจเทวดาหรือสิ่งมีฤทธิ์บันดาลเพื่อประโยชน์ในการค้ำจุนพระศาสนา  นั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง อย่างนั้นคืออริยฤทธิ์ที่ทำให้สิ่งอื่นแสดงฤทธิ์แทน


               ปาฏิหาริย์ที่จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน  จึงไม่ใช่การแสดงฤทธิ์หรือดักใจทำนายทายทัก  แต่คือการแสดงธรรมให้ผู้คนได้เข้าใจ  ซึ่งต้องใช้ความเพียรและความอดทนมากกว่าการแสดงฤทธิ์  ที่สำคัญต้องมีจิตวิญญาณแบบพระโพธิสัตว์คือต้องมีเมตตาอย่างมากที่เคยอบรมบำเพ็ญมาก่อน  จึงจะมีกำลังใจพอที่สั่งสอนผู้คนได้  ดังมีคำกล่าวที่ว่า “ในบรรดาผู้ที่บรรลุธรรมร้อยคน  จะมีผู้ที่มีความสามารถในการเป็นครูสอนคนอื่นได้นั้น  สองหรือสามคนก็ทั้งยาก”  ด้วยเหตุนี้แหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จึงทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นยอดกว่าปาฏิหาริย์ทั้งปวง


คุรุอตีศะ
๑๓  กรกฎาคม  ๒๕๕๖