เป็นหิ่งห้อยก็ยังดี
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
เป็นหิ่งห้อยก็ยังดี
ในชีวิตของคนๆหนึ่ง เพียงได้ทำคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ขอให้ได้มีโอกาสได้ทำด้วยความเต็มใจและสุขใจ ชีวิตเช่นนั้นก็นับว่ามีคุณค่าในการได้เกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว
เราไม่จำเป็นต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียก่อน จึงจะคิดอ่านช่วยเหลือประชาชน เพียงแค่เราอดทนไม่ยอมคดโกงในเมื่อมีโอกาสเปิดทางให้ทำ เพียงเท่านั้นเราก็ได้สร้างความดีอย่างยิ่งใหญ่และเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องรอให้ได้เป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ จึงจะคิดอ่านเจือจานช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม เพียงไม่เอาเป็นเอาตายในการแย่งชิงผลประโยชน์และแสวงหากำไรอันเกินสมควรทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เพียงเท่านั้นเราก็เกิดความภาคภูมิใจ แม้อาจไม่มีใครมารู้เห็นในการเสียสละโอกาสเช่นนั้นของเรา
เราไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช แล้วจึงจะประกาศศาสนา เพียงแค่มีโอกาสได้กล่าวคำว่า “อย่าท้อแท้ต่อสิ่งใด จงมีกำลังใจทำความดี” ต่อบุคคลที่หม่นหมองหรือทุกข์ใจ เพียงเท่านี้เราก็ได้ชื่อว่าได้ประกาศธรรม แม้ฐานะของเรานั้นจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส
เราไม่จำเป็นต้องได้เป็นนายกเทศมนตรี จึงจะพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญ เพียงเรากวาดถนนและเก็บขยะให้สะอาดเพื่อผู้คนที่สัญจรไปมา โดยภาคภูมิใจว่าเราได้ทำความดีแบบปิดทองหลังพระซึ่งใครๆทำได้โดยยาก เพียงเท่านี้เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ท้องถิ่นให้เจริญ
เราไม่จำเป็นต้องรอให้ได้เป็นเจ้าอาวาส จึงจะพัฒนาวัด เพียงบิณฑบาตโปรดสัตว์โดยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้ต้องการอาหารหรือบริวาร แต่ต้องการให้ญาติโยมเกิดกุศลเป็นบุญตาในยามเช้า เพียงมีจิตคิดอย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าประกาศคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตตามรอยพระอริยเจ้า แม้ไม่มียศหรือมีตำแหน่งอะไร
เราไม่จำเป็นต้องแต่งงานด้วยหวังว่าจะมีลูกไว้ใช้หรือเอาไว้เลี้ยงตัวเรายามชรา แต่อาจดำเนินชีวิตไปด้วยการยังประโยชน์ต่อผู้อื่นและศาสนาให้กว้างไกล โดยไม่ต้องมีภาระใดๆมาถ่วงรั้งในอุดมการณ์ อย่างนี้ย่อมเกินกว่าที่ใครจะพูดว่าเรานั้นช่างน่าสงสารที่ไร้คู่ เพราะเราได้แต่งงานอยู่ตลอดเวลาคือทำประโยชน์เพื่อคนทั้งโลก ซึ่งความสุขในการมีครอบครัวไม่อาจจะเทียบได้
