ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
ในยุคสมัยใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอ พุทธบริษัทไม่มีความลึกซึ้งและเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของคำสอน พระสงฆ์มุ่งลาภยศเงินทองและความเป็นใหญ่ ฆราวาสมุ่งความก้าวหน้าในอาชีพและความอยู่รอดของตนเอง ไม่สนใจศึกษาคำสอนอันเป็นเนื้อแท้ โดยคิดว่าเรื่องธรรมะเป็นเรื่องของพระ ตนมีอาหารมีเงินไปทำบุญถวายท่านก็พอแล้ว และพระก็สนใจแต่ว่าญาติโยมจะถวายอะไรให้แก่ตน ก็มีหน้าที่ให้ศีลให้พรไป ส่วนญาติโยมจะเข้าใจในชีวิตหรือเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรนัก เมื่อฆราวาสก็คิดว่าตนเองมีหน้าที่เอาเงินทองเอาสิ่งของมาถวายท่านก็พอแล้ว และพระก็คิดว่าเมื่อโยมถวายของแล้วก็ให้ศีลให้พรไปก็พอแล้ว เพราะพูดธรรมะอะไรไปจะขัดใจเขาและเขาก็ไม่ได้ต้องการธรรมะอะไร เพียงต้องการมาทำบุญพอให้สบายใจเท่านั้นเขาก็กลับบ้านไปทำมาหากินเหมือนเดิมแล้ว ในยุคสมัยนั้น แสดงถึงกาลสมัยที่พระพุทธศาสนาได้ตกต่ำถึงที่สุด เพราะทั้งพระและฆราวาสต่างยกเอาวัตถุสิ่งของเงินทองซึ่งเป็นของต่ำสุดอยู่เหนือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ไม่ได้วัดที่คุณค่าของเงินทองหรือโบสถ์วิหารใหญ่โต แต่วัดจากการที่พุทธบริษัทศึกษาและเข้าใจในคำสอนที่แท้จริงได้อย่างมั่นคงเพียงใด ลาภสักการะและโบสถ์วิหารเป็นเพียงสิ่งสุดท้ายแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่ปรากฏไว้แก่ชนรุ่นหลังเท่านั้น
หากเอาวัตถุเงินทองและโบสถ์วิหารนำหน้าโดยที่ทั้งพระทั้งโยมต่างยังเข้าไม่ถึงคำสอน จะทำให้ปิดกั้นคำสอนที่แท้จริงโดยอัตโนมัติ เพราะความเจริญรุ่งเรืองในคำสอนจะต้องเกิดขึ้นก่อนวัตถุ หากความเจริญทางวัตถุเกิดขึ้นก่อน ความเจริญในคำสอนหรือความเจริญทางจิตใจ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะความสะดวกสบายจะทำลายความเป็นผู้อดทนต่อคำสอนไปโดยปริยาย เพราะการฝึกคนต้องฝึกด้วยความลำบาก จึงจะสำเร็จ ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมะก็ต้องผลิบานจากความลำบากเช่นกัน
เรามักได้ยินข่าวหรือได้ไปร่วมงานพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่หลวงตาของสายวัดป่ากันอยู่เสมอ แต่ก็มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเท่านั้นที่งานศพของท่านมีเกียรติ แต่หลวงปู่มั่นผู้เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ สังขารของท่านไม่ได้มีงานพระราชพิธีเพลิงศพอันยิ่งใหญ่เหมือนลูกศิษย์ชั้นหลังแต่อย่างใด แล้วถามว่าอะไรคือความยิ่งใหญ่อันแท้จริง นั่นแหละคือตัวอย่างของความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา แม้แต่หลวงปู่พุทธทาสภิกขุก็เช่นเดียว เป็นบุคคลสำคัญของโลก แต่ก็ไม่มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ มีแต่ลูกศิษย์พากันแบกหามกันไปเผาอย่างเรียบง่าย นั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา
