ดวงใจที่สงบคือตัวศาสนา

ดวงใจที่สงบคือตัวศาสนา


          ศาสนาไม่ได้อยู่ที่โบสถ์ วิหาร ศาลา พระคัมภีร์  หรือพระสงฆ์  นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เป็นผลตามมาภายหลังจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ดั้งเดิมแล้วศาสนาคือจิตอันบริสุทธิ์เพราะปราศจากกิเลสความเศร้าหมองของพระองค์  แล้วทรงมีเมตตาต่อสัตว์โลก จึงไม่ประสงค์ที่จะได้รับสิ่งอันประเสริฐล้ำค่านั้นเพียงพระองค์เดียว  แต่มีพระกรุณาและพระเมตตาอันสูงส่งปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้ลิ้มรสแห่งความสุขอันเกิดจากจิตอันปราศจากธุลีคือกิเลสเช่นนั้นด้วย  จึงทรงเริ่มประกาศศาสนาและแจกแจงแสดงธรรม เพื่อให้บุคคลที่มีธุลีในดวงตาน้อย พอที่จะฟังธรรมและรู้ตามได้ ได้มีโอกาสได้พบสิ่งอันล้ำค่าในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพระองค์ด้วย  พระพุทธศาสนาจึงเริ่มก่อตั้งนับแต่นั้น


           ดวงใจที่สงบคือตัวศาสนา  ขอให้เราทั้งหลายได้อย่าลืมหลักในข้อนี้  ใจที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ  รู้ ตื่น เบิกบาน มีอยู่ขณะใด  ขณะนั้น ใจดวงนี้ได้อยู่กับพระพุทธ พระธรรม  พระสงฆ์ ครบองค์สามคือพระรัตนตรัยแล้ว  ใจของเราได้อยู่กับศาสนาแล้ว


          เมื่อใดใจเศร้าหมองขุ่นมัวและลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งต่างๆ  แม้จะอยู่ในโบสถ์วิหารอันใหญ่โตเพียงใด  หรือสวดมนต์นั่งสมาธิเดินจงกรมสักแค่ไหน ก็ไม่ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้พระศาสดา  การรักษาคุ้มครองใจให้เบิกบานแจ่มใส  นั่นคือหัวใจของการมีชีวิตอยู่ในศาสนา


          พระพุทธเจ้าที่ทรงเป็นมนุษย์ก็ปรินิพพานไปนานแล้ว  องค์คุณคือความสะอาด สว่าง สงบ ต่างหากคือสิ่งที่พระองค์มอบมรดกไว้ให้แก่พวกเรา


         พระธรรมคือพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่างๆก็อยู่ในตู้และอยู่ในวัด  น้อยคนนักจะได้ศึกษา  แม้ผู้ที่บวชเป็นเวลาหลายปี ก็ไม่เคยได้อ่านได้ศึกษาก็มากมี  แล้วบุคคลธรรมดาจะสัมผัสพระธรรมได้อย่างไร  ดังนั้น  สติและสัมปชัญญะที่คุ้มครองใจ รู้กายรู้ใจในขณะนี้นั่นแหละคือพระธรรม  กายยาววา หนาคืบ นี้แหละคือตู้พระธรรมเคลื่อนที่ ที่เรามีสิทธิ์และมีอำนาจเต็มที่ในการศึกษาและเรียนได้ตลอดเวลา


        พระสงฆ์ก็ไม่ใช่แค่คนโกนผมห่มเหลือง  เพราะบางคนบวชแล้วกลับต้องการอำนาจ ตำแหน่ง ยศศักดิ์  เงินทอง กว่าคนที่ไม่ได้บวชก็มี  ผู้ที่พร้อมด้วยปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวธ จนเข้าถึงธรรม  จนเป็นพยานได้ว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นของประเสริฐจริง  แล้วนำข่าวดีข่าวประเสริฐนั้นมาบอกกล่าวแก่ชาวโลกนั้นต่างหากคือพระสงฆ์  เมื่อพูดถึงพระสงฆ์ เราต้องนึกถึง  พระโมคคัลลาน์  พระสารีบุตร  พระมหากัสสปะ พระอานนท์  พระมหากัจจายนะ ฯลฯ อันเป็นต้นแบบไว้ ใจของเราจึงจะเข้าถึงความเป็นพระสงฆ์  มีใจใสสะอาด และมีกำลังใจ  เพราะท่านเป็นแบบอย่างของผู้สละโลกและไม่ยึดติดสิ่งใดในโลก


