อย่ากลัวความมืดมิด

 อย่ากลัวความมืดมิด

 

อย่าหวาดหวั่นที่บางครั้งชีวิตต้องอยู่ตามลำพังหรือเดินบนเส้นทางที่โดดเดี่ยว

 

อย่ากลัวที่ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิด อย่างน้อยก็ยังมีแสงดาวระยิบระยับและขอบฟ้ากว้าง 

 

อย่าขวัญเสียหากพบว่าตนเองกำลังเดินหลงทาง ชีวิตยังเปิดกว้างและให้โอกาสแก่ทุกคน แม้คนที่ผิดพลาดหรือพลัดหลงในหนทาง

 

เพียงเริ่มต้นค้นหาตัวเองตั้งแต่วันนี้ หลังจากแสวงหาสิ่งต่างๆ มาครึ่งค่อนชีวิต ได้อะไรมามากมาย แต่ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดทำให้เกิดความอบอุ่นในดวงจิต นอกจากชีวิตได้อยู่เงียบๆ กับตัวเองในบางครั้ง

 

ความรัก ความใคร่ เงินทอง ความเป็นใหญ่ ที่เราเคยหมายมั่นว่าคือที่พึ่งของดวงใจ มาบัดนี้ก็พบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีความจีรังยั่งยืน มีแต่ความหมุนเวียนเปลี่ยนไป ช่างหาสาระมิได้ สมดั่งคำสอนของพระพุทธองค์เสียจริงๆ

 

นับจากนี้เราจะกล้าอยู่ตามลำพังให้มากขึ้น เราจะลดละการแสวงหาภายนอก หันมาแสวงหาสัจธรรมภายในให้ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน  

 

เราจะพากเพียรขัดเกลากิเลส ทำใจให้ผ่องใส ท่ามกลางเวลาที่ผ่านไปทุกวันคืน จะนอนหลับหรือเวลาตื่น เราจะไม่ทอดทิ้งการภาวนา

 

ชีวิตที่สมบูรณ์ย่อมต้องผ่านราตรีอันมืดมิดมาก่อน จึงจะพบความสว่าง

 

คู่รัก เมื่อจะถึงเวลาได้แต่งงาน ต้องได้ผ่านวิกฤตทดสอบความรักจนแทบจะเลิกรากัน จึงเดินถึงวันที่สมหวัง 

 

สามีภรรยาต้องได้ผ่านความมืดมิดก่อนจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ กว่าจะเป็นที่ยอมรับของสังคม กว่าที่ทั้งสองดวงใจจะมีความรักที่ทรงพลัง

 

แม้ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ก็ต้องเคยผ่านความโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุสมาธิและดวงปัญญาแทงตลอดโมหะอวิชชา

 

อย่าคิดว่าความรักจะต้องอยู่ใกล้หรือคลุกคลีกันตลอดเวลา การได้อยู่ห่างกันในบางครั้ง ก็คือความสุขจากอิสรภาพและได้กลับคืนสู่ความเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง โดยไม่ต้องหาสิ่งใดมาชดเชยความเหงา

 

การห่างกันและสามารถมีความสุขตามลำพังได้นั่นแหละ คือคุณภาพของความรักและความหนักแน่นมั่นคงของหัวใจ ความรักที่พัฒนาถึงขั้นนี้ได้ จะเป็นความรักที่เที่ยงแท้ที่ไม่ขึ้นกับระยะทางและกาลเวลา

 

คุรุอตีศะ

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