ในยุคสมัยที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ลุ่มหลงในลาภสักการะและตำแหน่งยศศักดิ์ และฆราวาสก็สนใจแต่เรื่องทำมาหากินหันหลังให้กับศาสนา ในยุคสมัยนั้นผู้คนจะสนใจในอิทธิปาฏิหาริย์ จะเป็นมงคลตื่นข่าว ใครเล่าลือว่ามีผู้วิเศษหรือพระอรหันต์อยู่แห่งใด ก็จะแห่แหนพากันไป เพราะหลักที่ใช้ยึดเป็นที่พึ่งภายในใจที่แท้จริงของแต่ละคนไม่มี จึงต้องอาศัยคำโฆษณาเป็นสำคัญ โดยใช้หลักคิดที่ว่า ที่ใดคนไปมาก ที่นั่นต้องดีแน่นอน นี้เพราะไม่ได้ศึกษาคำสอนไว้เป็นหลักชีวิตของตนเอง จึงต้องอาศัยพวกมากลากไปเข้าไว้ก่อน อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ามีคนแบบเดียวกันกับเราจำนวนมาก ในยุคสมัยที่ผู้คนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดที่พึ่งทางใจ เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ย่อมจะเกิดผู้วิเศษ ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้หยั่งรู้ฟ้าดินขึ้นมากมายเป็นธรรมดา
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจึงทรงตรัสถึงปาฏิหาริย์ ๓ อย่างไว้ด้วยกัน ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า ปาฏิหาริย์ต่างๆนั้น เรารู้จักเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคืออิทธิปาฏิหาริย์ ส่วนอีกสองอย่างเราไม่ค่อยได้ยิน เราควรมาสนใจปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เพื่อเป็นหลักดังนี้
๑.อิทธิปาฏิหาริย์ คือการแสดงฤทธิ์ต่างๆได้เป็นที่อัศจรรย์ เช่น หายตัวได้ เสกสิ่งของต่างๆได้ รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เนรมิตสิ่งของต่างๆได้ เป็นต้น คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักปาฏิหาริย์ในข้อนี้กันอยู่แล้ว และมักจะชอบเพราะน่าทึ่งดี
๒.อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือการดักใจคนได้เป็นที่อัศจรรย์ ทำนายทายทักให้คนทึ่ง ให้คนอัศจรรย์และเกิดความนับถือตนเอง คนจะได้มองว่าตนเองเป็นผู้วิเศษเหนือใครๆ
๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการพร่ำสอนบุคคลอื่นให้เข้าใจชีวิตเข้าใจธรรมะจนเขามีที่พึ่งภายในของตนเองได้เป็นที่อัศจรรย์
ในบรรดาปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงรังเกียจปาฏิหาริย์สองอย่างข้างต้น แต่ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ข้อที่สามคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นสิ่งประเสริฐ และทรงส่งเสริมให้พระสาวกทั้งหลายแสดงปาฏิหาริย์ข้อนี้ให้มากๆ เพราะจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลอันแท้จริงแก่ชาวโลก
ด้วยเหตุนี้ในบรรดาพระอรหันต์ ๔ ประเภทดังที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ แตกฉานในการแสดงธรรมให้คนเข้าใจธรรมะได้ ว่า เป็นพระอรหันต์ชั้นสูงสุด คือสูงกว่าพระอรหันต์ประเภทอภิญญาหก หรือพระอรหันต์ประเภทได้วิชชาสาม เพราะการแสดงธรรมคือการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง พระอรหันต์ทั้งหลายสืบศาสนามาจนถึงพวกเราทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยการแสดงธรรมแก่ผู้สมควรได้รับธรรมะทั้งสิ้น
