ครั้งหนึ่งในชีวิต

 

ต่อไปนี้จะขอเล่าเรื่องที่เป็นประสบการณ์ตรงหลังจากที่ออกบวชแล้วได้สองพรรษา
เป็นเรื่องราวชีวิตในตอนละทางโลกสู่เพศบรรพชิตแล้ว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

สำหรับเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เคยเล่าในหมู่คนใกล้ชิดมาบ้างแล้ว
แต่ที่นำมาเล่าออกสู่สาธารณะในโลกออนไลน์ ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าอิทธิปาฏิหาริย์เป็นสิ่งมีจริง
เนื่องจากประสบด้วยตนเอง และเพื่อเป็นการเทิดทูนบูชา "หลวงพ่อองค์นั้น"
ที่เคยช่วยชีวิตผู้เขียน สมัยเป็นพระหนุ่ม ที่เดินธุดงค์องค์เดียวเสี่ยงชีวิตแบบอ่อนประสบการณ์
ชีวิตได้ผ่านร้อนผ่านหนาวจนกระทั่งมามีวันนี้

 

ประมาณต้นปี ๒๕๓๙ ผู้เขียนได้ขึ้นไปบำเพ็ญบนภูเขาที่สวยงามลูกหนึ่งทางภาคอีสาน
ขึ้นไปตามลำพังองค์เดียว อดเป็นอด ตายเป็นตาย

 

เมื่อขึ้นไปไปถึงยอดภูแล้ว ปรากฏว่ามีพระธุดงค์สายต่างๆบำเพ็ญอยู่ก่อนแล้วหลายรูป
มีทั้งโยคี ฤาษี ดาบส และนักบำเพ็ญพรตแต่งกายแปลกๆ

 

 

เย็นวันหนึ่งหลังจากที่ได้ฉันน้ำร้อนที่ถ้ำพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งท่านมีสามเณรมาคอยอุปัฏฐากอยู่ด้วย
พระอาจารย์รูปนี้ท่านมีสมาธิสูงมาก สามารถรู้ว่าใครมาดีมาร้าย
เคยทดลองบอกเลขหวยโดยให้ผู้เขียนเป็นพยาน ปรากฏว่าท่านบอกได้ตรงถึง ๒ งวด
แล้วท่านอธิษฐานปิดความรู้ส่วนนี้เพื่อบำเพ็ญขัดเกลากิเลสต่อไป คือ
ท่านไม่หลงในสิ่งพวกนี้ นับว่าท่านมีคุณธรรมสูงส่งน่าเคารพมาก

 

เมื่อเริ่มพลบค่ำใกล้จะมืด ก็มีพระรูปหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปี
ท่านเดินมาที่ถ้ำแห่งนั้น พูดกับผู้เขียนว่า "เดี๋ยวผมจะไปส่งท่านอาจารย์ ไปกันรึยัง"

 

ผู้เขียนรู้สึกขัดใจที่จะมีคนมารบกวน แต่เห็นท่านมีลักษณะพิเศษ ดูสงบและมีตบะสูงน่าเกรงขาม
ก็เลยจำใจให้ท่านเดินไปส่งที่ถ้ำของตน แต่ก่อนจะออกเดินไปด้วยกัน
ท่านจะไปค้นหากระป๋องน้ำอัดลมที่ถังขยะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นว่า "ได้การละ ไปกันเถอะ ท่านอาจารย์"

 

ท่านให้ผู้เขียนเดินนำหน้า ส่วนท่านเดินตามหลัง เลยไม่มีโอกาสสังเกตใบหน้าของท่านได้เต็มที่
รู้แต่ว่าท่านตัวสูงโปร่ง ใบหน้ายาวๆแต่เป็นเหลี่ยมๆเหมือนคนโบราณ
ร่างของท่านสูงกว่าผู้เขียน ผิดจากพระทั่วไป แต่ที่สังเกตได้ชัดมากคือน้ำเสียงของท่านมีพลังและกังวานมาก
เหมือนเสียงไพบูลย์ ศุภวารี โฆษณาวิทยุธานินทร์สมัยนั้น

 

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม เดินกันไปเงียบๆสักพักหนึ่ง ลับเหลี่ยมก้อนหินใหญ่
เป็นป่ารกท่วมศีรษะ พอเงยหน้าแสงไฟฉายกระทบ ก็เจอร่างใหญ่ทะมึนขวางหน้า
ห่างกันประมาณ ๑๐ เมตร มองชัดๆก็คือช้างตัวใหญ่ งาขาววับ ยึนนิ่ง
หูไม่กระดิก พร้อมที่จะถลันเข้าใส่ในชั่วพริบตา

 