เราไม่จำเป็นต้องรอให้รวยเสียก่อนจึงจะทำบุญหรือช่วยเหลือคนอื่น เพียงเราหยิบยื่นขนมสักก้อนให้แก่คนขอทานที่แบมือขอด้วยความหิวโหย เพียงเท่านี้เราก็ได้ได้ชื่อว่าเป็นคนรวยให้ลูกหลานและคนรอบข้างได้ประจักษ์ ได้ประกาศความรักความเมตตา ความเอื้ออาทรต่อผู้ทุกข์ยากประดับไว้ในใจแก่ผู้ที่พบเห็น
คุณค่าของชีวิตของคนเรา ไม่ได้ต้องรอให้ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือเป็นผู้ร่ำรวยเหนือใครๆจึงจะคิดสรรค์สร้างคุณความดี เพียงแต่หมั่นทำสิ่งอันเป็นคุณประโยชน์ในขณะนี้ไปแต่ละวันแต่ละเวลา คุณค่าของชีวิตก็เกิดขึ้นแล้ว
แทนที่เราจะเอาแต่รอให้สามีมาเอาใจหรือคอยงอนง้อ แต่เราทอดไข่ทั้งไม่สุกทั้งไหม้ เพราะทั้งชีวิตมีแต่คนใช้ทำให้กิน แต่แม้จะทอดไม่เป็นเพราะไม่เคยทำ แต่ก็พยายามจะทำด้วยใจรักอันบริสุทธิ์และห่วงใย ด้วยใจที่คิดว่าเขากลับมาคงจะเหนื่อย แม้ครั้งแรกอาจต้องนำไปเททิ้ง เพราะทั้งเหม็นไหม้ทั้งขม แต่คุณค่าก็เกิดขึ้นแล้วในดวงใจทั้งของเราทั้งความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้เป็นสามี เพราะคุณค่าในเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นกับว่าทอดไข่เก่งหรือทอดไข่อร่อย แต่คือคุณค่าแห่งดวงใจน้อยๆที่เราอยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำเพื่อบุคคลอันเป็นที่รักของเราต่างหาก
แทนที่เราจะคอยเคี่ยวเข็ญหรือควบคุมเพื่อไม่ให้ใครมาเกาะแกะแผ้วพานภรรยาหรือสตรีอันเป็นที่รักของเรา แต่เราพาเขาสร้างบุญสร้างกุศลและทำประโยชน์เพื่อคนที่ทุกข์ยากและค้ำจุนศาสนาจะดีกว่า ส่วนความรักความภักดีของเธอจะตามมาหรือมีความซื่อสัตย์ต่อเราหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของบุญวาสนาและจิตใจของเธอ เพียงเท่านี้เราก็ได้สร้างคุณค่าอันแท้จริงของชีวิตประดับไว้ในหัวใจของสตรีอันเป็นที่รักของเราแล้ว
พวกเราทั้งหลายจงมีกำลังใจสร้างสรรค์คุณธรรมความดี ไม่ต้องรอสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือผัดวันประกันพรุ่ง เพราะชีวิตของคนเรานี้นับวันจะเหลือน้อยไปทุกที อย่าไปรอเงื่อนไขหรือมีข้อแม้ใดๆ
เราไม่ต้องรอเป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ไม่ต้องรอให้เป็นใหญ่ ไม่ต้องรอที่จะต้องมีตำแหน่งใด ไม่ต้องรอวันที่ร่ำรวย จงทำหน้าที่ที่พึงกระทำบำเพ็ญในวันนี้ด้วยดวงใจที่เบิกบาน หากอยู่ที่ทำงาน การทำงานอาจดีที่สุด แต่ถ้าเราอยู่บ้าน การกวาดบ้านถูบ้าน การเทขยะ อาจเป็นงานที่ดีที่สุดของเราก็ได้ หากเราทำด้วยหัวใจที่อิ่มเอมและเบิกบาน คุณค่าของชีวิตและการทำงาน ไม่ได้ขึ้นกับว่าต้องมีรายได้หรือเป็นงานใหญ่โตอะไร แต่คือการได้ทำอะไรด้วยความผาสุกใจต่างหากเล่า.....
มิอาจเป็นห้วงน้ำที่กว้างใหญ่
ขอเป็นลำธารใสข้างภูผา
มิอาจเป็นดวงจันทร์กลางนภา
เป็นหิ่งห้อยเลาะชายป่าก็ยังดีฯ
คุรุอตีศะ
๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