        พระมหากัจจายนะนั้น ท่านเป็นถึงเสนาบดีของพระเจ้าจัณฑปัชโชต (จัน – ทะ –ปัด – โชด) เมื่อได้ฟังธรรมแล้วได้มองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของอำนาจวาสนา  จะเป็นยาจกหรือพระราชา ก็ล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตายเหมือนกัน  เมื่ออยู่ในตำแหน่งอันยิ่งใหญ่เป็นเสนาบดี ก็ต้องเต็มไปด้วยความหวาดระแวงกลัวใครจะมาแย่งตำแหน่ง แม้จะห้อมล้อมไปด้วยบริวารคนรับใช้และคนเอาอกเอาใจ เขาก็ทำเพื่อประจบเอาใจเพื่อได้ประโยชน์จากตัวเราเท่านั้น  แทบจะหาคนจริงใจที่แท้จริงไม่ได้เลย  ตำแหน่งและความเป็นใหญ่เหล่านี้เปรียบประดุจงูพิษ ที่พร้อมจะกัดเราตายเมื่อใดก็ได้  หากไม่มีตำแหน่งความเป็นใหญ่เหล่านี้ไซร้ ความกลุ้มอกกลุ้มใจก็ไม่มี  ท่านเห็นโทษในตำแหน่งและความเป็นใหญ่ในทางโลก ท่านจึงออกบวช  บวชแล้วก็บรรลุพระอรหันต์  และเป็นอัครสาวกผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวงในด้านแสดงธรรมที่ไพเราะ  พระสงฆ์เช่นนี้ที่เราน้อมระลึกถึงท่านแล้วจะมีแต่ความสุขใจและอิ่มใจ  นี้แหละคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เราทั้งหลายควรนึกถึงบ่อยๆ


           เราทั้งหลายกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย  การรักษาใจของเราให้อยู่ในสัมมาทิฐิจึงเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่าน  เหตุการณ์ต่างๆจะเปรียบเหมือนตะแกรงกลั่นกลองผู้คนว่าใครจะสอบไล่ได้เพื่อก้าวสู่ยุคใหม่อันกำลังจะมาถึง  


           คนบางพวกก็หมกมุ่นและหมกจมอยู่กับกามฉันทะนิวรณ์คือหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเพศ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ  คนบางพวกก็เต็มไปด้วยพยาบาทนิวรณ์คือความเคียดแค้นชิงชัง  คนบางพวกก็มีแต่อุทธัจจะกุกกุจจะนิวรณ์คือความกระวนกระวายวิตกกังวล  คนบางพวกก็อยู่ในถีนะมิทธะนิวรณ์คือความเศร้าซึมหมดกำลังใจ และคนบางพวกก็ตกอยู่ในความลังเลสงสัย ตกลงใจ ตัดสินใจอะไรไม่ได้คือวิจิกิจฉานิวรณ์


          นิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้จะคอยกางกั้นใจของผู้คนให้ห่างไกลความดี  และอาจมองเห็นผิดเป็นชอบว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี จะทำความดีไปทำไมกัน  เราจึงต้องรู้เท่าทันใจของเราว่าถูกนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเข้าครอบงำแล้ว  พึงมีสติระลึกรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งชื่อว่านิวรณ์ มิใช่ตัวเรา  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวก็ดับไป ตามกฎธรรมดา  การทำความดี ย่อมเป็นความดีแน่  อย่าได้ลังเลสงสัย  เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมต้องอาศัยเวลา  อย่าใจเร็วด่วนได้เกินไปนัก


         แท้จริงแล้วข้อสอบที่ยากย่อมใช้สำหรับวัดมันสมองและความสามารถของนักเรียนชั้นพิเศษ  ย่อมไม่ใช้ข้อสอบที่ใช้ในการวัดผลสำหรับนักเรียนทั่วไปธรรมดา  ยิ่งข้อสอบยากเท่าใด  ก็ยิ่งแสดงว่า นักเรียนคนนั้นมีสติปัญญาและความสามารถสูงเท่านั้น  เราอาจเข้าข่ายเป็นนักเรียนชั้นพิเศษคนหนึ่งที่กำลังได้รับการวัดผลอยู่ก็ได้  อย่าได้ท้อแท้ใจเป็นอันขาด


         กลางคืนที่มืดมิดที่สุด  แสดงว่าใกล้เวลาจะสว่างแล้ว  เพียงรอคอยอีกนิดเดียว  รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ก็มาเยือน

 

คุรุอตีศะ
๑๒  กรกฎาคม  ๒๕๕๖