สำนึกรู้คุณ

 สำนึกรู้คุณ

 

การฝึกจิตให้คุ้นเคยกับการสำนึกรู้คุณ จะทำให้ใจของเราเกิดความแช่มชื่น มีพลัง ปัญหาต่างๆจะคลี่คลายอย่างรวดเร็ว

 

ความสำนึกรู้คุณหรือความกตัญญูนี้ เป็นคุณธรรมสากล ไม่ขึ้นกับชาติ ศาสนาหรือภาษา ไม่ขึ้นกับวัฒนธรรม

 

เราจะเห็นได้ว่า..พระศาสดาไม่ว่าของศาสนาใด ท่านจะมีคุณสมบัติสำคัญประจำองค์ท่านเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่เกิดคือความซื่อสัตย์และความกตัญญู

 

แม้แต่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็จะรู้สึกสำนึกรู้คุณต่อผู้ที่ค้นพบกฎทางฟิสิกส์มาก่อนตัวเขาวันละร้อยครั้ง 

 

เพราะความกตัญญู ทำให้เขาสามารถเอาความรู้เหล่านั้นมาต่อยอดจนค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพอันยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

 

การฝึกจิตให้สำนึกรู้คุณก็เช่น

 

เมื่อมีข่าวออกมาว่า จะมีการขึ้นค่าแรงเป็นวันละ ๔๐๐ บาท

 

ถ้าเราได้ยินแล้วก็บ่นออกมาว่า เงินแค่นี้จะพอค่าแกงแต่ละวันเสียที่ไหน

 

การคิดอย่างนี้ จะทำให้ชีวิตพบแต่ความขาดแคลนเรื่อยไป 

 

หาเงินได้มาเท่าไหร่ ก็จะทำให้ไม่พอค่าแกงค่ากับข้าวขึ้นมาจริงๆ

 

แต่ถ้าพอได้ยินข่าวมาเข้าหูว่า จะมีขึ้นค่าแรงวันละ ๔๐๐ บาท (ซึ่งความจริงอาจไม่จริงก็ได้)

 

เราก็เกิดความดีใจว่าเอาละต่อไปนี้ชีวิตจะได้ดีกว่าเก่า

 

เราจะสร้างความหวัง สร้างกำลังใจให้ตัวเอง เราจะพบความสำเร็จ พบความสุข ตามจุดมุ่งหมายที่ดีงามของเรา

 

หากเราคิดแบบนี้บ่อยๆ แม้ข่าวดังกล่าวสุดท้ายแล้วอาจจะเป็นข่าวโคมลอย

 

แต่ชีวิตของเราจะดีขึ้นมาจริงๆอย่างไม่น่าเชื่อ

 

เพราะใจดวงนี้เกิดพลังบวก ซาบซึ้งในสิ่งที่คนอื่นมอบให้ จึงทำให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

 

ใจที่ขาดการสำนึกรู้คุณ จะรู้สึกขาดแคลน และคอยเรียกร้องจากคนอื่นและสังคมเสมอ 

 

ใจที่เกิดความสำนึกรู้คุณ จะเป็นใจที่เต็มเปี่ยม มีพลังสร้างสรรค์ จะมีภูมิต้านทานในชีวิตทุกอย่าง

 

ขับรถไปบนถนน เราก็สำนึกรู้คุณต่องบประมาณ ผู้รับเหมา แรงงานที่ตากแดดกรำฝน ที่ช่วยกันสร้างถนนให้เราขับรถและเดินทางอย่างสะดวกสบาย

 

เห็นพ่อ แม่ แทนที่จะคิดตามแบบคนสมัยใหม่ที่ชอบสอนกันว่าพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก พ่อแม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก (พ่อแม่มีหน้าที่เป็นทาสลูก) 

 

ก็เปลี่ยนมาคิดแบบใหม่ที่เป็นความรู้สึกสำนึกรู้คุณว่า ถ้าไม่มีท่านทั้งสอง เราอาจจะต้องไปเกิดเป็นหมาเป็นแมว คงไม่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาแน่นอน

 

สามีภรรยาถ้ามีความสำนึกรู้คุณต่อกัน บ้านจะกลายเป็นสวรรค์ แม้วันนั้นทั้งบ้านจะมีกับข้าวเพียงไข่ต้มหนึ่งลูกแบ่งกันคนละครึ่ง

 

แทนที่จะเอาแต่ตำหนิติเตียนกัน ก็เปลี่ยนมาพูดอะไรที่สร้างสรรค์และให้กำลังใจกันดีกว่า

 

แทนที่จะพูดทำลายขวัญกำลังใจกัน ก็พูดในสิ่งที่บำรุงขวัญกำลังใจของกันและกัน

 

"เราผ่านมรสุมมาหลายครั้งหลายครา คราวนี้เราจะอดทนร่วมกันฟันฝ่าไปให้ได้นะจ๊ะพี่"

 

"พี่เชื่อมั่นว่าเราสองคนจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี จะสุขหรือทุกข์ จะล้มลงหรือจะก้าวหน้า เราก็จูงมือพากันเดินไปให้ถึงฝั่ง"

 

"พ่อแม่กำลังลำบากนะลูกนะ ขอให้ลูกเรียนไปตามฐานะของเราไปก่อนนะลูก ใครจะดูถูกเหยียดหยาม แต่พ่อและแม่ก็เชื่อมั่นในตัวลูกว่า ลูกจะนำเกียรติยศสิ่งดีงามมาสู่ชีวิตให้พ่อและแม่ภาคภูมิใจในสักวัน"

 

"ขอให้พ่อแม่อย่าห่วงกังวลกับลูกนะจ๊ะ แม้วันนี้เราอาจจะต้องเผชิญกับการดูถูกเหยียดหยาม 

 

แต่วันข้างหน้า..แม้ตอนนี้ลูกจะต้องเรียนมสธ.หรือเรียนรามฯ ลูกก็จะหอบความฝันมาเติมเต็มให้หัวใจของพ่อและแม่ได้อิ่มเอิบอย่างแน่นอน"

 

ความรู้สึกสำนึกรู้คุณ จะทำให้หัวใจของเราได้รับการเติมเต็มในขณะนั้น ไม่ต้องรอ

 

ขอบคุณโทรศัพท์เครื่องนี้ที่ทำให้ถ่ายทอดความคิดที่ดีงามสู่ผู้อ่าน

 

ที่เข้าใจซาบซึ้งในข้อเขียนจริงๆ 

 

แม้ส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นหน้ากันหรือรู้จักกัน แต่ก็มีความรู้สึกที่ดีงามมอบให้แก่กัน

 

ขอบคุณเบื้องบนและสรวงสวรรค์ ที่ทำให้เรามีวันนี้และมองเห็นโลกที่สวยงาม

 

คุรุอตีศะ

๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๘