ในขณะนั้นผู้เขียนเหมือนหัวใจหยุดเต้น รู้ทันทีว่าความตายมาถึงแล้ว
แต่สติระลึกขึ้นมาเองว่า ถ้าเราหันหลังกลับออกวิ่ง เราจะสติแตกและเป็นบ้า
จึงนึกน้อมอธิษฐานจิตขึ้นมานึกถึงอานิสงส์ของการสละทางโลกออกบวชเพื่อพระพุทธศาสนา
จิตรวมลงนิ่งสงบขึ้นมาทันที

 

ในชั่วความเร็วของจิตที่นับได้เป็นวินาทีนั้นเอง หลวงพ่อองค์นั้น
ท่านไปยืนด้านหน้าผู้เขียนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ไม่รู้แม้แต่ว่าท่านเดินขึ้นหน้าไปตั้งแต่ตอนไหน
มารู้ตัวอีกทีท่านไปยืนขวางประจันหน้ากับพญาคชสารเสียแล้ว
ท่านได้ส่งเสียงคุยกับช้างและบริวารจำได้ติดหูมาจนทุกวันนี้ว่า

"ท่านผู้มีกำลัง เรามาดี เรามาส่งท่านอาจารย์กลับถ้ำเพื่อบำเพ็ญภาวนา
ขอให้ท่านพาบริวารของท่านไปหากินตามสบายเถิด"

 

พอเสียงที่ทรงพลังและกังวานนั้นจบลง ก็สังเกตว่าช้างผู้เป็นหัวหน้าจ่าโขลงเริ่มกระดิกหู
ชูงวงแสดงถึงความเป็นมิตร แล้วบ่ายหน้าพาบริวารเข้าป่าไปอย่างสงบ

 

หลวงพ่อองค์นั้นพาผู้เขียนไปส่งถึงถ้ำริมหน้าผา พอเห็นว่าผู้เขียนจิตใจปกติดีแล้วและปลอดภัย ท่านพูดว่า
"ตอนนี้ท่านอาจารย์บารมียังอ่อน ยังไม่มีอภิญญาคุ้มครองตัวเอง
ผมจำต้องออกจากป่าปิดมาช่วย
ก่อนจะมีอันตราย
เพราะท่านอาจารย์จะได้ทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาและเป็นที่พึ่งคนอื่นต่อไปภายหน้า"

 

ผู้เขียนซึ่งกำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่ผ่านความเป็นความตายมาหยกๆ
พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่ยกมือวันทาขอบพระคุณท่าน เหมือนกับคนเป็นใบ้

 

ท่านบอกว่า ขอให้พักผ่อนตามสบาย แล้วท่านก็ปลีกตัวไปนั่งที่ถ้ำเล็กๆอันเป็นที่อาศัยของเลียงผา
ผู้เขียนก็คิดว่า พรุ่งนี้คงได้ออกบิณฑบาตด้วยกัน วางใจว่าพรุ่งนี้ก็จะได้คุยกัน
นั่งภาวนาครู่หนึ่งแล้วก็ล้มตัวลงจำวัด หลับสนิท

 

ประมาณตีสาม พอรู้สึกตัวก็เดินไปดูว่าท่านจะหนาวไหม เนื่องจากอากาศเย็นมาก
ปรากฏว่า ท่านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ไร้วี่แววและไม่พบกันอีกเลยจนบัดนี้

 

สิ่งที่เล่ามานี้เป็นเหตุการณ์จริง ที่ผู้เขียนเป็นหนี้ชีวิตหลวงพ่อองค์นั้น
ซึ่งไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ชื่ออะไร แต่หัวใจก็ระลึกถึงท่านเสมอจนทุกวันนี้

 

แม้ปัจจุบันผู้เขียนจะมีภาพลักษณ์เป็นพระในเมืองในสายตาคนทั่วไป
อยู่กับคอมพิวเตอร์เผยแผ่ธรรมะแบบทันสมัย แต่หัวใจไม่เคยลืม
"หลวงพ่อองค์นั้น" และช้างป่า ตลอดทั้งเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นอีกเลย

 

เรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งขณะที่ท่านอายุ ๓๒ ปี
สมัยที่ท่านยังใช้ชีวิตเป็นพระธุดงค์ ครองผ้าสามผืน ฉันหนเดียว ฉันในบาตร
ฉันอาหารมังสวิรัติ รองเท้าไม่ใส่ ปัจจัยไม่จับ รักษาพระวินัยและทรงข้อวัตรอย่างเคร่งครัด
จึงนำมาแบ่งปันแก่สาธุชนทุกท่านแลฯ

 

คุรุอตีศะ
๑๖ มกราคม ๒๕๖๑