เข้าไปยึดจึงทุกข์
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เข้าไปยึดจึงทุกข์
ในคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า...
"...ท่านสารีบุตร! สังขตธรรมทั้งปวงมีลักษณะเป็นสุญญตา ความว่าง
คือ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่พร่อง ไม่เต็ม
ท่านสารีบุตร ! เพราะเป็นเช่นนี้แล
ในสุญญตาวิหารธรรมจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
ไม่มีตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
ไม่มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส-กายสัมผัส-ธรรมารมณ์
ไม่มีจักษุธาตุ ไปจนถึงไม่มีมโนวิญญาณธาตุ
ไม่มีวิชชาและไม่มีอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ไม่มีญาณ ไม่มีการบรรลุและไม่มีการไม่บรรลุ..."
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นความลึกซึ้ง ลัดตรงเข้าสู่ดวงจิต ผู้ที่เข้าใจจิตก็โพล่ง ว่าง หรือหลุดพ้นจากความยึดติดต่อสิ่งสมมุติบัญญัติ พ้นจากความเป็นปุถุชนโดยฉับพลัน
แต่สำหรับผู้ที่ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ จะมองว่าเป็นคำสอนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลยก็มี เหมือนตอนที่หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุนำ "สุญญตาธรรม" มาเทศนาในช่วงแรกๆ แล้วถูกปัญญาชนและคนที่เข้าไม่ถึงใจความอันแท้จริงโจมตีแทบจะเลิกสอนธรรมะไปเลย
คำสอนในหลักปรัชญาปารมิตาสูตรนี้พอจะอธิบายได้ว่า โดยสมมุติบัญญัติแล้ว ก็ต้องมี "วิชชา"และมี "อวิชชา" แต่สำหรับดวงจิตที่เข้าถึงสุญญตา จะเกิดปัญญาอย่างกระจ่างแจ้งว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงโวหารสมมุติที่พระพุทธเจ้าใช้เพื่อประโยชน์แก่การแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์
ถ้อยคำที่เนื่องด้วยสุญญตาธรรมที่พวกเราพอจะคุ้นๆ ก็เช่น "น้ำไหลนิ่ง" ที่เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของหลวงพ่อชา สุภทฺโท หรืออย่างคำว่า "นอกเหตุเหนือผล" ก็คือสิ่งที่เกินกว่าจะใช้การอธิบายด้วยคำพูด ซึ่งก็คือสภาวะแห่งความว่าง หรือ "สุญญตา" นั่นเอง
โดยปรมัตถสัจจะแล้ว คนเราเป็นทุกข์เพราะการเข้าไปยึดหรือสำคัญมั่นหมายในสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดความยึดมั่นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
เมื่ออัตตาคือความรู้สึกว่าเป็นเราสลายไป ความทุกข์ก็สลายไป
สมดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งปวงไม่มีสิ่งใดที่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น"
คุรุอตีศะ
๒๑ กันยายน ๒๕๖๗