หากไม่มีผู้แสดงธรรม คำสอนย่อมเสื่อมสูญไป ส่วนการแสดงฤทธิ์นั้นมีผลได้อย่างมากเพียงแค่ให้คนเลื่อมใสศรัทธา และอาจเลื่อมใสศรัทธาเฉพาะตัวผู้แสดงฤทธิ์เท่านั้น คนอาจไม่สนใจในพระธรรมคำสอนหรือไม่ได้ให้ความสำคัญในพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่ถ้าบุคคลใดเข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงธรรม บุคคลนั้นย่อมเคารพทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้อย่างบริบูรณ์ ดังนั้น พระอรหันต์ผู้แตกฉานในธรรมประเภทปฏิสัมภทัปปัตโตจึงหาได้ยากมาก และเป็นพระอรหันต์ประเภทชั้นสูงสุด พระอรหันต์ประเภทนี้ท่านก็มีฤทธิ์ได้ แต่ท่านเลือกแสดงฤทธิ์ประเภทอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือการสอนคนให้เข้าใจในธรรมะมากกว่า เพราะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองและเป็นการจรรโลงพระศาสนายิ่งกว่าการแสดงฤทธิ์ให้คนแตกตื่น
การแสดงฤทธิ์ย่อมมีผลให้คนแตกตื่น และเกิดความทึ่ง ความอัศจรรย์ใจแก่ตัวผู้แสดง แต่การแสดงธรรม ย่อมมีผลให้ผู้คนเกิดสติเกิดปัญญา อันทำให้เขามีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมัวไปพึ่งสิ่งอื่นหรือพึ่งผู้วิเศษในภายนอก การแสดงฤทธิ์ทำให้คนอื่นตกเป็นทาสหรือตกอยู่ในอำนาจของตน แต่การแสดงธรรม ทำให้เขาพ้นจากความเป็นทาส พบความอิสระและเบิกบาน พึ่งตนเองได้ไม่ต้องพึ่งผู้วิเศษในภายนอก การแสดงธรรมจึงยิ่งใหญ่กว่าการแสดงฤทธิ์เพระเหตุนี้
ความเป็นพุทธศาสนิกชนจึงตัดสินกันที่ความเป็นผู้รู้ ความเป็นผู้ตื่น ความเป็นผู้เบิกบาน ไม่ได้ตัดสินที่การมีวัดใหญ่ๆหรือมีเงินมากๆ สิ่งนั้นต้องมาทีหลัง คือหลังจากเกิดคุณธรรมภายใน เมื่อพร้อมทั้งคุณธรรมภายใน เข้าใจในพระธรรมคำสอน พบกับความอิสระเบิกบานภายใน แล้วความเจริญทางวัตถุย่อมตามมาเป็นรูปธรรมในภายหลังแม้ไม่ต้องการ การสร้างวัดที่แท้จริง จึงต้องสร้างวัดภายในเสียก่อน จึงค่อยสร้างวัดภายนอกทีหลัง พระศาสนาของพระองค์จึงจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี สมดังพุทธทำนาย
หากเราเป็นผู้หนึ่งที่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว จงอย่าใส่ใจต่ออิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทศนาปาฏิหาริย์คือการทำนายทายทักให้มากนัก เพราะเป็นบ่อเกิดให้ตกเป็นทาสและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลในด้านต่างๆได้ การแสดงฤทธิ์แลการทำนายทายทักแม้จะมีได้จริง แต่ที่ผู้นำมาใช้ส่วนใหญ่ก็มีเจตนาให้มีลาภและสักการะเสียเป็นส่วนมาก เว้นเสียแต่ลาภสักการะที่เกิดด้วยบุญบารมีที่บริสุทธิ์แท้จริง ที่ท่านไม่มีเจตนาแสดง แต่เกิดด้วยอำนาจเทวดาหรือสิ่งมีฤทธิ์บันดาลเพื่อประโยชน์ในการค้ำจุนพระศาสนา นั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง อย่างนั้นคืออริยฤทธิ์ที่ทำให้สิ่งอื่นแสดงฤทธิ์แทน
ปาฏิหาริย์ที่จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน จึงไม่ใช่การแสดงฤทธิ์หรือดักใจทำนายทายทัก แต่คือการแสดงธรรมให้ผู้คนได้เข้าใจ ซึ่งต้องใช้ความเพียรและความอดทนมากกว่าการแสดงฤทธิ์ ที่สำคัญต้องมีจิตวิญญาณแบบพระโพธิสัตว์คือต้องมีเมตตาอย่างมากที่เคยอบรมบำเพ็ญมาก่อน จึงจะมีกำลังใจพอที่สั่งสอนผู้คนได้ ดังมีคำกล่าวที่ว่า “ในบรรดาผู้ที่บรรลุธรรมร้อยคน จะมีผู้ที่มีความสามารถในการเป็นครูสอนคนอื่นได้นั้น สองหรือสามคนก็ทั้งยาก” ด้วยเหตุนี้แหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จึงทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นยอดกว่าปาฏิหาริย์ทั้งปวง
คุรุอตีศะ
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