ตามรอยพระอริยะ

 ตามรอยพระอริยะ

 

สิ่งต่างๆจะไม่มีวันย้อนกลับไปเหมือนเดิมอีก

 

ใช้โอกาสและช่วงเวลานี้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และเริ่มต้นในสิ่งใหม่ๆ

 

ท่านใดที่อายุมากแล้ว 

 

ก็ลองย้อนทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของเราว่า เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๑ - ๒๕๓๒ นั้น ตอนนั้นเราเองยังไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร

 

บางคนบ้านก็ยังไม่มี

 

มีรถก็แค่จักรยานยนต์คันเก่าๆ ปะยางแล้วปะยางเล่า 

 

กว่าจะสตาร์ทได้แต่ละครั้งก็ต้องลุ้นแทบขาดใจ..

 

เงินทองก็ไม่เคยเหลือใช้..

 

หนี้สินรุงรัง ไปไหนก็ไม่มีใครอยากทัก ไม่มีใครอยากรู้จัก

 

สามสิบปีผ่านไป

 

เรามีทุกอย่าง..

 

หลายสิ่งหลายอย่างเราก็มีอย่างเกินความคาดหมาย

 

แล้วเราจะไปหวาดหวั่นวิตกกับวันข้างหน้าทำไม?!

 

เพราะสิ่งที่ชีวิตมอบให้..โลกใบนี้มอบให้

 

ช่างมากมายจนเกินกว่าเราจะก้มกราบขอบคุณไหว

 

โลกใบนี้ได้มอบอะไรมากมายให้แก่เรามากจริงๆ!

 

มากจนเกินกว่าเราจะทดแทนคุณ สำนึกรู้คุณ และกล่าวขอบคุณไหว...

 

หรือถ้าเป็นคนที่อายุน้อยลงมา..

 

เข้าสู่ยุคมีโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต..ไม่รู้จักโทรเลขหรือแสตมป์ส่งจดหมาย

 

เราก็ลองย้อนทบทวนชีวิตไปสักยี่สิบปี ตอนปีพ.ศ.๒๕๔๓ - ๒๕๔๔

 

ตอนนั้นเราเคยคิดว่าหากชาตินี้มีรถกระบะมือสามมาใช้ในครอบครัวซักคัน 

 

เราก็คงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

 

พอมาถึงเวลานี้..เรากลับมีทุกสิ่งที่คนอื่นเขามี..

 

อย่าว่าแต่รถมือสองมือสามเลย..

 

เราเปลี่ยนรถขับมาตั้งหลายคัน

 

หลายสิ่งหลายอย่างที่เหมือนไกลเกินฝัน แต่เราก็มีได้เป็นได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

แล้วเช่นนั้น เราจะท้อแท้สิ้นหวัง หรือจมอยู่กับความหมองหม่นไปทำไม

 

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการหวนคืนกลับมาสู่โลกภายในตัวเอง

 

หลังจากได้วิ่งไล่ล่าความสำเร็จตามค่านิยมของสังคม จนแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองคือใครได้อีกแล้ว

 

ความสมหวังก็มีมามากแล้ว 

 

ความสำเร็จเราก็มีมากมายหลายอย่างตามใจปรารถนา

 

เหลือแต่ความสงบสุขตามแบบพระอริยเจ้า..

 

ที่ถึงเวลาแล้วที่สังคมและสถานการณ์ต่างๆบีบบังคับให้เราต้องก้าวเดินตามท่านไป

 

โลกมีเจริญ มีเสื่อม มีสงบ มีวุ่นวายสับสนสลับกันไป

 

สมดังพระพุทธภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

 

"โลกนี้งดงามตระการตาดุจราชรถ อันคนเขลามัวลุ่มหลงมัวเมาอยู่ ส่วนผู้รู้หาข้องไม่"

 

หมายความว่าปุถุชนทั้งหลายย่อมมองว่าโลกนี้น่าหลงใหล เหมือนราชรถที่วิจิตรพากันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันด้วยอำนาจโมหะความหลง

 

ส่วนผู้รู้คือผู้ที่หลุดพ้นจากโมหะ ย่อมมีดวงตาปัญญา มองเห็นว่าราชรถนั้นถ้ารื้อออกมาทีละชิ้น ก็ไม่มีอะไรให้น่าหลงใหลยินดี

 

ด้วยการมองเห็นด้วยตาปัญญาอันแจ่มชัดเช่นนี้ ผู้รู้ทั้งหลายท่านจึงไม่ข้องติดต่อสิ่งใด 

 

จิตของท่านจึงยืนอยู่เหนือโลก

 

เราทั้งหลายผู้ยังมีสติปัญญาอันเล็กน้อย จักขอเดินตามรอยปวงเหล่าพระอริยเจ้า

 

สักวันหนึ่งเราจะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน 

 

ไม่ยึดติดในราชรถอันงดงาม

 

ไม่ข้องติดในสังขารทั้งหลายหรือสิ่งใดอีกเลย

 

คุรุอตีศะ

๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๘